ตอนที่ 1117 แสงแห่งคำสาป โดย Ink Stone_Fantasy
ถึงแม้ห้องทดลองแห่งนี้จะเป็นฝีมือการออกแบบของเขา แต่ในตอนที่ได้มาเห็นมันด้วยตาตัวเอง ภายในใจโรแลนด์ยังคงแอบรู้สึกตกตะลึง
ใต้ดินที่เดิมควรจะมืดมิดจนมองไม่เห็นแม้กระทั่งนิ้วมือตัวเองมีหินเวทมนตร์ส่องสว่างจนมองเห็นทางที่อยู่ข้างหน้า ผนังหินที่อยู่รอบๆ ถูกแผ่นตะกั่วขนาด 2 x 2 เมตรปูปิดเอาไว้จนกลายเป็นห้องที่มีขนาดประมาณสนามบาสเกตบอล
แผ่นตะกั่วขนาดเท่ากันที่ดูแวววาว ช่องว่างเส้นตรงระหว่างแผ่นตะกั่วที่สานกันไปมา แสงเย็นๆ ที่สะท้อนออกมาจากแผ่นตะกั่วทำให้มันดูแล้วไร้ซึ่งชีวิตชีวา แต่โรแลนด์กลับรู้สึกได้ถึงความงดงามอย่างหนึ่งจากภายในห้องนี้
นี่คือความงดงามของยุคสมัยแห่งอุตสาหกรรม
“ถ้าพวกเราไม่สามารถคว้าชัยชนะในสงครามแห่งโชคชะตาได้ หลังจากนี้อีกหลายร้อยปี ที่แห่งนี้คงจะกลายเป็นโบราณสถานอีกแห่งสินะ” โรแลนด์พูดเสียงเบาๆ
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นโบราณสถานที่มีสไตล์แตกต่างจากโบราณสถานของอารยธรรมโบราณและของปีศาจโดยสิ้นเชิง
รอยขูดขีดเล็กๆ ที่อยู่บนแผ่นตะกั่วนั้นเป็นรอยประทับที่มนุษย์เป็นคนทำขึ้นมา
‘คงจะเป็นเช่นนั้นเพคะ’ พาซาร์วางทั้งสองคนลงอย่างแผ่วเบา ‘แต่หม่อมฉันไม่เคยเชื่อเหมือนอย่างตอนนี้มาก่อน…หม่อมฉันเชื่อว่ามนุษย์จะต้องได้รับชัยชนะแน่นอนเพคะ’
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” โรแลนด์ยิ้มๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทดลอง
ภายในห้องทดลองถูกแบบออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นห้องปฏิบัติการณ์ อีกส่วนหนึ่งเป็นห้องสังเกตการณ์ ทั้งสองส่วนมีกำแพงซีเมนต์ขนาดประมาณครึ่งเมตรกั้นเอาไว้อยู่ อีกทั้งยังมีการปูแผ่นตะกั่วเอาไว้เหมือนด้วย ตรงกลางกำแพงมีการติดตั้งกระจกชนิดพิเศษที่มีการเติมเลด (II) ออกไซด์ที่ลูเซียเป็นคนทำขึ้นมา ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ในตอนนี้ ทำให้ความโปร่งใสของกระจกไม่อาจสู้กระจกในโลกสมัยใหม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้คนมองเห็นอีกฟากหนึ่งได้อย่างชัดเจน
‘มาแล้วเหรอเพคะ ฝ่าบาท’ หนวดหลักเส้นหนึ่งยื่นออกมาจากด้านหลังประตูของปฏิบัติการ ก่อนจะตามมาด้วยร่างกายอันใหญ่โตของเซลีน การปรากฏตัวของเธอดูแล้วค่อนข้างเหมือนภาพในหนังสัตว์ประหลาด ‘หม่อมฉันกำลังติดตั้งแผนตะกั่วแผ่นสุดท้ายอยู่เพคะ ได้ยินพาซาร์บอกว่าพวกโซอี้เอาสมบัติโบราณนั่นกลับมาแล้วเหรอเพคะ?’
