ตอนที่ 222 จากไปอย่างเงียบๆ

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ขันทีคนสนิทเงยหน้าขึ้น มองไปยังฮ่องเต้ และพูดอ้อนวอนอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท องค์หญิงชิงเหอมีบุญคุณต่อชีวิตของประชาชนหลินเฉิง หากพวกเขาจะตอบแทนด้วยอาทรไมตรี ก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเองก็น่าจะรู้สึกดีพระทัยที่มีประชาชนดีเช่นนี้นะพ่ะย่ะค่ะ เหตุไฉนพระองค์ถึงต้องพิโรธขนาดนี้ หากทรงกริ้วมากๆ จะไม่คุ้มเสียต่อพระวรกายของพระองค์นะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้พ่นลมออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่ตรัสอะไรต่อ

 

 

ขันทีคนสนิทเห็นสีพระพักตร์ของพระองค์ดูผ่อนคลายลงบ้าง จึงพูดอ้อนวอนต่อ “ฝ่าบาท กระหม่อมกลับคิดว่าพระองค์น่าจะถือโอกาสนี้พระราชทานรางวัลให้แก่องค์หญิงชิงเหออีกสักครั้ง ประการแรกคือเพื่อเชยชมที่นางทำคุณูปการต่อประชาชน ประการที่สองคือเพื่อปลอบขวัญและกำลังใจให้แก่ประชาชนหลินเฉิง”

 

 

จัดกองทัพทหารไปมากมายเช่นนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมิใช่ปิศาจร้ายที่สิงร่าง

 

 

ฮ่องเต้รู้สึกว่าอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนมีท่าทีต่อพระองค์เปลี่ยนไปจากเดิม

 

 

ในพระทัยของพระองค์รู้สึกหวั่นเกรงยิ่ง ตระหนักได้ว่า นับแต่นี้สองคนนั้นจะไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับตัวเองอีกต่อไปแล้ว แม้จะบอกว่าเป็นผู้ที่เยือกเย็นที่สุด แต่หลายปีมานี้อ๋องฉีก็ยังคงจงรักภักดีต่อพระองค์ ในปีนั้นเขาต่อสู้โดยไม่คิดชีวิต บุกเข้ามาในพระราชวัง และช่วยเหลือพระองค์กับฮองเฮาให้รอดพ้นจากเงื้อมมือขององค์ชายห้าที่ก่อกบฏ หลังจากนั้นอีกหลายปีก็ค่อยๆ ถอดเขี้ยวเล็บของตัวเอง ยืนอยู่ด้านหลังพระองค์อย่างเงียบๆ เป็นมือซ้ายและมือขวาที่แข็งแกร่งที่สุดของพระองค์ แต่บัดนี้หลังจากเรื่องนี้ไป เกรงว่าเขาจะมีใจออกห่าง มิได้ใกล้ชิดกันเหมือนอย่างเคยอีก อีกทั้งยังมีประชาชนในผืนแผ่นดินที่ทราบเหตุและผลของเรื่องราว จะต้องรู้สึกผิดหวังอย่างมากกับฮ่องเต้องค์นี้ของตัวเอง และถ้าหากเสียความเชื่อใจจากประชาชนแล้ว นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ดังนั้น เมื่อพระองค์ได้เห็นหนังสือร้องทุกข์ของประชาชนจึงเกิดความรู้สึกเกลียดชังและเป็นเดือดเป็นดาลขึ้นมา

 

 

คำพูดของขันทีคนสนิทนี้ทำให้พระองค์ได้สติ จริงด้วย ถือโอกาสที่เรื่องยังเกิดขึ้นได้ไม่นานเท่าไร คนบนแผ่นดินยังไม่รู้กันทั่วทั้งหมด จะชดเชยตอนนี้ก็ยังทัน ครั้นไตร่ตรองถึงตรงนี้ ก็โบกพระหัตถ์ขึ้น “พวกเจ้ายืนขึ้นเถิด”

 

 

ขันทีคนสนิทและเหล่านางกำนัลลุกขึ้น

 

 

หลังจากนั้น ภายในห้องทรงพระอักษรก็ออกพระราชโองการสองฉบับต่อเนื่องกัน ฉบับแรกคือส่งไปที่บ้านของเมิ่งเชี่ยนโยว โดยมีรับสั่งว่า “วันนี้มีประชาชนเมืองหลินเฉิงลงชื่อบนหนังสือร้องทุกข์ของประชาชน เราตระหนักถึงคุณูปการขององค์หญิงชิงเหอ จึงพระราชทานรางวัลมาให้”

 

 

