หลิวลี่ถูกบีบคอจนพูดไม่ได้ สีหน้าแดงซ่าน มือทั้งสองข้างออกแรงจับแขนของเฮ่อเหลี่ยนไว้ พยายามให้เขาปล่อยมือออก พร้อมกับกระเสือกกระสนเปล่งคำพูดออกมา “คุณชาย…”

 

 

พวกสาวใช้ที่รับใช้อยู่ในห้องต่างตกตะลึงจนทรุดตัวลงไปคุกเข่าที่พื้น

 

 

มือของเฮ่อเหลี่ยนออกแรงบีบต่อไป ทำให้ร่างบางของหลิวลี่ลอยขึ้นเหนือพื้น

 

 

หลิวลี่หายใจไม่ออก เริ่มกวัดแกว่งมือทั้งคู่กันมั่ว และไม่นานตาก็เริ่มเหลือกขึ้น

 

 

เมื่อนึกได้ว่าเป็นเพราะดันไปเชื่อคำของนาง ตระกูลของตัวเอง เฮ่อกุ้ยเฟยและองค์ชายหกถึงได้พบจุดจบเช่นนี้ ถ้าหากจะให้นางตายไปทั้งอย่างนี้ ก็คงจะง่ายเกินไปหน่อยสำหรับนาง เฮ่อเหลี่ยนจึงคลายมือออก

 

 

หลิวลี่ล้มนอนลงกับพื้นราวกับโคลนดิน หอบหายใจเฮือกอย่างหนัก ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะหายใจได้สม่ำเสมอ แล้วเงยหน้ามองเฮ่อเหลี่ยนด้วยความตกใจกลัว ถามเสียงสั่นเครือ “คุณชายใหญ่ ข้าไปหลอกท่านอย่างไรหรือเจ้าคะ”

 

 

สีหน้าของเฮ่อเหลี่ยนเริ่มเผยความดุดัน อารมณ์ก็เกรี้ยวกราดขึ้น พูดอย่างอดทนไม่ไหว “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะบังอาจหลอกข้าว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปิศาจสิงร่าง บอกมา ผู้ใดใช้ให้เจ้ามาหลอกลวงพวกข้า”

 

 

หลิวลี่ตกใจอารมณ์ที่ดุร้ายของเขา ขณะนั่งอยู่บนพื้นก็ต้องขยับถอยหลังออกไป และมีท่าทีที่คล้ายกับว่าน้ำตาจะไหลออกมา “คุณชายใหญ่ สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริงนะเจ้าคะ นังเมิ่งเชี่ยนโยวถูกปิศาจเข้าสิงจริงๆ มิฉะนั้นจู่ๆ นางจะมีความสามารถมากมายเช่นนั้นได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ”

 

 

ดูท่าแล้วให้ตายนางก็ไม่ยอมรับ เท้าข้างหนึ่งของเฮ่อเหลี่ยนจึงถีบเข้าที่หน้าอกของนาง พูดด้วยเสียงที่เดือดดาล “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังจะเถียงข้างๆ คูๆ อยู่อีกหรือ”

 

 

หลิวลี่โดนถีบจนหน้าหงายล้มลงไปนอนกับพื้น แล้วกุมหน้าอกเอาไว้ ความรู้สึกอันเจ็บปวดนั้นทำให้แม้แต่หัวใจที่เต้นอยู่ต้องหยุดลง ผ่านไปนานก็ไม่ได้แม้แต่จะขยับ เฮ่อเหลี่ยนราวกับโทสะยังไม่คลาย จึงเข้าไปถีบอีกหลายครั้ง

 

 

หลิวลี่ที่ตัวแข็งทื่อถูกถีบอีกหลายครั้ง นางเจ็บจนขดตัวเป็นเกลียว และไอออกมาหลายครั้งอย่างควบคุมไม่ได้ เลือดไหลออกจากปากเป็นสาย แต่ยังคงพูดต่อไปไม่หยุด “คุณ คุณชายใหญ่ ข้า…มิได้โกหกจริงๆ เจ้าค่ะ นัง…เมิ่งเชี่ยนโยวนั่น…”

