บัญชามังกรเดือด บทที่ 955 หยกศิลาล้วนแหลกลาญ
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาอันข่มขู่ของจินยีโหวแล้ว สีหน้าของเซี่ยหมิงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด เขาเงยหน้าขึ้น และจ้องตากับจินยีโหวทันที
เขายิ้มอย่างเย็นชาและตอบกลับไปว่า “นายท่าน คนของฉันพูดจาไม่มีมารยาท หากมีอะไรผิดพลาด ขอโปรดอภัยให้ด้วย”
“แม้ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดมันจะฟังดูหยาบคาย แต่ดูจากเหตุผลแล้วมันก็ไม่มีอะไรผิดนะ”
“ในเมื่อฉันมาที่นี่เพื่อขอแต่งงาน ถ้างั้นตามความคิดฉันแล้ว พวกเราควรจะจัดการธุระให้เสร็จสิ้นเสียก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลังจะดีกว่า”
พูดเช่นนี้ ชัดเจนแล้วว่า เขาเห็นด้วยกับคำพูดของ เจ้านกแร้ง และถงอาน
ทันทีที่เขาพูดจบจินซานที่อยู่ตรงประตูใหญ่ก็แทบจะทนต่อไปไม่ไหว
เขาเป็นคนสนิทของจินยีโหว และยังเป็นคนรุ่นหลังที่มีความสามารถโดดเด่นของตงไห่อีกด้วย
“คนแซ่เซี่ย พวกเธอหมายความว่ายังไงกันแน่? ที่นี่คือตงไห่ ไม่ใช่ภาคเหนือของพวกเธอนะ!”
“ท่าทางเช่นนี้ของพวกเธอ คือการมาขอแต่งงานอย่างนั้นหรือ? ฉันว่ามันไม่ต่างอะไรกับการมาฉุดสาวไปแต่งงานเลยสักนิด!”
“ในเมื่อเธอพูดเช่นนี้ งั้นฉันจะบอกเธอให้ชัดเจนแล้วกันว่า คุณหนูใหญ่ของพวกเรารังเกียจเธอ และตงไห่จะไม่มีวันดองญาติกับพวกเธออย่างแน่นอน!”
“ไสหัวไปซะ!”
เมื่อได้ยินที่จินซานพูดแล้ว บรรดาวัยรุ่นเลือดร้อนของตงไห่ ต่างทนไม่ไหวกันอีกต่อไป ในเวลานั้น บรรดาฝูงชนต่างพากันเกรี้ยวโกรธ และร่วมกันขับไล่เซี่ยหมิงและคนของเขาให้ออกไปทันที
เจ้านกแร้ง ยืนขึ้นแสยะยิ้มมองไปทางเซี่ยหมิงและพูดแนะนำว่า “คุณชาย คนพวกนี้เสียงดังวุ่นวายเกินไปแล้ว ฉันอยากจะควักเอาสมองของพวกเขาออกมาดูสักหน่อยว่ามันเป็นสีอะไรกันแน่”
สายตาของเขาเต็มไปด้วยแรงอาฆาตแค้น เมื่อนึกถึงตอนใช้นิ้วมือบีบไปที่หัวกะโหลกจนแตก และควักเอาสมองข้างในออกมา เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
แมร่งเอ๊ย ที่แท้ก็เป็นปีศาจที่เห็นการฆ่าคนเป็นเรื่องสนุกคนหนึ่งนี่เอง
เซี่ยหมิง ไม่ได้ตอบอะไร เจ้านกแร้ง แต่กลับจ้องมองไปทางหวังเหมี่ยน พร้อมกับพูดอย่างเย็นชาว่า “ท่านโหว ให้คำตอบที่แน่ชัดมาเถอะ”
“ฉันเซี่ยหมิงชอบพอคุณหนูหวังของพวกเธอ เธอยินยอมที่จะยกเขาให้แต่งงานกับฉันไหม?”
หวังเหมี่ยนตอบอย่างเย็นชาว่า “ถ้าฉันตอบว่าไม่หล่ะ?”