พระราชโองการอีกฉบับหนึ่งได้ส่งให้แก่จางเจ๋อหวยมีใจความดังนี้ “ประชาชนเมืองหลินเฉิงมีจิตใจที่เอื้ออาทรและห่วงใย เรารู้สึกซึ้งใจและยินดีอย่างยิ่ง จึงจัดสรรข้าวสารจำนวนหนึ่งหมื่นจินเพื่อเป็นรางวัลชมเชย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ฟื้น จึงย่อมไม่อาจรับพระราชโองการได้ เมื่อขันทีผู้ส่งทอดกระแสรับสั่งยืนอยู่ภายในจวนอ่านพระราชโองการต่ออากาศที่ว่างเปล่าจบ ก็มอบให้แก่หวงฝู่อี้เซวียน “ซื่อจื่อ ในเมื่อองค์หญิงชิงเหอยังไม่ฟื้น พระราชโองการนี้ก็ถือให้ท่านเป็นตัวแทนรับแล้วกัน”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรับมาอย่างเงียบๆ แล้วหันตัว เดินถือกลับเข้าไปในห้อง

 

 

ขันทีผู้ส่งทอดกระแสรับสั่งอ้าปากค้าง ชิงหลวนสังเกตได้จึงควักเงินจำนวนหนึ่งยัดใส่มือของขันทีผู้นั้นอย่างเงียบๆ “ลำบากกงกงแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ขันทีผู้ส่งทอดกระแสรับสั่งรับมา แล้วยัดใส่แขนเสื้อตัวเองอย่างคล่องแคล่ว พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว มิได้ลำบากเลย”

 

 

พอเข้าไปภายในห้อง หวงฝู่อี้เซวียนก็นั่งลงที่ข้างเตียง เห็นใบหน้าหลับใหลที่เรียบนิ่งของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปทาบดูลมหายใจที่จมูกของนาง ลมหายใจเป็นปกติดี ไม่มีอะไรผิดแปลกไป แต่นี่มันก็วันที่สองแล้ว ทว่า ตัวคนก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา

 

 

เขาก้มศีรษะลง เรียกนางอย่างเบาๆ “โยวเอ๋อร์ ตื่นเถิด…”

 

 

ยังคงหลับสนิท ไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ

 

 

ในใจก็กังวลเป็นอย่างมาก ลองผลักนางกี่ครั้งเบาๆ ร่างของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้แต่โอนเอนไปตามแรงของเขา ตัวคนกลับปิดตาแน่น ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นแต่อย่างใด

 

 

เขาลุกขึ้นยืน แล้ววางพระราชโองการของฮ่องเต้อย่างไม่ใส่ใจ เดินออกไป สั่งกับชิงหลวนและจูหลี “ดูแลโยวเอ๋อร์ให้ดี ไม่ว่าเป็นใครมาที่จวนล้วนไม่ให้เข้าพบทั้งสิ้น ข้าออกไปข้างนอก แล้วจะกลับมาโดยเร็ว”

 

 

ทั้งสองคนพยักหน้า

 

 

กัวเฟยที่รออยู่ในเรือนโดยตลอดไม่รอคำสั่ง ตรงไปท้ายเรือน จูงม้าออกมาสองตัว คนหนึ่งนั่งบนม้าตัวหนึ่ง อีกคนก็ตามเขามาถึงที่เรือนนอก

 

 

หวงฝู่อี้ อยู่รับผิดชอบที่เรือนนอกเพื่อรับใช้ไต้ซือสติไม่ดีคนนั้น ครั้นเห็นทั้งสองคนเข้าประตูมา ก็เดินไปต้อนรับ แล้วทักทาย “ซื่อจื่อ”

 

 

 “ไต้ซือล่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนเดินไปพลางถามไปพลาง

 

 

 “อยู่ในห้องขอรับ”

 

 

เมื่อพูดจบ หวงฝู่อี้เซวียนก็เปิดม่านประตูออกและเดินเข้าไปด้านในแล้ว

 

 

พระสติไม่ดีกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง ด้านหน้ามีไหสุราหนึ่งใบพร้อมผักและเนื้อเป็นกับแกล้มสองสามอย่าง เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามา ก็ดื่มสุราอึกหนึ่ง พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “โยม มาแล้วสินะ เชิญนั่งก่อนเถิด”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลง เห็นสีหน้าของเขาดูซีดเซียวเล็กน้อย และมีท่าทีที่ค่อนข้างเหนื่อยล้า จึงเม้มปากและกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ “ขอบพระคุณไต้ซือขอรับ”

 

 

