รอยยิ้มบนใบหน้าโม่เทียนเกอแข็งทื่อค้างอยู่ นางจ้องผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งสามคนโดยไม่ได้พูดอะไร
ในทั้งสามคนที่อยู่ต่อหน้านาง ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวนิ่วหน้าและผู้อาวุโสชิงซีดูค่อนข้างระวังตัว มีเพียงแค่ผู้อาวุโสชิงอี้เท่านั้นที่ยังคงยิ้มอยู่ราวกับว่าสิ่งที่นางพูดถึงเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนเว่ยเฮ่าหลานที่ยืนอยู่ข้างๆ นาง ดวงตานางเบิกกว้างด้วยความตกใจทันที “ท่านผู้อาวุโส ท่านหมายความว่า…” นางหันมามองโม่เทียนเกอและหลังจากนั้นนางก็ค่อยๆ ถอยหลังออกทันที
ถึงแม้โม่เทียนเกอจะยังดูสงบนิ่ง แต่ความคิดนับไม่ถ้วนกำลังแล่นผ่านเข้ามาในจิตใจของนาง
จงมู่หลิงเคยบอกว่าตราบใดที่นางใส่จี้ซ่อนวิญญาณที่เขาขัดเกลาให้ นางก็จะไม่มีปัญหาอะไรต่อให้นางปลอมตัวเป็นมนุษย์ธรรมดาก็ตาม เขาเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นสุดยอดในดินแดนมนุษย์ผู้ที่เป็นเทพมาหลายพันปี ตามหลักเหตุผลแล้ว แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ยังไม่น่าจะสามารถมองทะลุผ่านวิชาของเขาไปได้ด้วยซ้ำ
แต่ทำไมกัน ทำไมผู้ฝึกตนแค่ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังสามคนถึงสามารถเห็นระดับการฝึกตนที่แท้จริงของนางได้!
ตอนนี้นางควรทำอะไรดี เป็นฝ่ายเคลื่อนไหวก่อน แต่นางไม่ได้โอหังมากจนคิดว่าจะสามารถหนีไปได้อย่างไร้อันตรายภายใต้การเฝ้าดูของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามคน และช่วงวินาทีสั้นๆ ที่นางมีก็คงจะไม่เพียงพอให้นางเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนได้ นางควรทำอย่างไรดี
ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งสามคนกำลังจ้องนางด้วยรอยยิ้มหรือไม่ก็ไร้ซึ่งสีหน้าใดๆ อย่างไรก็ตาม พวกนางทั้งหมดล้วนมีความระแวงแฝงอยู่ในสายตา
ในท้ายที่สุด โม่เทียนเกอเผยรอยยิ้มจางๆ และพูดว่า “ศิษย์พี่ช่างมีดวงตาเป็นเลิศ ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าท่านมองทะลุผ่านมันได้อย่างไร”
“สหายน้อยเยี่ยใจเย็นดีจริงๆ …” ผู้อาวุโสชิงอี้พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ที่จริงแล้วไม่ได้มีปัญหาอะไรหากจะบอกเจ้าหรอกนะ”
ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวที่นั่งอยู่ข้างนางก็ยิ้มเช่นกันแล้วจึงรับช่วงพูดต่อ “สหายน้อยเยี่ยไม่ควรคิดให้มากเกินไป เจดีย์บรรลุเต๋าแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นโดยผู้ก่อตั้งแห่งสภาปี้เซวียน มีกำแพงอาคมและกับดักอยู่ทั่วทุกที่ แม้แต่พวกเราศิษย์ผู้น้อยที่ได้สืบทอดเจดีย์นี้มาก็ยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับทุกอย่างที่อยู่ข้างใน แต่อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้นมีข้อกำหนดนี้อยู่ ทุกวิชามายาที่ใช้โดยผู้มาเยือนของเจดีย์แห่งนี้จะถูกมองทะลุผ่านได้โดยผู้ฝึกตนที่ระดับการฝึกตนสูงกว่าของคนพวกนั้น จากแง่มุมหนึ่ง วิชาซ่อนลมปราณก็อาจพิจารณาได้ว่าเป็นวิชามายาเช่นกัน”