 

 

ไม่รอให้นางพูดจบ เฮ่อเหลี่ยนก็ถีบใส่นางอีกครั้ง “เจ้ายังจะกล้าเถียงอีก วันนี้ฮ่องเต้ได้พิสูจน์ต่อหน้าประชาชนทั้งเมืองแล้วว่านางมิได้ถูกปิศาจเข้าสิงแต่อย่างใด”

 

 

หลิวลี่ลืมความเจ็บปวด เบิกตาโตด้วยความตกใจ แล้วร้องเสียงแหลมอย่างไม่เชื่อ “นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน”

 

 

เมื่อครู่ยังเพิ่งจะเห็นนางหายใจอย่างอ่อนแรง ทว่าตอนนี้กลับสามารถร้องเสียงแหลมออกมาได้ เฮ่อเหลี่ยนจึงยิ่งแน่ใจว่า การกระทำใดๆ ของนางล้วนกำลังหลอกลวงเขาอยู่ ในใจก็เดือดดาล และถีบเข้าใส่อีกหลายครั้ง

 

 

หลิวลี่รู้สึกเจ็บจนแทบอยากจะสลบและตายไปให้ได้ แต่ก็ยังคงพยายามพูดแก้ต่างให้ตัวเอง “คุณชายใหญ่ ข้ามิได้หลอกลวงท่านจริงๆ เจ้าค่ะ นังเมิ่งเชี่ยนโยวถูกปิศาจเข้าสิงร่างแล้วจริงๆ ที่วันนี้มิอาจพิสูจน์ได้ ต้องเป็นเพราะมีคนแอบช่วยเหลืออยู่เป็นแน่ ท่านส่งคนไปตรวจสอบอีกครั้ง จะต้องพบเบาะแสบางอย่างแน่นอน”

 

 

เฮ่อจางถูกถอนออกจากตำแหน่งมหาเสนาบดี เฮ่อกุ้ยเฟยกับองค์ชายหกก็พาลได้รับเคราะห์ไปด้วย ต่อจากนี้ตระกูลเฮ่อของพวกเขาก็ถือว่าจบสิ้นแล้ว เฮ่อเหลี่ยนโกรธจนบ้าคลั่ง ในสมองล้วนคิดแต่เพียงว่าถูกนางหลอกลวง ไหนเลยจะยังฟังคำแก้ต่างของนางได้ จึงพูดอย่างโมโห “หุบปาก เจ้ามันคนต่ำช้า เรื่องมาถึงวันนี้แล้ว ยังจะเถียงอยู่อีก ดูเถิดว่าข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร”

 

 

เห็นท่าทางของเฮ่อเหลี่ยนเริ่มดูจะบ้าคลั่งแล้ว และไม่ฟังคำพูดใดๆ ของตัวเองอีก หลิวลี่จึงปิดตาลงอย่างสิ้นหวัง แต่แล้วก็เบิกตาขึ้นอีกครั้ง และอุตสาหะดิ้นรนพูดอ้อนวอนต่อไป “คุณชายใหญ่…”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนไม่สนใจนาง โบกมือขึ้น แล้วแผดเสียงดุร้ายสั่งกับทุกคนที่อยู่ภายในห้อง “พวกเจ้าออกไปให้หมด…”

 

 

ได้ยินคำสั่งของเขา เหล่าคนรับใช้ก็รีบลุกขึ้นยืน แล้ววิ่งออกไปอย่างตื่นตระหนก

 

 

เฮ่อเหลี่ยนแสยะยิ้มพร้อมเดินเข้าไปใกล้หลิวลี่

 

 