พระสติไม่ดีโบกมือปฏิเสธ ใช้มือหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปาก หลังจากกลืนลงไปแล้วถึงพูดขึ้น “ทุกความดีล้วนจะได้รับผลดีตอบแทน เพราะองค์หญิงชิงเหอได้ช่วยชีวิตประชาชนจำนวนมาก ถึงได้โชคดีเช่นนี้”

 

 

เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนมีความรีบร้อนใจ “แต่ว่า หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว โยวเอ๋อร์ก็ยังไม่ฟื้นเลย นาง…”

 

 

พระสติไม่ดีพูดแทรกเขา “เจ็ดจิตสามวิญญาณ[1] ขององค์หญิงชิงเหอดึงรั้งกันเป็นเวลานาน ตอนนี้กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม ย่อมต้องการการพักผ่อนสักระยะหนึ่ง โยมไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ภายในสามวันนางก็จะฟื้นขึ้นมาเป็นปกติ และหลังจากนี้ต่อไปจิตและวิญญาณก็จะเป็นอันหนึ่งอันเดียว แปรเปลี่ยนสภาพใหม่ และยืนหยัดอยู่ในแดนต่างภพได้อย่างมั่นคงแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนวางใจ ลุกขึ้นยืน และโค้งตัวให้แก่พระสติไม่ดี “ขอบพระคุณไต้ซือเป็นอย่างยิ่งขอรับ หลังจากนี้หากไต้ซือต้องการให้อี้เซวียนรับใช้อะไร ก็ขอให้ท่านเอ่ยปากได้เลยขอรับ”

 

 

พระสติไม่ดีดื่มสุราอีกอึกหนึ่งอย่างออกรสออกชาติ กลืนลงไป ขยับปากจุ๊บจั๊บ แล้วถึงยิ้มกว้างพูดออกมา “ข้าเป็นพระสันโดษ ทุกหนทุกแห่งล้วนคือบ้าน ไม่มีเรื่องที่ทำให้ต้องยากลำบาก มีเสียแต่ก็โยมเองนั่นแหละ ภายในสามเดือนข้างหน้านี้ พยายามอยู่ข้างกายองค์หญิงชิงเหอไว้จะเป็นการดีที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้นางต้องประสบกับเรื่องไม่คาดคิด”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนฟังออกว่าคำพูดของเขาแฝงนัยยะบางอย่าง ร่างกายที่เพิ่งจะยืดตรง ก็โค้งลงไปอีก “ขอท่านพระอาจารย์โปรดช่วยชี้แนะให้กระจ่างด้วยขอรับ”

 

 

พระสติไม่ดีไม่พูดอะไรมากอีก จึงกล่าวแค่ “ลิขิตฟ้ามิอาจเปิดเผย อันตัวข้าได้ทรยศต่อโองการแห่งสวรรค์แล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้คงบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ โยมเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด ก็ต้องเข้าใจความหมายที่อาตมาพูดอย่างแน่นอน”

 

 

พูดมาถึงตรงนี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่คาดคั้นเขาอีก ยืนตัวตรงและขอบคุณอีกครั้ง แล้วหันหลังเดินออกไปอย่างรีบร้อน

 

 

เห็นเงาแผ่นหลังเขา พระสติไม่ดีก็ถอนหายใจ ยกไหสุราขึ้น แล้วดื่มหลายอึกติดต่อกัน

 

 

เมื่อได้ฟังคำพูดของพระสติไม่ดีแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็สบายใจขึ้น หลังจากกลับไปจวนของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ร้อนรนอีก กล่าวขอบคุณทุกคนที่มาเยี่ยม และใจจดใจจ่อเฝ้าเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ข้างกาย รอนางตื่นขึ้นมา

 

 

ข่าวที่เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปิศาจร้าย ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ที่จะแพร่กระจายกลับไปถึงชิงซี เข้าหูของชาวหมู่บ้านหวงจวง และย่อมรู้ไปถึงหูของคนในตระกูลเมิ่ง ทันทีที่เมิ่งซื่อฟังจบก็เป็นลมล้มหมดสติลงกับที่

 

 

ทุกคนตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ทั้งใช้เล็บจิกตรงบริเวณร่องปากใต้จมูกไว้ และรีบเชิญหมอมา พวกเขาต่างวุ่นวายกันยกใหญ่ เมิ่งซื่อถึงจะค่อยๆ ฟื้นขึ้น ประโยคแรกที่พูดหลังจากเปิดตาขึ้นก็คือสั่งกับเมิ่งเสียนว่า “เร็วเข้า ไปเตรียมรถม้า พวกเราไปเมืองหลวงกัน”

 

 

