บทที่ 956 ลูกเขยแต่งเข้าบ้าน

บัญชามังกรเดือด

บัญชามังกรเดือด บทที่ 956 ลูกเขยแต่งเข้าบ้าน

เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของทุกคนนั้น หวังเจี่ยนยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง พลางเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีเย้ยหยันว่า “เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉัน หรือจินยีโหวและคนอื่น ๆที่จะสามารถมาเป็นคนตัดสินได้ ”

“อย่างมากที่สุด พวกเราทำได้เพียงแค่แสดงความคิดเห็นออกมาเท่านั้น”

“หากคุณชายเซี่ยต้องการถามความคิดเห็นของฉันละก็ แน่นอนว่าฉันย่อมเห็นด้วยในใต้หล้านี้ จะมีผู้นำรุ่นเยาว์ที่มีภูมิหลังครอบครัวที่ดีและรูปร่างลักษณะที่ดีเช่นนายน้อยเซี่ยอีกที่ไหนเล่า”

อะไรนะ?

เห็นด้วย?

หลังจากที่ทุกคนได้ฟังคำพูดของหวังเจี่ยนแล้วนั้น บรรยากาศโดยรอบพากันแตกตื่นไปในทันที

“หวังเจี่ยน นายเห็นด้วยจริงๆ เหรอ?” ผู้ที่ดีใจที่สุดย่อมไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน นอกเสียจากราชาเปี้ยน

ทว่าทั้งจินยีโหวและเจ้าหน้าที่ผู้อาวุโสระดับสูงอีกหลาย ๆ คนนั้น ใบหน้าของพวกเขาพลันแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาในทันที เดิมทีพวกเขาหาได้เห็นด้วยกับข้อตกลงนี้ไม่

หรือว่า หวังเจี่ยนกำลังคิดคนทรยศ?

ท่ามกลางฝูงชนมากมาย ฉินเทียนอดที่จะขมวดคิ้วลงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เขาเองยังคงรู้สึกว่าราชาจั่วเจียนผู้นี้หาได้เรียบง่ายเช่นตาเห็นไม่

“ก็แค่…” แน่นอนว่า หวังเจี่ยนยังเอ่ยไม่จบ

เซี่ยหมิงพลันแย้มยิ้มออกมา ก่อนจะเอ่ยถามว่า “มีอะไรหรือ?”

หวังเจี่ยนเพียงถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ในยามที่ ท่านผู้นำเกาะคนก่อนจะสิ้นชีพลงนั้น เคยได้เอ่ยวาจาขึ้นมาว่า ท่านมิต้องการให้คุณหนูใหญ่ต้องแต่งออกไปที่ไกล ๆ ”

“หากว่ากันตามกฎของตงไห่แล้วนั้น สตรีที่แต่งงานแล้วจะถูกแยกออกจากแก่นแท้ของตงไห่ตลอดไป นับต่อแต่นี้ไป สตรีที่แต่งออกไปจะเป็นเพียงแค่ญาติเท่านั้น ไม่อาจเป็นครอบครัวได้อีกต่อไปแล้ว”

“ท่านผู้นำเกาะคนก่อนนั้น มีเพียงคุณหนูเป็นเพียงเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวของท่านดังนั้น ท่านผู้นำเกาะจึงหวังว่า หากบุตรสาวคนโตต้องการสร้างครอบครัวในอนาคตเมื่อใด ทางที่ดีควรจะเลือกตระกูลที่อยู่ภายในตงไห่จะดีกว่า”

“ผมเองก็คิดว่า คุณชายเซี่ยเหมาะกับคุณหนูใหญ่ของเราจริง ๆ ทว่า คุณชายเซี่ยจะยินยอมที่จะต้องออกจากตระกูลเซี่ย เพื่อแต่งเข้ามาเป็นเขยของตงไห่หรือไม่เล่า ?”

“ถ้าหากคุณชายเซี่ยยินยอมละก็ ผมก็ยินดีที่จะจัดการเรื่องนี้ให้กับคุณในทันที”

“คุณชายเซี่ยวางใจได้เลย ย่อมไม่ดูถูกคุณที่เป็นเพียงลูกเขยแต่งเข้าตระกูลมาแน่ ๆ”

“ในอนาคตข้างหน้าคุณชายเซี่ยก็ยังสามารถเข้าร่วมกลุ่มของพวกเราและดำรงตำแหน่งสำคัญภายในตงไห่กรุ๊ปได้อีกด้วย”

“คุณชายเซี่ย คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้เล่า?”