หลิวลี่ตกใจจนขดตัวกลม ถามเสียงหลงด้วยความตกใจ “ท่านจะทำอะไร”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนย่อตัวลง ฉีกเสื้อผ้าของนางออก ขณะที่เสียงร้องแหลมของหลิวลี่ดังขึ้น ก็ประชิดเข้าตรงหน้าของนาง พ่นลมหายใจรดใส่หน้านางแรงๆ แล้วกัดฟันแน่นพูดแต่ละคำออกมา “ทำอะไรน่ะหรือ ไม่ใช่ว่าเจ้าปรารถนาให้ข้าหลับนอนกับเจ้าอยู่ตลอดหรอกหรือ วันนี้ก็สนองให้เจ้าเสียเลยแล้วกัน” พูดจบก็อ้าปากกัดต้นคอของหลิวลี่

 

 

หลิวลี่ร้องโหยหวนออกมา

 

 

สาวใช้ที่เฝ้าอยู่ในเรือนต่างผวาร่างสั่นไปพร้อมกัน ขาขยับก้าวถอยไปด้านนอกอย่างควบคุมไม่ได้

 

 

มีเพียงอวิ๋นซีที่เฝ้าอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

เสียงร้องอันน่าเวทนาของหลิวลี่ดังไม่ขาดสาย ผ่านไปครึ่งชั่วยามถึงจะค่อยๆ เบาลง จนกระทั่งหนึ่งชั่วยามต่อมาก็ไม่มีเสียงใดๆ อีก

 

 

เสียงของเฮ่อเหลี่ยนถึงจะดังออกมาจากในห้อง “ใครก็ได้!”

 

 

อวิ๋นซีรับคำและเดินเข้าไปในห้อง เห็นแต่เพียงหลิวลี่ที่ทั้งร่างเปลือยเปล่าและเต็มไปด้วยรอยแผล ปิดตานอนหงายอยู่บนพื้น ด้วยความที่เป็นสาวใช้คนใกล้ชิดของเฮ่อเหลี่ยน ตั้งแต่ที่เขาไร้ซึ่งมนุษยธรรมแล้ว แม้ว่ามักจะเห็นสาวใช้ที่บอบบางถูกทรมานจนตายอยู่เสมอ ทว่า ถูกทรมานอย่างรุนแรงแบบที่หลิวลี่โดนเช่นนี้ อวิ๋นซีเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก ในใจก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกเห็นใจขึ้นมาบ้าง

 

 

“เอาน้ำเย็นมา สาดให้ตื่น!” เฮ่อเหลี่ยนสั่งอย่างเย็นชา

 

 

อวิ๋นซีมองหลิวลี่ที่ไม่ได้สติอยู่ด้วยความสงสารแวบหนึ่ง แล้วออกไปยกน้ำเย็นเข้ามาสาดใส่ร่างของหลิวลี่ แล้วก็รีบถอยออกไปทันที

 

 

หลิวลี่ถูกน้ำเย็นสาดใส่จึงตื่นขึ้น พอเปิดตาออกก็เห็นเฮ่อเหลี่ยนยังคงอยู่ข้างกาย นางมองไปทางเขาอย่างหวาดกลัว แล้วขยับตัวออกอย่างเหน็ดเหนื่อย

 

 

ราวกับว่าอารมณ์ของเฮ่อเหลี่ยนจะดีขึ้นบ้างแล้ว เขาเผยรอยยิ้มให้นาง

 

 

ใจของหลิวลี่เพิ่งจะผ่อนคลายลงชั่วครู่ คำพูดที่เ**้ยมโหดของเฮ่อเหลี่ยนกลับดังขึ้นที่ข้างหูนางอีกครั้ง “คุณชายยังสนุกไม่หนำใจเลย แล้วจะให้เจ้าตายทั้งอย่างนี้ มิได้เอาเปรียบเจ้าไปหน่อยหรือ”

 

 

หลิวลี่เบิกตากว้างอย่างหวาดผวา

 

 