“อยู่ในลังนี่” โรแลนด์เอาลังตะกั่ววางไว้บนหนวดหลักของเธอ จากนั้นจึงเดินเข้าไปสำรวจดูในพื้นที่ปฏิบัติการณ์อย่างละเอียด
‘เป็นยังไงบ้างเพคะ? ที่นี่ตกแต่งเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงต้องการเลยเพคะ’ เซลีนยกหนวดขึ้นมา ‘แต่ว่าเราจำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้จริงๆ เหรอเพคะ? ถ้าคำสาปมันเป็นแค่ลำแสงชนิดหนึ่ง อย่างนั้นกำแพงธรรมดาก็น่าจะพอแล้วหรือเปล่าเพคะ?’
“เราต้องป้องกันเอาไว้ก่อน ถ้ามันเป็นเหมือนอย่างที่ข้าคิดจริงๆ อย่างนั้นลำแสงของมันไม่เพียงแต่จะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่มันยังมีความสามารถในการทะลุทะลวงที่รุนแรงมาก จริงอยู่ที่กำแพงธรรมดาสามารถป้องกันได้ แต่อย่างน้อยมันก็ต้องมีความหนาหลายเมตร” เขาหันหน้ากลับมามองดูแม่มดโบราณทั้งสองคน “ดังนั้นห้ามทำอะไรโดยอาศัยเพียงความรู้สึกเด็ดขาด ถึงแม้ร่างต้นแบบจะมีความสามารถในการต้านทานที่สูงมาก แต่ในตอนที่เรายังไม่รู้ถึงคุณสมบัติที่แท้จริงของลูกบาศก์เวทมนตร์ เราก็จำเป็นต้องทำการทดลองตามกฎที่วางเอาไว้อย่างเคร่งครัด”
เนื่องจากรังสีไอออไนซ์สามารถทำลายโครงสร้าง DNA ในเซลล์จนทำให้เกิดอุปสรรคในการแบ่งตัวของเซลล์ ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นอันตรายอย่างมากต่ออวัยวะที่มีการเมตาบอลิซึมเร็ว อวัยวะที่พอเติบโตอย่างเต็มที่ก็จะไม่มีการแทนที่อย่างเช่นหัวใจหรือสมองนั้นจะมีความทนทานต่อรังสีไอออไนส์ที่มากกว่า
และเมื่อดูจากอายุขัยหลายร้อยปีของร่างต้นแบบ ตามหลักแล้วมันน่าจะมีความสามารถในการป้องกันรังสีอยู่ นี่จึงเป็นเหตุผลที่โรแลนด์มอบหมายให้เซลีนเป็นคนทำการทดลอง
เซลีนยิ้มขึ้นมา ‘ท่าทางของพระองค์ในตอนนี้ดูแล้วเหมือนกับท่านหัวหน้าสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับเลยเพคะ วางใจได้เพคะ การรักษากฎระเบียบอย่างเคร่งครัดนั้นเป็นสิ่งที่สมาชิกทุกคนของสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว หม่อมฉันไม่มีทางประมาทแน่นอนเพคะ’
โรแลนด์พยักหน้า “อย่างนั้นก็เริ่มได้”
บานประตูถูกปิดลง ภายในพื้นที่ปฏิบัติการเหลือเซลีนเพียงแค่คนเดียว
กฎข้อแรกของการทดลอง ในเวลาที่ทำการวิจัยลูกบาศก์เวทมนตร์ต้องปิดประตูทางเข้าออกห้องทดลองทั้งหมด นอกจากผู้ที่ทำการวิจัยแล้ว คนอื่นๆ ต้องออกมารออยู่ตรงพื้นที่สังเกตการณ์
เมื่อมองผ่านกระจกตะกั่ว โรแลนด์มองเห็นเซลีนเปิดกล่องออก ก่อนจะหยิบเอาลูกบาศก์ออกมาจากด้านใน
มันเป็นเหมือนอย่างที่ฌอนบอกเอาไว้ ลำแสงสีน้ำเงินจางๆ ไหลไปตามร่องบนตัวหิน ตัวลำแสงวิ่งไปกว่าแผ่นยูเรเนียมที่วางอยู่บนแท่นทดลอง
‘น่าสนใจจริงๆ’ เซลีนมองดูมันอยู่ครู่ ‘เจ้าสิ่งนี้ไม่ได้ถูกกระตุ้นใช่ไหมเพคะ?’