“คุณชายเซี่ยเป็นอะไรไป เหตุใดสีหน้าคุณถึงแย่มากเลย?”

เมื่อหวังเจี่ยนพูดจบนั้น ก็พลันเผยสีหน้าเต็มไปด้วยความพอใจออกมาในทันที

กลับกัน ใบหน้าของเซี่ยหมิงพลันแปรเปลี่ยนเป็นแข็งค้างและมืดครึ้ม การที่เขาสามารถอดทนฟัน และปล่อยให้หวังเจี่ยนพูดจบนั้น ถือว่าเซี่ยหมิงไว้หน้ามาก ๆ แล้ว

ผู้ใดจะไปคิดกันเล่าว่า หวังเจี่ยนที่เอ่ยอ้อมโลกไปมาเป็นพัลวันเช่นนี้ ท้ายที่สุดกลับเอ่ยออกมาว่าต้องการให้เซี่ยหมิงแต่งเข้ามาเป็นเขยเสียได้ นี่มิใช่เป็นความอัปยศอดสูอย่างที่สุดหรอกหรือ

เซี่ยหมิงที่เป็นบุตรชายคนโตของแดนเหนือ เป็นถึงว่าที่ทายาทของตระกูลเซี่ยในอนาคต!

“นั่นสิคุณชายเซี่ย คุณยอมแต่งเข้ามาเป็นเขยของตงไห่หรือไม่เล่า?” จินซานพลันเอ่ยพูดออกมาอย่างติดตลกพร้อมกับกลุ่มชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง

ยามที่พวกเขามีปัญหากับเจ้านกแร้งและถงอานเมื่อครู่นั้น ได้แต่เก็บกักความไม่พอใจเอาไว้ ในยามนี้ถือว่าได้ระบายอารมณ์เมื่อครู่ออกไปเสียที

“ช่างไร้เหตุผลเสียจริง!”

“ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!”

เซี่ยหมิงได้แต่กัดฟันอดทนเอาไว้ ทว่า ราชาเปี้ยนไม่อาจทนได้อีกต่อไป

เขาพลันลุกขึ้นยืนและใช้นิ้วชี้ไปที่หน้าของหวังเจี่ยน ก่อนจะเอ่ยคำสาปแช่งออกมาเสียงดัง

“ไอ้สารเลว! เอ็งกล้าดียังไง มาขู่ให้คุณเซี่ยแต่งเข้าบ้านเช่นนี้ เอ็งไม่รู้หรือว่าคุณชายเซี่ยคือใคร?”

“มันช่าง…เปิดโลกของฉันเสียจริง! นึกเสียว่าเป็นแค่ฝันไป !”

“คุณชายเซี่ย อย่าโกรธ—”

เจ้านกแร้งพลันกัดฟันพูดขึ้นมาด้วยความเดือดดาล “นายท่าน โปรดสั่งการข้าด้วย!”

“ข้าน้อยจะตัดหัวผู้ชายคนนี้ทันที!”

“พี่เทียนพี่คิดว่าพวกเขาจะทะเลาะกันไหม?”

“ถึงยังไงฉันก็รู้สึกว่า ตระกูลเซี่ยนั้นทำตัวยโสโอหังเกินไป หากได้ทุบตีพวกเขาสักครั้งย่อมดีไม่น้อย ”

ฉวนซานพลันเอนหลังไปเอ่ยซุบซิบกับฉินเทียน

เดิมที พวกเขาทั้งสามคนแฝงตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มของนายพลเกา ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นว่าฉินเทียนแฝงตัวเข้าไปอยู่ในทีมของราชาจั่วเจียนนั้น พวกเขาก็รีบตามมาในทันที

“นายเป็นคนของเกาเหมิ่งงั้นหรือ? พวกนายรู้จักกันมาก่อนเหรอ?” หูเถิงที่ยืนอยู่ข้างกายฉินเทียนนั้น ใบหน้าพลันเต็มไปด้วยความงงงวย

ฉินเทียนเพียงแย้มยิ้มกล่าวออกมา “รอดูไปก่อน”