เซี่ยหมิง หัวเราะและพูดว่า “ฉันยังไงก็ได้ แต่คนของฉันตามฉันมาไกลขนาดนี้ แถมยังถูกทำให้อับอายขายหน้าเช่นนี้อีก หากพวกเขาทำเรื่องอะไรที่ไม่เหมาะสมลงไป ฉันเองคงขวางพวกเขาไม่ได้หรอกนะ”
หวังเหมี่ยนโกรธจัด “เซี่ยหมิง เธอกล้าขู่ฉันเชียวหรือ?”
“เธออย่าลืมนะ ว่าที่นี่คือที่ไหน!”
เจ้านกแร้งอดหัวเราะเสียงดังออกมาไม่ไหว “เป็นอาณาเขตของพวกเธอแล้วยังไงหล่ะ? จินยีโหว ถ้าคิดเช่นนั้น เธอก็เรียกพวกเธอมาด้วยเลย หรือจะระดมยิงปืนใหญ่ใส่พวกเราหล่ะ!”
“ถ้าไม่กล้ารุมกันเข้ามา งั้นพวกเราเปลี่ยนวิธีก็ได้ ตัวต่อตัวกันไปเลย!”
“ตงไห่ของพวกแกมีคนต่อสู้เป็นไหมหล่ะ? หนึ่งต่อหนึ่ง เข้ามาเลย! กูรับเอง!”
ชายหนุ่มผู้นี้โอ้อวดแสนยานุภาพ เขาแทบจะอดรนทนรอไม่ไหวอยากที่จะฆ่าสังหารหมู่คนพวกนั้น เห็นชัดเจนว่าพวกเขาขี้เกียจใช้การเจรจาต่อรอง และเลือกใช้กำลังข่มขู่จัดการแทน
หวังเหมี่ยนโกรธจัดจนหน้าดำ แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาไม่สามารถออกคำสั่งให้ใช้ปืนใหญ่ระดมยิงจู่โจมเซี่ยหมิงได้
แต่วิธีที่สองของ เจ้านกแร้ง มันทำได้แน่นอน นั่นคือ การต่อสู้แบบตัวต่อตัว
เป็นวิธีที่สามารถกำราบคู่ต่อสู้ และเป็นวิธีที่เรียกคืนศักดิ์ศรีกลับมาได้อีกด้วย
ถูกคนอื่นข่มขู่อย่างกำเริบเสิบสานในอาณาเขตของตนเองเช่นนี้ แม้ว่าหวังเหมี่ยนคิดอยากจะทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก พยายามไกล่เกลี่ยเพื่อหาข้อยุติด้วยแล้ว แต่ในเมื่อผลออกมาเป็นแบบนี้คงอดทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้วหล่ะ
“สู้ก็สู้สิ ใครกลัวกันหล่ะ”
“ใครก็ได้ ไปเอากระบองทองคำของฉันมา!”
เขายืนขึ้นด้วยสีหน้าอันโกรธจัด เขาต้องการลงมือจัดการกับคนยโสโอหังอย่าง เจ้านกแร้ง ด้วยตัวเอง
บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมาทันที
กลิ่นดินปืนคละคลุ้งไปทั่ว แค่เห็นก็รู้ว่ามันใกล้จะระเบิดแล้ว
ขณะนั้น มีเสียงตะโกนเข้ามาจากด้านนอก
“ราชาจั่วเจียน มาถึงแล้ว!”
“น้อมต้อนรับราชาจั่วเจียน!”