เสียงดังทะลุกำแพงออกมา โรแลนด์รวบรวมสมาธิก่อนจะตอบออกไปทางจิตสำนึกเหมือนกัน ‘จากที่ฌอนบอกมา มันเคยถูกเอิร์ลของเกาะอาชดยุคสัมผัสได้ระยะใกล้หลังจากที่มันส่องแสงสีน้ำเงินออกมา ดังนั้นข้าคิดว่ามันน่าจะเป็นเหมือนความสามารถในการนำทางมากกว่า’
‘เข้าใจแล้วเพคะ’ เซลีนหยิบเอาลูกบาศก์ขึ้นม หนวดจำนวนนับไปถ้วนพุ่งเข้าไปหามัน ก่อนจะหุ้มมันเอาไว้ในพริบตา
“นางกำลัง…ทำอะไร?” ไนติงเกลถาม
‘รับรู้’ พาซาร์อธิบาย ‘ความสามารถในการรับรู้ของหนวดนั้นเหนือกว่านิ้วมือของมนุษย์มาก มันไม่เพียงแต่จะสัมผัสได้ แต่มันยังสามารถรับรู้กลิ่นได้ด้วย เวลาที่หนวดเหล่านั้นสัมผัสไปบนพื้นผิวของวัตถุ มันจะสามารถจดจำทุกๆ รายละเอียดบนนั้นได้ ซึ่งอัจฉริยะทางด้านเวทมนตร์อย่างเซลีนนั้นยังสามารถจำลองโครงสร้างและรายละเอียดของมันขึ้นมาในหัวได้ด้วย เสียดายที่ภาพส่วนนี้เป็นภาพที่ส่งมาจากความคิดของร่างเปลือก ถึงคนธรรมดาจะสามารถรับมันเข้าไปได้ แต่ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจมันได้’
“หรือว่าเจ้าสามารถมองเห็นภาพที่นางรับรู้อยู่ได้?” โรแลนด์อุทานออกมาอย่างตกใจ
‘ถ้านางยินดีแบ่งปันล่ะก็’ พาซาร์ยื่นหนวดเส้นหนึ่งออกไปแตะที่กระจก ‘ตอนนี้ภาพลูกบาศก์อยู่ตรงหน้าหม่อมฉันแล้วเพคะ’
เป็นความสามารถที่สะดวกจริงๆ นี่มันเหมือนกับระบบเครือข่ายจิตวิญญาณเลย…ก่อนหน้านี้เขานึกว่าพวกเธอทำได้เพียงส่งจิตสำนึกหากันเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเธอยังจะสามารถส่งภาพสามมิติหากันได้อีก
‘ความกว้างยาวของลูกบาศก์เวทมนตร์แทบจะเท่ากัน ขนาดอยู่ที่ประมาณ 15 เซนติเมตร ด้านในกลวง สามารถรับรู้ได้ถึงรอยแตก เหมือนมันไม่ได้เป็นชิ้นเดียวกันเพคะ’ จู่ๆ เซลีนก็พูดขึ้นมา
‘หมายความว่าไง?’
