ผู้อาวุโสการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งสามคนจมอยู่ในห้วงความคิดเมื่อได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอกล่าว
เมื่อเวลาผ่านไป ผู้อาวุโสชิงอี้ก็ถอนใจออกมาพร้อมโบกมือ “เจ้าสองคนไปได้แล้ว สหายน้อยเยี่ยขอบใจเจ้ามากสำหรับคำพูดของเจ้าในวันนี้ เกี่ยวกับเรื่องการปรุงยา พวกข้าจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่”
โม่เทียนเกอประกบมือรูปถ้วยพร้อมคำนับ นางไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมและก้าวขึ้นไปบนม่านพลังเคลื่อนย้ายพร้อมกันกับเว่ยเฮ่าหลานเพื่อออกจากชั้นสาม
เมื่อพวกนางอยู่ที่ชั้นสอง เว่ยเฮ่าหลานมองโม่เทียนเกออีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ “สหายนักพรตเยี่ย นี่ท่านอยู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้วจริงหรือ”
โม่เทียนเกอรับรู้ได้ว่าสายตาเว่ยเฮ่าหลานนั้นเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ทว่าเมื่อนึกไปถึงสิ่งที่เว่ยเฮ่าหลานเคยพูดเอาไว้ตอนที่พวกนางกำลังขึ้นไป นางรู้ได้ทันทีว่าเว่ยเฮ่าหลานจะต้องสงสัยเกี่ยวกับนาง อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากการยืมม่านพลังเคลื่อนย้ายของพวกเขา โม่เทียนเกอก็ไม่ได้มีเจตนาอะไรอื่นอีกต่อสภาปี้เซวียน ดังนั้นนางจึงเปิดให้เว่ยเฮ่าหลานประเมินด้วยตัวเอง
“ถูกต้องแล้ว ข้าจะต้องระมัดระวังตัวในเมื่อข้ากำลังออกเดินทางด้วยตัวคนเดียวในโลกภายนอก ข้าไม่ได้มีเจตนาที่จะหลอกลวงท่านเจ้าสำนักเว่ยแม้แต่น้อย ดังนั้นโปรดอภัยให้ข้าด้วย”
คำตอบและคำอธิบายที่ตรงไปตรงมาของโม่เทียนเกอ รวมถึงความจริงที่ผู้อาวุโสทั้งสามไม่ได้ทำให้นางลำบากใจ ในที่สุดก็ทำให้เว่ยเฮ่าหลานละทิ้งความสงสัยนั้นไป “วางใจเถอะ สหายนักพรตเยี่ยข้าจะปฏิบัติตามที่ท่านอาวุโสได้กล่าวแนะนำไว้”
ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น เว่ยเฮ่าหลานยังคงมองเมินจากโม่เทียนเกอ คาดว่านางรู้สึกอึดอัดเพราะนางเพิ่งเผยความลับส่วนตัวออกไป และนางก็ได้ค้นพบว่าโม่เทียนเกอนั้นได้ปิดบังบางอย่างกับนางมาโดยตลอด
ทั้งสองคนไม่ได้นับว่าเป็นสหาย แต่หลังจากที่อยู่ร่วมกันมาเป็นระยะเวลานาน พวกนางต่างมีความไว้ใจให้แก่กัน ความไว้ใจเช่นนี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าทำไมนางจึงพูดสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่นี้ออกมา และเพราะสิ่งนั้น ถึงแม้ว่าเว่ยเฮ่าหลานรู้ตัวดีว่าไม่สามารถกล่าวโทษโม่เทียนเกอได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่นางก็ยังคงรู้สึกไม่มีความสุขอยู่ดี
โม่เทียนเกอไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาอีก ดังนั้นทั้งสองคนจึงลงไปที่ชั้นหนึ่งภายใต้ความเงียบ