“เข้าใจล่ะ…” ตอนแรกโม่เทียนเกอคิดว่าปี้สุยหยวนจวินเป็นคนฉลาดและเก่งกาจ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ไม่แพ้นักเดินทางจื่อเวยเช่นกัน ถึงแม้โม่เทียนเกอจะอ่านหนังสือมามากจนนับไม่ถ้วน แต่นางไม่ได้สังเกตเห็นกำแพงอาคมประเภทนี้อย่างแน่นอน
ขณะที่นางคิดมาถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอแอบเตือนตัวเอง ถึงแม้ต้นทุนของนางตอนนี้จะเยี่ยมยอดและนางก็ยังครอบครองสมบัติพิเศษต่างๆ แต่นางต้องไม่ประเมินผู้ฝึกตนคนอื่นต่ำเกินไปเด็ดขาด โลกนี้กว้างใหญ่และมีคนเก่งๆ มากมายอยู่ข้างนอกนั้น ต่อให้ความสามารถของพวกเขาจะด้อยกว่านาง แต่ก็ต้องมีคนหลายคนที่ความฉลาดและสติปัญญาดีเหนือกว่านาง
“เจ้าดูเหมือนจะไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย” ผู้อาวุโสชิงซีที่เงียบมาโดยตลอดในที่สุดก็พูดขึ้น น้ำเสียงของนางเย็นชาและสายตาแหลมคมของนางก็จับจ้องอยู่ที่โม่เทียนเกอ
โม่เทียนเกอเลิกคิ้วแต่ยังคงยิ้มอยู่ “ในตอนแรก ศิษย์น้องก็รู้สึกกลัวเล็กน้อยเพราะศิษย์น้องไม่เคยคาดคิดว่าท่านผู้อาวุโสทั้งสามจะมองทะลุผ่านความลับของข้าได้ อย่างไรก็ตาม หากศิษย์พี่ต้องการทำร้ายข้า ศิษย์พี่แค่ต้องขยับเพียงปลายนิ้วเท่านั้น ทำไมศิษย์พี่จะต้องมาพูดคุยกับข้าอย่างมีเมตตาด้วย อีกอย่างหนึ่ง นอกเหนือจากปิดบังระดับการฝึกตนของศิษย์น้อง ศิษย์น้องก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่น่าพึงพอใจให้กับกลุ่มของท่าน ดังนั้นศิษย์น้องจึงไม่กลัว”
“โอ้” ผู้อาวุโสชิงอี้ดูค่อนข้างสนใจนาง “ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะอธิบายได้อย่างไรว่าทำไมเจ้าถึงเก็บระดับการฝึกตนของเจ้าไว้เป็นความลับ แค่พูดว่าเจ้าทำเช่นนั้นโดยไม่มีเจตนาร้ายนั้นเชื่อได้ยาก!”
โม่เทียนเกอพูดอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ที่จริงศิษย์พี่ได้พูดไปแล้วถึงสาเหตุว่าทำไมข้าถึงปิดบังระดับการฝึกตน”
ผู้อาวุโสทั้งสามล้วนแสดงสีหน้างุนงง
นางพูดต่อ “ศิษย์พี่ เมื่อข้าพูดว่าข้าอายุสามสิบเก้าปี พวกท่านทุกคนต่างเลิกคิ้ว… สาเหตุว่าทำไมข้าถึงปิดบังระดับการฝึกตนของข้าก็เพราะคนส่วนใหญ่มักจะมีปฏิกิริยาเหมือนอย่างที่ศิษย์พี่ทำ”