ภายในห้องมีเสียงโหยหวนของหลิวลี่ดังขึ้นอีกครั้ง

 

 

อวิ๋นซีถอนหายใจเบาๆ หวังจากใจจริงให้หลิวลี่รีบตายโดยเร็วเพื่อจะได้ไม่ถูกทรมานไปมากกว่านี้

 

 

ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ภายในห้องก็ไม่มีเสียงใดอีก

 

 

เฮ่อเหลี่ยนสั่งอวิ๋นซีสาดน้ำให้หลิวลี่ฟื้นขึ้นอีก

 

 

ทรมานเช่นนี้ไปสามครั้ง กระทั่งครั้งที่สี่ที่อวิ๋นซีสาดน้ำใส่ร่างของนางอีกครั้ง ครานี้หลิวลี่ไม่ได้ตื่นขึ้น

 

 

เฮ่อเหลี่ยนที่ยืนอยู่ข้างหนึ่งใช้เท้าเตะหลิวลี่ดู

 

 

ร่างกายของหลิวลี่โคลงเคลงไปตามแรงเท้า แต่ตัวคนกลับมิได้มีการตอบสนองอย่างใด

 

 

เพราะลงมือด้วยตัวเอง ในใจของเฮ่อเหลี่ยนจึงรู้ดีว่าหลิวลี่ยังไม่ได้ตาย จึงยิ้มเยาะ แล้วสั่งอวิ๋นซี “เอาชุดสวยๆ ให้นางใส่ แล้วแต่งหน้าให้ดูงามเสียหน่อย”

 

 

อวิ๋นซียกหว่างคิ้วขึ้น มองเขาอย่างแปลกใจ แต่ก็รีบก้มหน้าลงทันที แล้วเดินเข้าไปห้องข้างๆ เปิดกล่องเสื้อผ้าออก เลือกชุดที่หลายวันนี้หลิวลี่ชอบใส่มากที่สุดจากบรรดาเสื้อผ้าใหม่ที่เพิ่งสั่งตัดให้หลิวลี่ แล้วเปิดประตูเรียกสาวใช้สองคนให้เข้ามาช่วย

 

 

แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ครั้นเห็นสภาพที่น่าอนาถของหลิวลี่ สาวใช้สองคนก็รีบเอามือป้องปากตัวเองเพื่อห้ามไม่ให้ร้องออกมาด้วยความตกใจซึ่งจะทำให้เฮ่อเหลี่ยนโมโหได้

 

 

เฮ่อเหลี่ยนมองสองคนนั้นตาขวางอย่างเย็นชา ด่าว่า “สวะสิ้นดี” แล้วเดินออกไป

 

 

อวิ๋นซีเรียกให้ทั้งคู่ยกหลิวลี่ขึ้นบนเตียง เปลี่ยนชุดที่เปียกปอนบนกายนางเป็นชุดที่เตรียมไว้ แล้วเช็ดใบหน้าของนางให้สะอาด ในครานี้ถึงได้พบว่า ไม่รู้ว่าลงมือโดยเจตนาหรือไม่ แต่บนหน้าของหลิวลี่ไม่มีรอยแผลแม้แต่น้อย ผงะไปครู่หนึ่ง อวิ๋นซีถึงจะรีบนำสาวใช้ทั้งสองแต่งหน้าหลิวลี่ให้เรียบร้อย แล้วเดินออกจากห้อง

 

 

เฮ่อเหลี่ยนยังคงยืนอยู่ภายในเรือน

 

 

อวิ๋นซีรายงาน “คุณชายใหญ่ แต่งตัวให้แม่นางหลิวเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนโบกมือขึ้น บ่าวรับใช้สองสามคนเดินเข้าไปแบกหลิวลี่ออกนอกเรือน แล้วเดินออกทางประตูหลังของจวนมหาเสนาบดี ไม่สิ จวนตระกูลเฮ่อ วางลงบนรถม้าคันหนึ่ง

 

 