ชายผู้ฝึกตนวัยกลางคนแซ่ซั่งกวนยังคงอยู่ที่นั่น เมื่อเขาเห็นทั้งสองคนลงมา เขายืนขึ้นพร้อมทักทาย “ท่านเจ้าสำนัก สหายนักพรตเยี่ย”
เขาสุภาพนอบน้อมต่อโม่เทียนเกอยิ่งนัก และเมื่อพวกเขาเจอกันครั้งแรก ความหวาดกลัวเผยออกมาบนใบหน้าของเขาชั่วขณะหนึ่ง โม่เทียนเกอคาดว่าเขานั้นคุ้นเคยกับการที่จะต้องสุภาพต่อผู้ฝึกตนหญิงเพราะเขาอยู่ในกลุ่มการฝึกตนสำหรับผู้ฝึกตนหญิง ดังนั้นนางจึงไม่ได้ใส่ใจกับพฤติกรรมของเขามากเท่าไรนัก
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาได้รับการฝึกตนจากผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งสาม และสำหรับตัวเขาเองนั้นก็อยู่ในขั้นสูงสุดสำหรับดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว ทำไมเขาจะต้องสุภาพต่อผู้ฝึกตนขั้นต้นของระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานด้วย มันเป็นเพราะว่าระดับการฝึกตนของเขานั้นสูงกว่านาง ดังนั้นเมื่อนางเข้ามาถึง เขาจึงรู้ได้ในทันทีว่า “สหายนักพรตเยี่ย” ผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนอยู่ในขั้นสุดท้ายของการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้วนั่นเอง
ปริศนาบางอย่างนั้นสามารถแก้ได้ มันมีบางชิ้นส่วนที่ไม่สามารถปะติดปะต่อกันได้ แต่เมื่อผู้คนรู้ถึงคำตอบ พวกเขาก็จะรู้ว่าคำใบ้นั้นมีอยู่ทั่วทุกที่
ในขณะที่นางคิดมาถึงจุดนี้ ท่าทางของโม่เทียนเกอก็ระส่ำระสาย ย้อนกลับไปนี่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นกับนางเช่นกันหรือ นางไม่ได้สงสัยมาก่อนที่นางจะรู้ แต่เมื่อมีความคิดเกิดขึ้นภายในจิตใจของนาง นางก็รู้ได้ว่าคำตอบอยู่ตรงนั้นเสมอ เป็นเพราะนางไม่กล้าเผชิญกับคำตอบ และในท้ายที่สุด… ก็จะไม่มีจุดเชื่อมต่อระหว่างพวกเขาในอนาคตแต่อย่างใด
“สหายนักพรตเยี่ย” เสียงเว่ยเฮ่าหลานดังสะท้อนเข้ามาในหูนาง
โม่เทียนเกอเรียกสติกลับคืน นางประกบมือพร้อมโค้งคำนับตอบกลับการทักทายของชายผู้ฝึกตนหลังจากนั้นจึงลงมาจากเจดีย์บรรลุเต๋ากับเว่ยเฮ่าหลาน
เมื่อพวกนางออกมาด้านนอก โม่เทียนเกอมองไปยังเจดีย์ลอยที่สูงตระหง่านเสียดฟ้าอีกครั้ง นางรู้สึกสะเทือนอารมณ์อย่างช่วยไม่ได้ที่จี้ซ่อนวิญญาณของนางนั้นไร้ซึ่งประสิทธิภาพ มันบ่งบอกอย่างชัดเจนว่ากำแพงอาคมของเจดีย์บรรลุเต๋านั้นเยี่ยมยอดเพียงใด! ยิ่งไปกว่านั้นเจดีย์นี้ยังถูกสร้างขึ้นมาจากผู้ฝึกตนหญิงระดับจิตวิญญาณใหม่อีกด้วย! ใครว่าผู้ฝึกตนหญิงนั้นไม่ได้เก่งเท่าผู้ฝึกตนชายกัน ยังคงมีอัจฉริยะอยู่ท่ามกลางผู้ฝึกตนหญิง แต่มันเป็นเพราะว่าไม่ได้มีผู้ฝึกตนหญิงที่มุ่งมั่นขยันอย่างหนักมากเท่าไรแค่นั้นเอง