“โอ้” ผู้อาวุโสชิงอี้หยุดเพื่อมองผู้อาวุโสอีกสองคนไปมา สุดท้ายพวกนางทั้งสามคนจึงยอมละความคลางแคลงใจสุดท้ายที่เหลืออยู่ “ด้วยอายุปัจจุบันของสหายน้อย การเข้าถึงขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานนั้นค่อนข้างน่าตกใจจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าถูกผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่รับเข้าเป็นศิษย์ แม้แต่ทั่วทั้งในขั้วท้องฟ้า อัจฉริยะอย่างเจ้าแทบจะไม่เคยปรากฏตัวขึ้นในรอบสหัสวรรษ เอ้ กลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่สุดท้ายแล้วก็เป็นกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ …”
พวกนางเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งการฝึกตนมาหลายร้อยปี ศิษย์อายุน้อยส่วนใหญ่ของพวกนางไม่เคยไปที่คุนอู๋ แต่พวกนางในฐานะผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งสามคนเคยเห็นมาแล้วอย่างแน่นอนว่าโลกที่แท้จริงเป็นอย่างไร แล้วพวกนางจะไม่เข้าใจสิ่งที่โม่เทียนเกอพูดได้อย่างไร นอกจากเล่นเป็นหมูที่กินเสือ นางยังปิดบังระดับการฝึกตนที่แท้จริงของนางเพื่อเป็นวิธีปกป้องตัวเองอีกด้วย หากคนประเมินพละกำลังของท่านต่ำเกินไป ก็อาจบังเอิญให้โอกาสท่านได้รอดชีวิตเมื่อพวกเขาวางแผนต่อต้านท่านก็เป็นได้
หลังจากมองดูว่าโม่เทียนเกอรับมือกับสิ่งต่างๆ อย่างไร ผู้อาวุโสชิงอี้ก็อดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญอยู่ในใจ ถึงแม้เด็กคนนี้จะยังอายุน้อยมาก กระนั้นนางก็ใจเย็นมากในการรับมือกับสิ่งต่างๆ เมื่อเทียบกันแล้ว แทบไม่มีใครที่เข้าใจว่าจะรับมือกับสิ่งต่างๆ อย่างรอบคอบได้อย่างไรที่สภาปี้เซวียนเลยสักคน สิ่งนี้จะไม่ทำให้ผู้อาวุโสชิงอี้รู้สึกผิดหวังได้อย่างไร
ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวและผู้อาวุโสชิงซีมีสีหน้าแบบเดียวกับผู้อาวุโสชิงอี้เช่นกัน หลังจากพวกนางยอมละทิ้งความสงสัยที่มี สีหน้าของพวกนางตอนนี้ดูเคร่งเครียด พวกนางตกใจที่ได้เจอกับอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้ และในขณะเดียวกัน พวกนางก็นึกได้ถึงสถานการณ์ปัจจุบันของสภาปี้เซวียน และครุ่นคิดว่าพวกนางควรเปลี่ยนแปลงวิธีจัดการกลุ่มสักเล็กน้อยดีหรือไม่
สำหรับพวกนาง การเข้าถึงขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานตอนอายุสามสิบเก้าปีนั้นเกินกว่าจะคาดคิดได้ ถึงแม้พวกนางจะอยู่ในหลินไห่ แต่พวกนางก็มีม่านพลังเคลื่อนย้ายที่เชื่อมต่อกับคุนอู๋ ดังนั้นพวกนางจึงไม่ขาดข้อมูล แม้แต่ในคุนอู๋ ผู้ฝึกตนที่ก่อขุมพลังได้ตอนอายุประมาณร้อยปีได้ปรากฏตัวขึ้นแค่ในทุกหลายพันปีเท่านั้น และแต่ละครั้งที่มีคนหนึ่งปรากฏขึ้น พวกเขาก็มักจะถูกนิยามว่าเป็นอัจฉริยะ นางอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้วตอนอายุสามสิบเก้าปี คาดว่านางจะสามารถก่อขุมพลังได้ภายในอีกยี่สิบถึงสามสิบปีข้างหน้า ผู้ฝึกตนที่สามารถเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังเมื่ออายุเจ็ดสิบปีนั้นคืออัจฉริยะท่ามกลางอัจฉริยะ!