ฉินเทียนพลันมองไปที่เซี่ยหมิงด้วยความรู้สึกสนใจยิ่งนักเขาเองก็อยากจะรู้นัก เซี่ยหมิงที่ถูกหวังเจี่ยนตบหน้าเช่นนี้ บุตรชายคนโตของแดนเหนือเช่นเขาจะทำเช่นไร

ดูเหมือนว่า เซี่ยหมิงจะพอเตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วบ้าง เจ้านกแร้งที่เป็นถึงข้ารับใช้ข้างกายของเขา ถือว่าเป็นคนที่มีฝีมือโหดเหี้ยมยิ่งนัก

พวกเขาจะต่อสู้กับคนของตงไห่หรือไม่?

ในยามนี้เขาไม่มีท่าทีรีบร้อนที่จะขอเข้าไปพบกับหวังตัวยวี่ หรือขอเห็ดหลินจือเลือดต่างอย่างใด

มิคาดคิดว่า จู่ ๆ เซี่ยหมิงจะแย้มยิ้มออกมา

พลางหันไปเอ่ยกับเจ้านกแร้งด้วยท่าทีดุร้ายว่า “เฒ่าแร้ง พวกเราเป็นแขกของที่นี่ อย่าได้คิดหาเรื่องเลย ”

จากนั้น เซี่ยหมิงพลันค่อย ๆ หันไปมองหวังเจี้ยน พลางเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเย้ยหยันว่า “ราชาจั่วเจียน ท่านคิดทบทวนให้ดีเล่า ถึงแม้ว่าฉันจะเต็มใจลดศักดิ์ศรีของตัวเอง เพื่อแต่งเป็นเขยเข้าตระกูลของพวกคุณ”

“แต่คุณกับจินยีโหวจะยอมวางใจได้เหรอ ?”

“พวกคุณไม่กลัวว่า ทุกอย่างภายในตงไห่จะตกมาอยู่ในกำมือของฉันหรือยังไง?”

“คุณพูดอะไร?” จู่ ๆ หวังเจี่ยนพลันมีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที

เมื่อครู่ เขายังคงภูมิใจที่ทำให้เซี่ยหมิงได้อับอายขายหน้าตัวเอง ในขณะเดียวกันก็สร้างปัญหาให้กับเซี่ยหมิงด้วยเช่นกัน

นั่นเป็นเพราะว่า หวังเจี่ยนรู้สึกว่าเซี่ยหมิงและตระกูลเซี่ย ย่อมไม่เห็นด้วยการกับการแต่งเข้ามาเป็นเขยอย่างแน่นอนเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องนี้จักหาใช่เป็นกลุ่มของคนตงไห่เอ่ยปฏิเสธเขาไม่ แต่เป็นเซี่ยหมิงเองที่ไม่อาจรับข้อเสนอได้ พร้อมกับเป็นคนล่าถอยออกไปด้วยตนเอง

เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่า จู่ ๆ เซี่ยหมิงจะเอ่ยถามคำถามนี้ขึ้นมา

ทั่วร่างของเขาราวกับถูกฟ้าผ่าไปในทันที

เมื่อเห็นเซี่ยหมิงฉีกยิ้มกว้างอย่างมีชัยเช่นนั้น ทำเอาหวังเจี่ยนอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า หากดึงเซี่ยหมิงเข้ามาในตงไห่จริง ๆ แล้วไซร้ จักเป็นการชักเสือเข้าบ้านตนเองหรือไม่

ด้วยการสนับสนุนตระกูลเซี่ยของเซี่ยหมิง พวกเขาจักมาถือครองตระกูลตงไห่ ด้วยนำพาให้ตงไห่ภายในแตกแยกและคอยเข้าควบคุมหรือไม่?

เมื่อหวังเจี่ยนได้มาเผชิญหน้ากับเซี่ยหมิงผู้เจ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอก เย็นชาเสมือนกับงูมีพิษ แม้แต่หวังเจี่ยนผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ยังมิรู้จะเอ่ยตอบออกไปเช่นอยู่พักหนึ่ง

เซี่ยหมิงพลันเอ่ยเย้ยหยันออกมาอย่างเย็นชาว่า “ราชาจั่วเจียนมิพูดไม่จาเช่นนี้ ต้องการที่จะปฏิเสธผมหรือยอมตกลงกันแน่เล่า?”