ราชาจั่วเจียน ,หวังเจี่ยนตามด้วยคนสนิทจำนวนหนึ่ง เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
แค่เห็นเขา ร่างกายอันกำยำ เคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายลม ใบหน้าเข้มงวด แววตาดุจดั่งเสือ
ไม่ว่าไปที่ไหน ใครเห็นเป็นต้องเกรงขาม
ในตงไห่ หวังเหมี่ยนสามารถนั่งในตำแหน่งจินยีโหวได้ นั่นเป็นเพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือด อีกทั้งหวังเหมี่ยนทำคุณงามความดีให้กับตงไห่เอาไว้มาก รวมถึงบารมีของเขาด้วย
เรื่องพวกนี้ไม่มีอะไรให้โต้แย้งได้
หวังซ่างชิง เจ้าเปี้ยนแก่ผู้นี้ที่สามารถนั่งตำแหน่ง ราชาโย่วเจียนได้ เขาอาศัยแค่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเท่านั้น ตั้งแต่อยู่ตงไห่มา เขาไม่เคยมีบารมีให้เอ่ยอ้างได้เลยสักนิด
หวังเหมี่ยนและหวังเฉียนผู้นำเกาะคนเก่าผู้ล่วงลับ มีปู่คนเดียวกัน พ่อของพวกเขา เป็นพี่ชายแท้ๆของหวังซ่างชิง
ดังนั้น หวังซ่างชิง จึงเป็นคุณลุงแท้ๆ ของหวังเหมี่ยนนั่นเอง
แต่ราชาจั่วเจียนหวังเจี่ยนผู้นี้ไม่เหมือนกัน ในแง่ของสายเลือด เขาห่างจากสายเลือดโดยตรงไปแล้วถึงสามรุ่น
หากไม่ใช่เพราะความสามารถอันโดดเด่นหวังเจี่ยนคงเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งในตระกูลไปเท่านั้น
ทุกวันนี้ที่สามารถขึ้นนั่งตำแหน่งอันเรืองรองอย่างราชาจั่วเจียน ได้ สิ่งที่หวังเจี่ยนอาศัยมาโดยตลอด ล้วนเป็นความพยายามของตัวเขาเองทั้งนั้น
เขาเป็นคนซื่อตรงไม่ยกยอประจบสอพลอ กล้าหาญมีไหวพริบ สร้างคุณูปการมากมายให้กับตงไห่มาชั่วทั้งชีวิต
มีคำกล่าวว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาของขุนพลกล้า จะไร้ไพร่พลที่อ่อนแอ ในเมื่อหวังเจี่ยนเป็นคนเช่นนี้ คนรอบข้างของเขาจึงไม่มีใครขี้ขลาดไปโดยปริยาย
ทุกคนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ทุกคนล้วนเป็นชายชาติทหารเลือดเร่าร้อน มีความกล้าหาญดุดันด้วยกันทั้งสิ้น
ทันทีที่เขากับคนของเขาปรากฏตัว กองกำลังทหารอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร ได้กลายเป็นขวัญกำลังใจให้กับตงไห่ขึ้นมาทันที ปรามเซี่ยหมิงและทีมตอนเหนือของเขาลงไปได้บ้าง
“วันนี้ติดธุระนิดหน่อย ฉันเลยมาสาย”
ท่ามกลางสายตาจับจ้องของผู้คนหวังเจี่ยนเดินก้าวมาถึงบนเวที และนั่งลงที่เก้าอี้ด้านซ้ายของจินยีโหว
“ท่านโหว ได้ยินว่ามีแขกผู้มีเกียรติมา โปรดแนะนำให้ฉันสักหน่อยเถอะ”
หวังเหมี่ยนถอนใจ และยิ้มแห่งความโล่งใจก็ปรากฏขึ้น มีหวังเจี่ยนนั่งอยู่ข้างๆ เขารู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลย
“ราชาเปี้ยน ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นจากเธอแต่แรก งั้นเธอก็เป็นคำแนะนำก็แล้วกัน” เขาพูดเย้ยหยัน ราชาเปี้ยน
ราชาเปี้ยนถอนใจและเล่าเรื่องทั้งหมดออกมาอีกรอบ
หวังเจี่ยนฟังจบ ก็หน้าบึ้งขึ้นมาทันที
เขามองไปยังเซี่ยหมิงพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “คุณชายเซี่ย เรื่องการหมั้นเป็นเรื่องใหญ่ ต้องอาศัยความสมัครใจ เธอเป็นแขกผู้มาเยือน พวกเราทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านต้อนรับแขกผู้มาเยือน นี่คือเรื่องธรรมดาของเพื่อนมนุษย์”
“ทำไมหรือ หากไม่รับปากเธอ เธอก็จะหาเรื่องอย่างนั้นหรือ?”