‘มันดูแล้วเหมือนจะประกอบขึ้นมาจากก้อนหินหลายๆ ก้อน เดี๋ยวๆ…หม่อมฉันเหมือนจะเจอกลไกลของมันแล้วเพคะ’
พอพูดจบ หนวดที่ปกคลุมลูกบาศก์ก็ค่อยๆ คลายตัวออก ด้านหลังลูกบาศก์มีรูเล็กๆ อยู่รูหนึ่ง ดูแล้วเหมือนกับที่ซ่อนสมบัติที่ถูกฝังมาเป็นเวลาหลายร้อยปีที่ในที่สุดก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง
“สุดยอด” โรแลนด์อุทานออกมา “ไขปริศนาได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
นับตั้งแต่ที่ลูกบาศก์ตกมาอยู่ในมือมนุษย์ก็เป็นเวลาเกือบร้อยปีแล้ว ในระหว่างนั้นต้องมีคนจำนวนมากที่พยายามจะไขปริศนาของมันอย่างแน่นอน แต่เมื่อดูจากบันทึกกลับไม่มีใครที่รู้เลยว่าความจริงแล้วมันไม่ใช่หินก้อนเดียวกัน
‘·หม่อมฉันบอกแล้วเพคะว่าถ้าให้นางจัดการต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน’ พาซาร์พูดยิ้มๆ ‘·แกนเวทมนตร์ของอารยธรรมใต้ดินพวกนั้น เซลีนเป็นคนประกอบมันขึ้นมาทีละชิ้นๆ เลยนะเพคะ’
‘·ฝ่าบาท หม่อมฉันมีข้อสงสัยเพคะ’ เซลีนเอาหนวดแหย่เข้าไปในรู ‘ทำไมมันถึงมีปฏิกิริยากับเหรียญอันนั้นเพียงอย่างเดียวล่ะเพคะ พระองค์ตรัสว่ามันไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาเป็นเวลาหลายปี ตอนแรกหม่อมฉันนึกว่าเป็นเพราะมันใช้พลังเวทมนตร์ไปจนหมด เหมือนกับหินเวทมนตร์หรือไม่ก็รูนอย่างนั้น แต่พอได้จับมันจริงๆ พระองค์ก็น่าจะทรงสังเกตเห็นว่าข้างในมันยังคงมีพลังเวทมนตร์ไหลเวียนอยู่ หรือว่าสิ่งที่เจ้านี่ขาดอยู่…จะใช่ธาตุที่พระองค์ตรัสว่าใช้ในการสร้างลำแสงแห่งพระอาทิตย์หรือเปล่าเพคะ?’
‘เหมือนกับที่ข้าคิดเอาไว้เลย’ โรแลนด์ยิ้มมุมปาก ‘เจ้าลองเอาเหรียญนั่นใส่เข้าไปข้างใน…แต่ว่ามันอาจจะไปกระตุ้นตัวลูกบาศก์ได้ ดังนั้นเจ้าต้องเตรียมป้องกันเอาไว้ก่อนนะ’
‘ทราบแล้วเพคะ’ เซลีนขยับไปอยู่ด้านหลังแผ่นป้องกันที่อยู่อีกด้านหนึ่งของแท่นทดลอง มันเป็นแผ่นตะกั่วทรงครึ่งวงกลม ตรงกลางมีรูเล็กๆ สี่รูเอาไว้สำหรับสอดหนวดออกมา เหมือนกับโล่ขนาดใหญ่ที่มาพร้อมกับรูในการสังเกตการณ์ หลังเธอเอาแผ่นยูเรเนียมใส่เข้าไปด้านในลูกบาศก์เวทมนตร์ รูเล็กๆ ที่เปิดอยู่ก็ปิดลงทันที ขณะเดียวกันแสงที่อยู่ด้านบนก็เปลี่ยนเป็นสีแดง
ใช่จริงๆ ด้วย!·
โรแลนด์กับไนติงเกลสบตากัน ทั้งคู่ต่างรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
เซลีนลูบๆ คลำๆ อยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเอง ลำแสงสีแดงเส้นหนึ่งก็ถูกยิงออกมาจากลูกบาศก์ตรงไปที่ผนัง กลายเป็นสีสันสีใหม่ที่แต่งเติมให้กับห้องทดลองที่เยือกเย็นแห่งนี้
………………………………………………………………