แต่กระนั้น โรงเรียนเสวียนชิงกลับปล่อยให้อัจฉริยะท่ามกลางอัจฉริยะเช่นนั้นทำอะไรก็ได้ตามที่นางต้องการและอนุญาตให้นางออกไปข้างนอกด้วยตัวเองเพื่อหาประสบการณ์
ในทางกลับกัน สภาปี้เซวียนของพวกนาง… ไม่ต้องพูดถึงการไม่มีอัจฉริยะที่มีความสามารถขนาดนี้ แต่แม้แต่ศิษย์ของพวกนางที่มีรากวิญญาณกลายพันธุ์ผู้ที่พวกนางสามารถเกณฑ์เข้ากลุ่มมาได้อย่างยากลำบากก็มักจะอยู่ข้างๆ พวกนางเสมอเพราะความระมัดระวัง เป็นเวลามากกว่าร้อยปีที่พวกนางไม่เคยปล่อยให้ศิษย์คนนั้นออกจากลุ่มเลยสักครั้งเดียว ที่จริงแล้วพวกนางไม่กล้าที่จะปล่อยให้ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานที่มีแววมากหน่อยคนอื่นๆ ออกไปข้างนอกและหาประสบการณ์ภาคสนามด้วยซ้ำไป
ผู้อาวุโสทั้งสามคนครุ่นคิดอยู่เงียบๆ เป็นเวลาพักหนึ่ง ทั้งหมดล้วนนิ่งเงียบ
ขณะนั้นเอง เว่ยเฮ่าหลานที่สายตามองกลับไปกลับมาระหว่างพวกนางอดไม่ได้ที่ต้องก้าวมาข้างหน้าและถามว่า “สหายนักพรตเยี่ย… อยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานจริงหรือ”
ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวพยักหน้า “เห่าหลาน มันเพียงพอแล้วสำหรับเจ้าที่จะรู้เรื่องนี้ อย่าเปิดเผยเรื่องนี้ให้กับคนอื่นได้รู้ เราไม่ต้องการสร้างปัญหาให้ตัวเอง”
“… เจ้าค่ะ” เว่ยเฮ่าหลานตอบแผ่วเบา จากนั้นนางเอียงหัวไปด้านข้างและมองโม่เทียนเกอ สายตานางเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายผสมกัน สุดท้ายนางก็แค่ถอนหายใจเงียบๆ และมองไปทางอื่น
เรื่องสหายนักพรตเยี่ย ตอนแรกนางแค่รู้สึกอิจฉาโชคดีของนางที่ได้เป็นศิษย์ของหนึ่งในกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ในขั้วท้องฟ้า แต่ก็แค่นั้น ด้วยสถานะของนางในฐานะเจ้าสำนัก นางไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้ให้มากเกินไป อย่างไรก็ตาม… ตอนนี้ที่นางรู้ความจริงโดยไม่คาดคิดว่าสหายนักพรตเยี่ยคนนี้เป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้ายแล้วแม้นางจะอายุยังน้อย… มันเกินกว่าจะจินตนาการได้!
“สหายน้อยเยี่ย เจ้ายังเด็กมากแต่เจ้าก็มีระดับการฝึกตนที่สูงเช่นนั้นแล้ว และเจ้ายังมีทักษะการปรุงยาที่ดีเยี่ยมเช่นนั้นอีกได้อย่างไร” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวถาม
โม่เทียนเกอแค่ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเพื่อคิดหาคำตอบให้กับคำถามนี้ “ข้าจะพูดตามตรงกับศิษย์พี่ ถึงแม้ต้นทุนของข้าจะถือได้ว่ายอดเยี่ยม แต่ข้าก้าวเข้ามาถึงขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานได้เพราะข้าได้รับชะตาลิขิต ไม่ใช่เพราะข้าฝึกตนอย่างแข็งขันทุกวัน โดยปกติข้าจะศึกษาศาสตร์แห่งการปรุงยาด้วยเพื่อบรรเทาอารมณ์ นอกจากนี้… ถึงแม้ทักษะการปรุงยาของข้าดูเหมือนจะยอดเยี่ยมในสายตาผู้ฝึกตนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญในการปรุงยา แต่เทียบกับกลุ่มการฝึกตนที่เชี่ยวชาญในการปรุงยาอย่างโรงเรียนตานติ่ง ทักษะของข้าไม่ได้มีค่าอะไรมากมายนัก”