เฮ่อเหลี่ยนเดินตามหลังออกไปติดๆ แล้วขึ้นนั่งบนรถม้าอีกคัน พร้อมสั่งคนรถให้ไปยังแหล่งรวมขอทานที่อยู่นอกเมือง

 

 

ท่ามกลางรถม้าที่สั่นไหวไปมา หลิวลี่ก็ฟื้นขึ้นช้าๆ นอกจากจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดแบบหาที่เปรียบไม่ได้บนร่างกายแล้ว ยังรู้สึกว่าร่างตัวเองโคลงเคลงไม่หยุด จึงตระหนักได้ทันทีว่าตนกำลังอยู่บนรถม้า ในใจนึกไปว่าเฮ่อเหลี่ยนคงคิดว่านางตายแล้ว และกำลังจะนำนางไปทิ้งที่สุสานรกร้าง ก็กระวนกระวายและร้องตะโกนออกมา “ข้ายังไม่ตายเจ้าค่ะ!”

 

 

แต่เสียงที่นางเข้าใจว่าตะโกนดังมากนั้นกลับถูกกลบด้วยเสียงเคลื่อนไหวของล้อรถม้า หามีใครได้ยินไม่

 

 

หลิวลี่ยิ่งรู้สึกกังวลใจ อยากจะยื่นมือออกไปตบห้องรถม้า กลับรู้สึกว่าแม้แต่แรงที่จะยื่นแขนออกไปก็ไม่มี

 

 

หลิวลี่หมดหวังแล้ว นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร เมิ่งเชี่ยนโยวควรจะถูกลงทัณฑ์จนตายไปเสียแล้วชัดๆ และตัวเองก็ควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างคนชนชั้นสูง แต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้กลับกลายเป็นเช่นนี้ได้

 

 

อันที่จริง หากหลิวลี่รู้ว่าต่อไปนางจะต้องประสบกับอะไร นางก็คงจะรู้สึกดีใจที่บังเอิญโชคดีหากเวลานี้เขาส่งนางไปทิ้งที่สุสานรกร้างจริงๆ รถม้าเดินทางโคลงเคลงอยู่เป็นเวลานาน ถึงจะมาถึงแหล่งรวมขอทาน

 

 

สถานที่เช่นนี้ส่วนใหญ่จะมีผู้คนบางตา คนสัญจรผ่านไปผ่านมาก็น้อย ดังนั้น เมื่อพวกขอทานเห็นรถม้าอันหรูหราสองคันมา ก็ล้วนมองอย่างสงสัยใคร่รู้ นัยน์ตาเผยประกายแห่งความอิจฉาริษยา

 

 

รถม้าหยุดลง เฮ่อเหลี่ยนไม่ลงจากรถม้า แหวกม่านบนรถออกมาเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้บ่าวรับใช้เดินเข้ามา และพูดสั่งที่ข้างหูเขาสองสามคำ

 

 

บ่าวรับใช้พยักหน้า แล้วสั่งคนที่อยู่บนรถม้าด้านหลังให้ลากตัวหลิวลี่ที่แต่งหน้าสะสวย สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ลงจากรถ พร้อมพูดท่ามกลางสายตาแห่งความตัณหาจนน้ำลายหกของพวกขอทานทุกคน “นี่คือนางสนมนางหนึ่งในจวนของพวกข้า แต่กลับไม่รู้จักรักษาคุณธรรมหญิงอันดี ลักลอบคบชู้กับชายอื่น คุณชายของจวนพวกข้ามีใจเมตตา จึงสนองให้ตามที่นางต้องการ วันนี้จึงส่งมาให้แก่พี่น้องทุกท่าน เพื่อให้นางได้เสพสุขอย่างสาสมใจ”

 

 

เหล่าขอทานต่างมึนงงไปเพราะจู่ๆ สวรรค์ก็ประทานเรื่องดีๆ เช่นนี้มาให้โดยไม่คาดคิด จึงไม่มีใครกล้าขยับแม้แต่คนเดียว