“หากตอนเหนือของพวกเธอแข็งกร้าวเช่นนี้ ถ้างั้นฉันคงต้องพิจารณาใหม่แล้วหล่ะ ว่าควรจะยกคุณหนูใหญ่ให้แต่งงานกับเธออยู่ไหม”
“ยังไม่ได้แต่งงานเลย เธอก็กล้าสร้างความวุ่นวายเช่นนี้แล้ว หากแต่งงานไปตอนเหนือจริงๆ จะถูกพวกเธอรังแกตามอำเภอใจอีกด้วยไหมหล่ะ?”
“แม้ตงไห่จะอ่อนแอ แต่ฉันรับรองได้ว่า เพื่อปกป้องบ้านเมือง พวกเราจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดให้หยกศิลาล้วนแหลกลาญไปด้วยกัน”
สมแล้วที่เป็นราชาจั่วเจียน ผู้กล้าหาญและมีไหวพริบ แค่ปรากฏตัวแป๊บเดียวก็สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เพียงคำพูดลอยๆ ประโยคเดียว ทำให้ เซี่ยหมิงไม่สามารถปล่อยให้ลูกน้องของเขาทำตัวกำเริบเสิบสานได้อีกต่อไป มิเช่นนั้น จะถือว่าพวกเขายอมรับว่าตัวเองเป็นพวกอันธพาลอาศัยความแข็งแกร่งข่มเหงรังแกผู้อ่อนแอกว่า พวกบ้าคลั่ง
ใครจะไปยอมให้หญิงสาวแต่งงานกับคนพันธุ์นี้ได้หล่ะ?
ขณะเดียวกัน หวังเจี่ยนเองก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าหากเกิดเรื่องขึ้นก็จะให้หยกศิลาแหลกลาญไปพร้อมๆ กันเลย
สีหน้าของเซี่ยหมิงบึ้งตึงเล็กน้อย เขาไตร่ตรองครู่หนึ่งและพูดเย้ยหยันว่า “ราชาจั่วเจียน เข้าใจผิดแล้ว”
“ความจริงใจของเซี่ยหมิง คือมาที่นี่เพื่อมาหาความสัมพันธ์อันดี จะอาศัยความแข็งแกร่งข่มเหงรังแกผู้อ่อนแอกว่าได้อย่างไรเล่า นั่นเท่ากับเป็นการทำลายภาพลักษณ์ตัวเองต่อหน้าคุณหนูใหญ่มิใช่หรือ”
“ในเมื่อราชาจั่วเจียนพูดเช่นนี้ ถ้างั้นฉันขอถามอีกสักครั้ง”
“ไม่ทราบว่าราชาจั่วเจียน ยินยอมการหมั้นครั้งนี้หรือไม่?”
“หากท่านไม่ยินยอม หวังว่าท่านจะให้เหตุผลที่เหมาะสม มิเช่นนั้น ตระกูลเซี่ยของพวกเรารวมถึงฉันเซี่ยหมิงคงต้องถูกคนทั้งโลกหัวเราะเยาะเอาแน่”
คำว่า “ถูกคนทั้งโลกหัวเราะเยาะ” มีความหมายลึกซึ้ง ซึ่งเป็นการโยนความผิดให้ หวังเจี่ยน
หากเธอทำให้ฉันและตระกูลเซี่ยของพวกเราถูกคนทั้งโลกหัวเราะเยาะ ถ้าเช่นนั้นเพื่อเป็นการเรียกคืนเกียรติและศักดิ์ศรีกลับคืนมาต่อหน้าผู้คนทั้งโลก พวกเราคงต้องลงมือจัดการอะไรบางอย่างด้วยเหมือนกัน
สุดท้าย ก็เป็นคนรักเกียรติรักศักดิ์ศรีอีกนั่นแหละ
และการกระทำเช่นนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องทำการคุกคามตงไห่อย่างแน่นอน
ผู้คนในที่นั่นไม่ได้โง่ แค่ฟังก็เข้าใจความหมายแฝงของ เซี่ยหมิงแล้ว เมื่อนึกถึงความรุนแรงที่จะถูกตอนเหนือคุกคาม สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่ หวังเจี่ยน
แม้แต่ฉินเทียนเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าราชาจั่วเจียนผู้นี้ จะตอบกลับเขาไปเช่นไร