“สหายนักพรตเยี่ย นอกเหนือไปจากระดับการฝึกตนของท่านแล้ว ท่านปิดบังอะไรอย่างอื่นอีกหรือไม่” เว่ยเฮ่าหลานหยุดยืนอยู่ด้านหน้าเจดีย์และจ้องมองที่โม่เทียนเกอ
โม่เทียนเกอเบนสายตาออกจากเจดีย์ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “อาจจะมี… แต่ข้าสามารถยืนยันต่อท่านเจ้าสำนักได้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ได้ทำให้สภาปี้เซวียนเดือดร้อน”
นางยังคงเก็บชื่อของนางและชื่ออาจารย์ของนางเป็นความลับ ทว่านางทำสิ่งนี้ตามคำสั่งของประมุขเต๋าจิ้งเหอ ก่อนที่นางจะเริ่มต้นออกเดินทาง ท่านอาจารย์สงเฟิงแวะไปที่โรงเรียนเสวียนชิงเพื่อล้างแค้น บอกว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยความเคียดแค้นทิ้งไป ถึงแม้ว่าอาจารย์ของนางจะเต็มไปด้วยความภูมิใจในตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้โอ้อวด เขาประสงค์ให้นางซ่อนสถานะที่เป็นลูกศิษย์ของเขาเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่ไม่จำเป็น ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่ได้สำคัญต่อคนนอกว่านางเป็นใครที่โรงเรียนเสวียนชิง
เว่ยเฮ่าหลานจ้องโม่เทียนเกอเป็นเวลานานก่อนที่นางจะหยุดและยอมรับในสิ่งที่นางพูด “หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะไม่เซ้าซี้ถามอีก สหายนักพรตเยี่ย จะมีปัญหาอะไรไหมหากพวกเราเริ่มต้นปรุงยาวันพรุ่งนี้”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “ไม่มีปัญหา” นางไม่มีความจำเป็นต้องเตรียมตัวมากนักในการปรุงยาฟ้ากระจ่าง
“เช่นนั้นให้ข้านำทางสหายนักพรตกลับแล้วกัน”
“ขอบคุณและรบกวนท่านด้วย”
ทั้งสองคนเดินด้วยกันภายในความเงียบ ในขณะที่พวกนางกำลังจะถึงบ้านพักแขก คนรับใช้วิ่งออกมาด้วยความรีบร้อน ดูเหมือนดีใจอย่างมากที่เจอเว่ยเฮ่าหลาน อย่างไรก็ตาม ท่าทางของนางเปลี่ยนเป็นความกังวลอย่างรวดเร็ว “ท่านเจ้าสำนัก” นางพูดพร้อมแสดงความเคารพ
ได้ยินน้ำเสียงของนางที่เป็นกังวล เว่ยเฮ่าหลานหยุดเดินหลังจากนั้นจึงพูดกับโม่เทียนเกอ “สหายนักพรตเยี่ย เกรงว่าข้าไม่อาจส่งท่านด้านในได้ โปรดอย่าได้โกรธเคือง”
โม่เทียนเกอเข้าใจในความหมายของนาง ดังนั้นนางจึงพูด “ท่านเจ้าสำนักเว่ยไม่จำเป็นต้องสุภาพนัก ข้าขอตัวก่อน”
ทั้งสองคนพยักหน้าให้แก่กันหลังจากนั้นโม่เทียนเกอจึงหันกลับและเดินต่อไปยังสวน
จากระยะไกล นางได้ยินเสียงของสาวใช้ไม่ชัดเจนนักว่า “ท่านเจ้าสำนัก ศิษย์บางคนของพวกเราหายตัวไป…”
ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะประหลาดใจ แต่การก้าวเดินของนางก็ไม่ได้สะดุดและยังคงมุ่งตรงไปยังบ้านพักแขก
ชั่วขณะที่เห็นนางเดินเข้ามาด้านใน ทั้งอี้หลิ่วและอี้ชิวดูดีใจและรีบตรงมาหานาง “ศิษย์พี่เยี่ย!”