“อย่างนั้นหรือ” มีร่องรอยของความสงสัยแฝงอยู่ในสายตาของผู้อาวุโสชิงซีขณะที่นางพูด “พวกเราทั้งสามคนไม่ใช่คนโง่เขลาที่ไม่เคยเห็นโลกนี้มาก่อน เราเคยลองปรุงยาฟ้ากระจ่างมาแล้วก่อนหน้านี้ และย้อนไปตอนนั้น เราไปที่โรงเรียนตานติ่งเพื่อตามหาอาจารย์ปรุงยา ว่ากันว่าทักษะของอาจารย์ปรุงยาคนนั้นค่อนข้างสูงแต่เขาก็ยังไม่ได้มีอัตราความสำเร็จที่หกถึงเจ็ดส่วน สหายน้อยเยี่ย ทำไมทักษะการปรุงยาของเจ้าจึงดีกว่าผู้ฝึกตนโรงเรียนตานติ่งถึงแม้จะมีความจริงว่าเจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญในการปรุงยาก็ตาม”
“ง่ายมาก” โม่เทียนเกอพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน “ถึงแม้โรงเรียนตานติ่งจะเป็นกลุ่มการฝึกตนที่เชี่ยวชาญในการปรุงยา แต่ไม่ใช่ศิษย์ทุกคนของพวกเขาจะมีพรสวรรค์ในการปรุงยาดีกว่าคนภายนอก ถ้าเราจะพูดกันถึงเรื่องพรสวรรค์ในการปรุงยาอย่างเดียว ข้ามั่นใจว่าพรสวรรค์ของข้าไม่แพ้คนอื่นๆ” เพื่อเก็บเรื่องการมีอยู่ของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเป็นความลับ นางทำได้แค่พูดอวดอ้างเกี่ยวกับตัวเองเท่านั้น ถ้านางพูดไปว่าความสามารถในการปรุงยาของนางไม่ดี ใครจะเชื่อเรื่องนั้นกัน
หยุดครู่หนึ่งแล้วนางจึงพูดต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยที่ต้องพูดความจริง พละกำลังของโรงเรียนตานติ่งเคยเฟื่องฟูมาก่อน พวกเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ด และความภาคภูมิใจของพวกเขาก็สูงเกินกว่าจะเข้าใจได้ ข้าเกรงว่าพวกเขาไม่คิดจริงจังกับผู้ฝึกตนจากกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ ดังนั้นพวกเขาจึงแค่ส่งอาจารย์ปรุงยาธรรมดามาพบท่านเท่านั้น”
ผู้อาวุโสทั้งสามรู้สึกไม่พอใจ แต่พวกนางก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่โม่เทียนเกอพูดคือความจริง ถึงแม้พวกนางจะเป็นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งหมด แต่โรงเรียนตานติ่งก็ถือว่าหยิ่งยโสก่อนที่พวกเขาจะตกต่ำลง แม้แต่สำนักเทียนเต้าและโรงเรียนเสวียนชิงยังสุภาพกับพวกเขาเพราะทั้งสองมักจะเข้าหาพวกเขาบ่อยๆ เพื่อขอความช่วยเหลือในการปรุงยา หลังจากติดอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นมาสักพักหนึ่ง ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังจากกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ จะได้รับความเคารพจากพวกเขาได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม โรงเรียนตานติ่งในปัจจุบันได้อ่อนกำลังลงอย่างมากหลังจากพวกเขาผ่านการจลาจลสัตว์ปีศาจมา ชื่อเสียงของพวกเขาในฐานะหนึ่งในกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดไม่ใช่อะไรนอกไปจากประเพณีเก่าแก่แล้วในตอนนี้ บัดนี้พวกเขาตกต่ำลงสู่การเป็นแผนกปรุงยาของกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่อีกหกกลุ่ม เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเมื่อก่อนโรงเรียนตานติ่งเคยหยิ่งยโสมากเกินไป มิเช่นนั้นกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่อีกหกกลุ่มคงไม่จงใจส่งความช่วยเหลือไปล่าช้า โชคร้ายที่ตอนนี้โรงเรียนตานติ่งต้องกล้ำกลืนกับผลลัพธ์แสนขมขื่นนี้
ในโลกแห่งการฝึกตน กฎที่คนใช้ในการจัดการกับความประพฤติของตัวเองและจัดการกับกลุ่มการฝึกตนนั้นเหมือนกัน ถ้าพละกำลังของท่านยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ มันไม่สำคัญว่าท่านจะหยิ่งยโสหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม หากท่านอ่อนแอ มันจะดีกว่าที่ท่านจะอยู่อย่างเงียบๆ ไม่โดดเด่น หากพละกำลังของท่านยอดเยี่ยมแต่ท่านไม่ทำตัวโดดเด่น นั่นก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่