 

 

ในเวลานี้หลิวลี่ถึงจะเข้าใจจุดประสงค์ของเฮ่อเหลี่ยน นางตื่นตระหนกอย่างมาก และดิ้นรนสุดชีวิต อยากจะพูดอะไรออกมา

 

 

บ่าวรับใช้คนหนึ่งตาไวมือเร็ว จึงรีบปิดปากนางเอาไว้อย่างรู้ทัน

 

 

พวกขอทานเริ่มเชื่อบางส่วนแล้ว บางคนลองเชิงเดินเข้ามาข้างหน้า แต่คนส่วนใหญ่ยังคงไม่เคลื่อนไหว

 

 

บ่าวรับใช้ควักเศษเงินบนตัวออกมา วางไว้บนมือและตรวจดูสักพัก แล้วจึงพูดรับปากขึ้น “คุณชายของพวกเราได้กล่าวว่า ถ้าหากทุกท่านรับใช้ให้นางได้รู้สึกสบายแล้ว จะมีรางวัลให้”

 

 

เมื่อก่อนหลิวลี่ก็เป็นขอทานเช่นกัน และมักคลุกคลีอยู่กับคนพวกนี้ แต่ตอนนั้นผมของนางยุ่งเหยิง หน้าตามอมแมม เนื้อกายก็สกปรกไปทั้งตัว ไม่มีคนจะมาคิดภาพซ้อนทับกับหญิงสาวที่สวมชุดหรูหรา แต่งหน้างดงามที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ พอนึกถึงเนื้อกายที่อ่อนนุ่มภายใต้เสื้อผ้าที่หรูหราของนาง พวกขอทานที่อดอยากมานานหลายปีก็เกิดความปรารถนาพลุกพล่านขึ้นตั้งนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังจะได้รับเงินอีก จึงไม่มีใครลังเลอีกต่อไป ทุกคนวิ่งกรูกันเข้ามาเหมือนกับฝูงผึ้งเพื่อแย่งตัวหลิวลี่จากมือของบ่าวรับใช้ แล้วลากเข้าไปในห้องที่ไม่อาจแม้แต่จะบังลมได้อย่างอดรนทนไม่ไหว

 

 

ในตอนแรกเสียงแผดร้องที่แหบแห้งของหลิวลี่ยังคงดังออกมา “ออกไป พวกเจ้าอย่าแตะต้องตัวข้านะ ออกไป”

 

 

เสียงฉีกขาดของเสื้อผ้าและเสียงคำรามของผู้ชายดังตามมาอย่างไม่หยุด จากนั้นก็ค่อยๆ เงียบลง

 

 

เฮ่อเหลี่ยนนั่งอยู่ภายในรถม้า ได้ยินเสียงคำรามของชายไม่ซ้ำคนดังออกมาจากในห้องนั้น ใบหน้าก็เผยความรื่นรมย์ใจที่ได้แก้แค้น

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ขอทานภายในห้องก็เดินออกมาทีละคนๆ อย่างพออกพอใจ จนกระทั่งเมื่อขอทานคนสุดท้ายเดินออกมาแล้ว บ่าวรับใช้จึงโยนเงินที่อยู่ในมือไปทางพวกขอทาน

 

 

เหล่าขอทานกรูกันเข้ามาแย่งอย่างบ้าคลั่ง

 

 

บ่าวรับใช้สองคนที่ลากตัวหลิวลี่ลงมาจากรถม้าเมื่อครู่เดินเข้าไปในห้อง เห็นร่างกายเปลือยเปล่าที่มีรอยแผลเต็มตัวของหลิวลี่ ตาของนางเบิกโต สิ้นลมหายใจไปนานแล้ว

 

 

บ่าวรับใช้สองคนก็ไม่ได้ปกปิดร่างกายให้แก่นาง คว้าร่างของนางเดินออกมาเลย และรอฟังคำสั่งของเฮ่อเหลี่ยน