โม่เทียนเกอถามอย่างงุนงง “เกิดอะไรขึ้น” ในขณะนี้ทั้งสองคนดูเป็นกังวลและเหมือนรอนางอยู่
อี้ชิวหันกลับและเดินไปทางด้านหลัง ครู่ต่อมา นางเดินกลับออกมาอุ้มเฝยเฝย [1] อยู่ในมือ “พวกข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น วันนี้เฟยเฟย [2] ดูเซื่องซึม”
“เฟยเฟย” คือชื่อของเจ้าเฝยเฝยตัวนี้ หลังจากที่ได้เจ้าเฝยเฝยมา อี้หลิ่วกับอี้กชิวก็รีบรบเร้านางให้ตั้งชื่อให้ โม่เทียนเกอไม่เก่งตั้งชื่อ ในเมื่อมันคือเฝยเฝย นางจึงตั้งชื่อมันว่า “เฟยเฟย” เหมือนกับวิธีที่นางตั้งชื่อสัตว์วิเศษไฟนรกว่า “เสี่ยวหั่ว” ทั้งอี้หลิ่วและอี้ชิวต่างคัดค้าน ถามว่านางตั้งชื่อมันอย่างไม่ใส่ใจได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม การคัดค้านของพวกนางเหมือนกับตกไปสู่คนหูหนวก โม่เทียนเกอนั้นขี้เกียจเกินกว่าที่จะคิดชื่ออื่น ดังนั้นพวกนางจึงต้องเรียกมันว่า “เฟยเฟย”
โม่เทียนเกออุ้มเฟยเฟยขึ้นมาพร้อมพิจารณามันอย่างคร่าวๆ สัตว์วิเศษตัวเล็กที่ปกติร่าเริงตอนนี้ไร้ซึ่งพลังวิญญาณ ดวงตาของมันเกือบปิดแต่ก็ไม่ได้ดูเหมือนกับว่ามันกำลังหลับอย่างที่เคยตอนที่นำมาให้นางเมื่อวันก่อน ดูเหมือนกับมันขาดพละกำลังแทน
หลังจากที่ใช้จิตหยั่งรู้ในการสัมผัสถึงความคิดของมัน นางก็พูดว่า “ไม่เป็นไร มันแค่อารมณ์ไม่ดี เพราะข้าไม่ได้มีเวลาดูแลมันในช่วงวันที่ผ่านมา มันเลยเซื่องซึมลง”
“โอ้…” ทั้งอี้หลิ่วและอี้ชิวรู้สึกโล่งอก แต่ในขณะเดียวกัน พวกนางก็รู้สึกต่อต้าน “พวกข้าคิดว่าจะสามารถดูแลมันได้เพราะศิษย์พี่คงไม่มีเวลาในขณะที่ปรุงยา ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกข้าจะต้องคืนมันให้กับศิษย์พี่เสียแล้ว…”
โม่เทียนเกอหัวเราะและไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากนั้นนางจึงหยิบผลไม้วิญญาณที่อี้หลิ่วยื่นให้และป้อนเฟยเฟยภายในอ้อมกอด
เฟยเฟยดูไม่มีความอยากอาหารเพราะมันไม่ยอมกิน อี้หลิ่วและอี้ชิวผู้ซึ่งเห็นว่ามันยังคงแข็งแรงแต่ก็ยังคงไม่กล้าที่จะแกล้งมัน พวกนางทำได้เพียงแค่คืนมันให้กับโม่เทียนเกออย่างอิจฉาอยู่ในที
เมื่อทั้งสองคนขอตัวออกไป โม่เทียนเกอบอกพวกนางอย่างเจาะจงว่านางต้องการที่จะพักผ่อนอย่างเหมาะสมเพื่อเตรียมตัวในการปรุงยาวันถัดไป อี้หลิ่วและอี้ชิวได้ยึดถือตามคำแนะนำจากเจ้าสำนักมาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นพวกนางจึงรีบบอกว่าจะไม่ให้มีใครเข้ามารบกวนนางได้ หลังจากที่ทั้งสองคนกลับออกไป โม่เทียนเกอเปิดม่านพลังภายในบ้านขึ้นอีกครั้งหลังจากนั้นจึงเข้าไปยังโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนโดยอุ้มเฟยเฟยอยู่ในอ้อมแขน