“คุณจะยอมตกลงให้ฉันแต่งงานเข้าตงไห่ หรือยินยอมส่งคุณหนูใหญ่ตระกูลหวังไปที่ที่แดนเหนือกันแน่ รีบมาคุยกันดีๆ เถอะ!”

“ฮ่าๆๆๆ !”

ทันทีที่เซี่ยหมิงพูดจบนั้น พลันมีเสียงหัวเราะเล็กแหลมดังขึ้นจากข้างกายเขาในทันที

เจ้านกแร้งพลันเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า พลางส่งเสียงหัวเราะออกมาเป็นเวลานานทั้งยังสร้างความปวดแก้วหูให้กับทุกคน ส่วนใครที่พละกำลังอ่อนแอนั้น ถึงกับอ้าปากสำลักเลือดออกมาในทันที

หลายคนอดไม่ได้ที่จะใช้มืออุดหู พลางกัดฟันอดทนเอาไว้

เจ้านกแร้งที่ส่งเสียงหัวเราะออกมาลากยาวถึงหนึ่งนาทีเต็ม ๆ ก่อนที่จะหยุดหัวเราะลง

พลางหันไปจ้องมองหวังเจี่ยนด้วยนัยน์ตาที่สั่นไหว พลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ราชาจั่วเจียน ท่านได้ยินคำพูดของนายท่านของข้าหรือไม่?”

“ท่านต้องการให้คุณชายของข้าแต่งเข้าเป็นเขย หรือให้คุณหนูใหญ่แต่งออกไปที่แดนเหนือก่อนเล่า?”

การกระทำของเขา นับว่าเป็นการข่มขู่แต่โดยดี!

พร้อมทั้งเสียงหัวเราะแปลก ๆ ที่ดังขึ้นมา ทำเอาผู้คนในตงไห่มีสีหน้าเปลี่ยนไป หวังเจี่ยนพลันมีสีหน้าซีดเผือดไปในทันที

ทั้งเขาและจินยีโหวกับหวังเหมี่ยนพลันสบตากันไปในทันทีพร้อมกับนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความหวาดผวาอยู่เล็กน้อย

ช่างเป็นพลังภายในที่แข็งแกร่งอะไรเช่นนี้!

เกรงว่า แม้แต่ผู้คนที่อยู่ภายในที่แห่งนี้ก็ยังมีพละกำลังที่ด้อยกว่าเขา

เมื่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ ยังมิเป็นประโยชน์แก่ตงไห่อีกด้วย ภายในสถานการณ์ที่ตึงเครียด พลันมีร่างซูบผอมร่างหนึ่งพลันปรากฏตัวออกมาจากฝูงชน พร้อมทั้งยื่นกายทำความเคารพต่อหวังเหมี่ยน หวังเจี่ยนและหวังซ่างชิง

พลางเอ่ยออกมาด้วยความเคารพว่า “ขอเข้าพบนายท่านทั้งสองขอรับ ข้าน้อยมิรู้ว่าตนเองควรเอ่ยออกมาหรือไม่ ทว่าข้ามีเรื่องอยกาจะเอ่ยแนะนำพวกท่านเสียหนึ่งประโยค”

คือหวังหลี

ราชาเปี้ยนพลันกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้นว่า “หวังหลี ในฐานะที่เจ้าเป็นถึงบุตรชายของท่านผู้นำเกาะนั้น ทั้งยังเป็นคุณชายแห่งตงไห่อีกด้วย ”

“เจ้าควรจะลุกขึ้นมาแสดงความคิดเห็นตั้งแต่แรกแล้ว เจ้าว่า เจ้าอยากจะให้พี่สาวของเจ้าแต่งออกไปให้คนเช่นคุณชายเซี่ยหรือไม่?”

หวังเหมี่ยนพลันแสดงสีหน้าออกมาอย่างน่าเกลียดไปในทันที เขามักจะรู้สึกว่าหวังหลีผู้นี้รกหูรกตาอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าภายนอกหวังหลีจะดุสุขุมนุ่มลึก แต่เขากลับรู้สึกว่าคนผู้นี้กำลังเสแสร้งอยู่

“คุณต้องการจะพูดอะไร?” หวังเหมี่ยนพลันเอ่ยขึ้นมาอย่างเย็นชา