 

 

 “โยนทิ้งที่สุสานรกร้างเสีย เมื่อเห็นว่าหมาป่าได้กัดกินร่างของนางจนหมดแล้วค่อยกลับมา” เฮ่อเหลี่ยนกดเสียงของตัวเองต่ำลง ออกคำสั่งอย่างเย็นชา

 

 

บ่าวรับใช้รับคำ แล้วโยนหลิวลี่เข้าไปในรถม้าเหมือนดั่งที่โยนกระสอบเน่าๆ จากนั้นมุ่งไปยังสุสานรกร้าง

 

 

บ่าวรับใช้ที่โยนเงินเดินเข้ามาขู่ให้พวกขอทานเหล่านี้เกรงกลัว “เห็นแล้วหรือยัง คนถูกพวกเจ้าทรมานจนตายเสียแล้ว ถ้าหากไม่อยากถูกจับเข้าตารางล่ะก็ จงปิดปากของพวกเจ้าให้สนิท และทำเหมือนกับว่าวันนี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น”

 

 

แม้ว่าเป็นขอทานจะโดนผู้คนดูถูกเหยียดหยาม แต่ก็ยังดีกว่าถูกจับเข้าตารางอยู่มากโข พวกขอทานล้วนไม่โง่ ย่อมไม่พูดออกไปอย่างแน่นอน จึงพากันพยักหน้าเพื่อแสดงว่ารับทราบแล้ว

 

 

เป้าหมายของเฮ่อเหลี่ยนได้บรรลุแล้ว จึงสั่งคนรถให้กลับจวน

 

 

 

 

 

จางเจ๋อหวยเก็บหนังสือร้องทุกข์ของประชาชนไว้ในแขนเสื้อ แล้วรีบเร่งเดินทางไม่หยุด แต่ด้วยขาสองข้างที่ใกล้จะมีสภาพเหวอะหวะแล้ว กว่าจะมาถึงเมืองหลวงก็ล่วงเข้าเวลาบ่ายของวันที่สามนับจากวันที่พวกเขาออกเดินทางเสียแล้ว พอได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวปลอดภัยแล้ว ในขณะที่รู้สึกโล่งอก ก็นำหนังสือร้องทุกข์และเอกสารราชการมายื่นด้วยมือของตัวเอง

 

 

และเอกสารราชการกับหนังสือร้องทุกข์ฉบับนี้ก็ส่งมาถึงโต๊ะทรงพระอักษรของฮ่องเต้

 

 

ทรงหยิบขึ้นและอ่านจนจบ สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ย่ำแย่จนแทบดูไม่ได้ พลันโยนหนังสือร้องทุกข์ลงบนพื้นข้างหน้า แล้วตรัสด่าด้วยโทสะอันเดือดดาล “ช่างกล้ายิ่งนัก พวกขุนนางและประชาชนหลินเฉิงเหล่านี้จะก่อกบฏแล้วใช่หรือไม่”

 

 

ขันที นางกำนัลที่ทำหน้าที่รับใช้ล้วนสะดุ้งตกใจจนคุกเข่าลงตัวสั่นเทา ในเวลานั้นภายในห้องทรงพระอักษรไม่มีแม้แต่เสียงหายใจ

 

 

ขันทีคนสนิทคุกเข่าลงแล้วพูดขึ้น “ขอฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วเลยพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ต้องรักษาพระวรกายนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้ยิ่งพิโรธหนักขึ้น “ทีแรกเปาชิงเหอก็นำประชาชนเป่ยเฉิงมาร้องขอเมตตาให้แก่องค์หญิงชิงเหอ บัดนี้ พวกขุนนางและประชาชนหลินเฉิงยังจะมาถวายหนังสือร้องทุกข์อีก พวกเขาตบหน้าเราเฉกเช่นนี้ จะให้เรารักษาพระวรกายได้อย่างไร”