หลังจากที่นางเข้าไปสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน เฟยเฟยผู้ซึ่งเซื่องซึมอยู่เมื่อครู่นี้ก็ลืมตาขึ้นในทันทีและกระโดดออกจากอ้อมกอดของโม่เทียนเกอ มันกระโจนเข้าไปในกระท่อมเล็กๆ หลังจากนั้นจึงเริ่มกลิ้งไปมาบนเสื่อสวดมนต์ขณะที่เปล่งเสียง “อู้อู้” ออกมา ดูมีความสุขอย่างมาก
โม่เทียนเกอหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ นางหยิบเสื่อสวดมนต์อีกผืนหนึ่งออกมาจากทางด้านข้าง นั่งลงและบีบจมูกอันแสนกลมของมัน “เจ้าผีซุกซน! ความจริงแล้วเจ้าแค่อยากจะเข้ามาในนี้ใช่ไหม”
หลายวันก่อน นางพาเฟยเฟยเข้ามาในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเป็นครั้งแรก มันดูดีใจมาก เหมือนกับตอนที่เสี่ยวหั่วเข้ามาครั้งแรก หลังจากนั้นนางก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องของการปรุงยา ดังนั้นนางจึงฝากฝังมันไว้กับอี้หลิ่วและอี้ชิวให้ช่วยดูแล อย่างไม่คาดคิด เจ้าตัวน้อยนี้โหยหาที่จะเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ และมันกระทั่งทำเป็นแสร้งป่วย! ถ้าไม่ได้เป็นเพราะสัญญาที่เกิดขึ้นระหว่างนาง โม่เทียนเกอก็คงจะโดนมันหลอกด้วยเช่นกัน!
จะว่าไป สัตว์วิเศษทุกตัวนั้นจะค่อนข้างไวต่อพื้นที่ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนอย่างนั้นหรือ เสี่ยวหั่วมีกิริยาเช่นนั้นและเฟยเฟยก็เช่นกัน หรือบางทีในขณะที่สิ่งมีชีวิตปัจจุบันมีต้นกำเนิดมาจากยุคอดีตอันไกลโพ้น มนุษย์เริ่มที่จะมีเหตุผลมากขึ้น แต่สัตว์วิเศษยังคงสัญชาตญาณเดิมเอาไว้ ดังนั้นพวกมันจึงยังคงมีร่องรอยของยุคอดีตอยู่ภายในร่างกาย บางทีนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าทำไมพวกมันจึงชอบพื้นที่จากอดีตอันไกลโพ้นในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้
เฟยเฟยเงยหน้าขึ้นมอง ถูหัวของมันที่สีข้างของโม่เทียนเกอหลังจากนั้นจึงกัดที่แขนเสื้อนางและดึงนางออกไปด้านนอก
โม่เทียนเกอยืนขึ้นอย่างช่วยไม่ได้และวิ่งตามมันออกไป “เจ้าทำอะไร ข้าพาเจ้าเข้ามาที่นี่แล้ว เจ้าควรที่จะเงียบลงไหม”