“หรือพูดอีกอย่างก็คือ โอกาสในการมาถึงหลินไห่ของสหายน้อยเยี่ยก็สามารถถือได้ว่าเป็นโชคดีสำหรับพวกเราสหายแก่ๆ หากเจ้าไม่มาถึงที่หลินไห่ เราคงจะต้องยากลำบากมากในการตามหาอาจารย์ปรุงยาที่เหมาะสม” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวหันมาหานางและพูดด้วยรอยยิ้มหลังจากเหลือบมองกันเองกับผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงซี
โม่เทียนเกอตอบอย่างถ่อมตัว “เมื่อเป็นเรื่องทักษะการปรุงยา ทักษะของศิษย์น้องแค่พอรับได้ ในคุนอู๋มีอาจารย์ปรุงยาที่ยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่อีกมากมาย ก็แค่เพราะศิษย์พี่อาศัยอยู่ในหลินไห่ ดังนั้นศิษย์พี่จึงแทบไม่มีโอกาสได้ติดต่อกับพวกเขา”
ผู้อาวุโสชิงอี้พยักหน้า “สหายน้อยเยี่ยไม่ได้หยิ่งยโสหรือใจร้อน ข้าน่าจะให้ศิษย์ในกลุ่มของข้าเรียนรู้จากเจ้าให้เหมาะสม”
ความเย็นชาในสีหน้าของผู้อาวุโสชิงซีหายไป แต่นางยังดูเคร่งขรึมเมื่อนางถามว่า “สหายน้อยเยี่ย ท่านอาจารย์ของเจ้าสบายใจกับการที่เจ้าออกมาหาประสบการณ์เช่นนี้หรือ”
โม่เทียนเกอค่อนข้างประหลาดใจกับคำถามนี้ นางจึงเลิกคิ้วและถามกลับ “ศิษย์น้องไม่เข้าใจว่าศิษย์พี่หมายความว่าอะไร ทำไมท่านอาจารย์ของข้าต้องไม่สบายใจด้วย”
ผู้อาวุโสชิงซีกล่าว “ด้วยต้นทุนของเจ้า เจ้าเข้าถึงขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเรียบร้อยแล้วตอนอายุยังน้อยเช่นนี้ คาดว่าเจ้าคงจะเป็นศิษย์อัจฉริยะที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่โรงเรียนของเจ้าด้วยใช่ไหม โรงเรียนและท่านอาจารย์ของเจ้าจะไม่กังวลว่าเจ้าจะไปเจออุบัติเหตุอะไรรึเมื่อเจ้าออกเดินทาง”
คำพูดของผู้อาวุโสชิงซีฟังดูราวกับว่านางกำลังแช่งนาง ทว่าน้ำเสียงนางอ่อนโยนมาก โม่เทียนเกอจึงไม่ได้โกรธเคืองอะไร นางแค่เผยรอยยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “ศิษย์พี่ ท่านน่าจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่โรงเรียนเสวียนชิงเป็นโรงเรียนแห่งเต๋า นอกเหนือจากระดับการฝึกตน เรายังให้ความสำคัญกับสภาวะจิตของเราอีกด้วย ท่านอาจารย์ของข้ามักจะบอกข้าเสมอว่าถ้าสภาวะจิตของเราไม่โตพอ เราต้องระวังตัวให้มากเมื่อเราพยายามทำการบรรลุผ่านดินแดน และศิษย์น้องก็เห็นด้วยเช่นกัน ถ้าเราเอาแต่กลัวว่าจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเมื่อเราออกเดินทาง เราก็ไม่มีทางออกไปหาประสบการณ์ภาคสนามได้ หากเป็นเช่นนั้น ถึงแม้คนนั้นจะเป็นศิษย์อัจฉริยะ ก็จะไม่มีทางเติบโตไปเป็นผู้ฝึกตนที่ยอดเยี่ยมได้ หากเราไม่สามารถเติบโตได้อย่างเหมาะสม การมีความสามารถดีเยี่ยมจะมีประโยชน์อะไร ในการฝึกตน ผลลัพธ์สุดท้ายขึ้นอยู่กับระดับการฝึกตน ดินแดนการฝึกตน และความสามารถในการต่อสู้ด้วยพลังเวทของคนผู้หนึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะพึ่งพาแค่กับความสามารถอย่างเดียวแล้วเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ไปได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะฉะนั้นต่อให้เราต้องเผชิญกับอันตรายหรือความสูญเสียบ้าง มันก็คุ้มค่าในท้ายที่สุด”