ถึงแม้ว่าเฟยเฟยจะมีพลังวิญญาณ แต่มันก็ยังเป็นเพียงแค่สัตว์ระดับแรก มันยังคงด้อยกว่าเสี่ยวหั่วซึ่งอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนมาเป็นปี โชคดีที่โม่เทียนเกอสร้างสัญญากับเฟยเฟย ดังนั้นนางจึงสามารถสัมผัสถึงอารมณ์ของมันได้
โม่เทียนเกอมองมันวิ่งเหยาะๆ ไปตามทำนบที่นางเปิดขึ้น มันวิ่งขณะที่ดมไปรอบๆ เหมือนกับกำลังมองหาบางอย่าง
ท้ายที่สุด เฟยเฟยก็หยุดอยู่ที่ใต้ต้นไม้
ต้นไม้เป็นสีเหลืองทั้งต้น แต่สีเหลืองของมันนั้นไม่เหมือนกับสีเหลืองของต้นไม้ทั่วๆ ไป สีเหลืองของมันไม่ใช่สีของต้นไม้ตอนที่มันกำลังจะตายหรือตอนที่ใบไม้แห้งกำลังจะร่วงหล่นลง มันเป็นสีเหลืองที่ค่อนข้างสว่าง สดใสจนใกล้เคียงกับสีทองของธัญพืช มันมีหลายกิ่งก้านสาขา ใบไม้ที่อุดมสมบูรณ์ และเต็มไปด้วยผลไม้
โม่เทียนเกอรู้ว่าต้นนี้เรียกว่า ต้นไม้ทองคำไร้ดอกและผลไม้ที่มันผลิตออกมาก็เรียกว่าผลไม้ทองคำไร้ดอก ต้นไม้ต้นนี้ต้องใช้เวลาราวๆ ร้อยปีในการเติบโต และผลไม้ของมันก็จะแห้งเ**่ยวไปภายในสองถึงสามชั่วโมงหลังจากที่เก็บมา ทั้งผลไม้และใบของมันสามารถใช้ในการปรุงยาได้ แต่ยาวิเศษนั้นเป็นระดับสูงซึ่งโม่เทียนเกอยังไม่สามารถใช้ได้ในตอนนี้ มันมีวัตถุวิญญาณมากมายเช่นนี้ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ดังนั้นนางจึงขี้เกียจเกินกว่าที่จะจัดการมัน นางปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้น
ในขณะนั้น เฟยเฟยวิ่งไปที่รอบๆ ต้นไม้และส่งเสียงมาที่โม่เทียนเกออยู่หลายครั้ง
โม่เทียนเกอพูด “ผลไม้ทองคำไร้ดอกนี้สามารถกินได้เฉพาะแค่ผู้ฝึกตนในดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่เท่านั้นเป็นอย่างน้อย เจ้าเป็นเพียงแค่สัตว์วิเศษระดับแรกตอนนี้ พวกเราจะทำอย่างไรถ้าเจ้ากินมันเข้าไปและพลังวิญญาณของมันทำให้ร่างของเจ้าแตกสลาย”
เฟยเฟยลืมตาที่กลมโตฉ่ำน้ำของมันกว้างขึ้นจ้องมองไปที่โม่เทียนเกอเป็นเวลานาน มันกัดที่ขอบชุดคลุมของนางและส่งเสียงร้องอย่างต่อเนื่อง
จิตสัมผัสของโม่เทียนเกอรู้สึกได้ว่าเฟยเฟยดูมั่นใจว่าการที่กินผลไม้ประเภทนี้นั้นจะไม่ก่อให้เกิดอันตราย หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอจึงพยักหน้าในที่สุด “ตกลง ข้าจะยอมให้เจ้ากินมันได้หนึ่งลูกในตอนนี้ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร เจ้าสามารถทำอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการในอนาคตตราบใดที่เจ้าไม่พังต้นไม้ทั้งต้นลงมา อย่างไรก็ตาม ถ้ามีปัญหา เจ้าจะต้องไม่แตะพืชวิญญาณเหล่านี้อีกในอนาคต”
เฟยเฟยยกหัวขึ้น ส่งเสียงร้องอย่างมีความสุขและหมุนอยู่รอบๆ ตัวนาง
โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ พร้อมยกมือขึ้นหยิบผลไม้ออกมาหนึ่งลูก หลังจากนั้นนางจึงย่อตัวลงและวางมันไว้ที่ด้านหน้าของเฟยเฟย “เอาไปสิ ระวังด้วยนะ พลังวิญญาณภายในของมันเข้มข้นมาก”
“อู้อู้” เฟยเฟยส่งเสียงเป็นการตอบรับและหลังจากนั้นมันก็กัดผลไม้ทองคำไร้ดอกทันที
ผลไม้ทองคำไร้ดอกดูเหมือนกับลูกบ๊วย ยกเว้นผิวด้านนอกสีทองของมัน การที่เฟยเฟยกัดในทันทีทำให้ผิวของผลไม้เปิดออก เห็นเนื้อสีเหลืองทองที่สดใสอยู่ภายใน หลังจากนั้นเฟยเฟยจึงรีบอ้าปากกว้าง กลืนผลไม้ทั้งลูกลงไปโดยที่ไม่ทันได้เคี้ยวด้วยซ้ำ สุดท้ายมันยังคงแลบลิ้นเลียน้ำผลไม้ที่ติดอยู่ไปด้วย
โม่เทียนเกอได้กลิ่นหอมอบอวล เป็นกลิ่นที่มีเอกลักษณ์มาก ไม่ได้ทำให้มึนเมาเช่นกลิ่นดอกไม้ แต่ก็ไม่ได้เข้มข้นเหมือนกับกลิ่นสาบของสัตว์หรือสิ่งที่คล้ายคลึงกัน แต่มันเป็นกลิ่นที่เบาบางและหอมหวานและให้ความรู้สึกถึงนัยของโลกและใบไม้สีเขียว
กลิ่นนี้จางหายไปอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่ได้กระจายไปจนหมด ดูเหมือนว่าขนของเฟยเฟยทั้งตัวก็กลายเป็นกลิ่นนี้
เฟยเฟยซึ่งเพิ่งกินผลไม้ทองคำไร้ดอกนี้ไปรู้สึกกระชุ่มกระชวยมาก มันนอนอยู่บนพื้น สนุกไปกับสายลมแผ่วเบาที่พัดผ่านมาที่ร่างกายของมัน มันเริ่มที่จะกลิ้งไปมาบนพื้นด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ท่าทางของมันดูเจ็บปวดขึ้นอย่างรวดเร็ว สัญญาระหว่างพวกเขาทำให้โม่เทียนเกอเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“เฟยเฟย!” โม่เทียนเกอมองลงไปและเห็นเจ้าเฟยเฟยซึ่งดูมีชีวิตชีวาอยู่เมื่อครู่นี้ตอนนี้ปกคลุมไปด้วยพลังงานสีทอง พลังนี้แข็งแกร่งมาก มากกว่าแรงกดดันของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ด้วยซ้ำ
โม่เทียนเกอเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ไม่ว่าเฟยเฟยจะฉลาดสักเพียงใด มันก็ยังคงเป็นเพียงแค่สัตว์วิเศษระดับแรกที่ยังไม่โต แล้วมันจะไปเข้าใจว่าอะไรควรกินอะไรไม่ควรกินได้อย่างไร ถ้านางรู้เร็วกว่านี้ นางก็คงจะไม่ให้มันกินผลไม้อย่างไร้ซึ่งการไตร่ตรองให้ดีก่อนเช่นนี้
——
[1] เฝยเฝย (腓腓) ชนิดของสัตว์
[2] เฟยเฟย (飞飞) ชื่อที่โม่เทียนเกอตั้งให้ เฟย (飞) แปลว่าบิน