คนในครอบครัวเมิ่งรวมถึงเมิ่งเอ้ออิ๋นต่างมือเท้าลนลานไปหมด เดิมทีก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดของเมิ่งซื่อ ถึงจะได้สติ รีบสั่งคนให้ไปเตรียมรถม้า เมิ่งจงจวี่ที่มีเมิ่งต้าจินพยุงอยู่ เดินกะโผลกกะเผลกเข้ามา และสั่งต่อกันโดยไม่หยุดหายใจ “ไปเมืองหลวง รีบไปเมืองหลวง โยวเอ๋อร์จะโดนปิศาจร้ายเข้าสิงได้อย่างไร พวกเขาต้องเข้าใจผิดแน่ พวกเราต้องรีบช่วยนาง”

 

 

เหวินหู่ เหวินเป้าพาเหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยประกอบรถม้าอย่างรวดเร็ว เมื่อเสร็จแล้ว เมิ่งจงจวี่ เมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งซานถงพร้อมด้วยฮูหยินของพวกเขาและเมิ่งเสียวเถี่ยที่พาชิงเอ๋อร์ไปด้วย อีกทั้งยังมีคู่สามีภรรยาของเมิ่งเหริน เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีที่พาเมิ่งเจี๋ยไปด้วย แต่ละคนล้วนขึ้นนั่งบนรถม้า ขบวนรถม้าอันมโหฬารนี้เคลื่อนตัวไปยังตำบลชิงซี

 

 

เมื่อคนในหมู่บ้านเห็นรถม้ามาแต่ไกล ถึงจะกล้าส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมา ย้อนนึกไปถึงเมิ่งเชี่ยนโยวที่เปลี่ยนไปหลายอย่างในหลายปีมานี้ ก็เชื่อเรื่องที่นางเป็นปิศาจสนิทโดยไร้ซึ่งข้อกังขา

 

 

หัวหน้าตระกูลเมิ่งได้ยินข่าวนี้ ก็แทบจะสิ้นลมหายใจ

 

 

นับแต่ที่เขารับหน้าที่เป็นผู้นำแห่งวงศ์ตระกูลมา คนในตระกูลเมิ่งก็ได้ดิบได้ดีถึงสามคน คนแรกคือเมิ่งอี้เซวียน อายุเพียงน้อยก็ผ่านการสอบจอหงวนรุ่นเยาว์ เป็นความภาคภูมิใจของตระกูลเมิ่งแต่เดิม ใครจะรู้ว่ากลับเป็นซื่อจื่อของอ๋องฉี ไปได้ครึ่งทางก็กลับสู่ต้นตระกูลบรรพบุรุษ และอีกคนหนึ่งก็คือเมิ่งเชี่ยนโยว แม้ว่าจะเกิดเป็นลูกสาว แต่ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิงชิงเหอด้วยความสามารถในฐานะชาวบ้านธรรมดา นางยังไม่ได้แต่งงานจึงย่อมยังเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลเมิ่งอยู่ เดิมทีเขายังคิดว่ารอให้นางกลับหมู่บ้านและนำพระราชโองการมาเมื่อไร จะให้สมาชิกในตระกูลเมิ่งทั้งหมดได้ชื่นชมเสียหน่อย ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า มีข่าวว่านางเป็นปิศาจร้ายที่เข้าสิงร่างแพร่ออกมา และยังถูกฮ่องเต้ออกพระบัญชาต่อหน้าประชาชนมากมาย ให้ไต้ซือร่ายมนตร์ใส่นาง ให้แปลงกายกลับคืนร่างเดิมกลางถนนของเมืองหลวง จะเอาให้ตายอย่างไม่ต้องสงสัย และคนสุดท้ายก็คือเมิ่งเจี๋ย ปีนี้ก็เข้าสู่วัยหนุ่มแล้ว อีกทั้งยังสอบจอหงวนรุ่นเยาว์ผ่าน จึงเป็นความภาคภูมิใจของคนตระกูลเมิ่งโดยแท้จริง แต่วันนี้ต้องตามคนในตระกูลเมิ่งเข้าเมืองหลวง เกรงว่าอาจจะนำมาซึ่งความอัปมงคลเสียมากกว่ามีโชคลาภ และเป็นไปได้ว่าจะไม่ได้กลับมาอีก ความปรารถนาที่สูญสลายหายไปอย่างต่อเนื่องทำให้หัวหน้าตระกูลเกือบจะแบกรับไว้ไม่ไหว และแทบอยากจะวูบหมดสติไปเสียเดี๋ยวนั้น

 

 

ครอบครัวเมิ่งไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ จึงสั่งเหวินหู่และเหวินเป้าให้เร่งม้าออกจากตำบลชิงซีอย่างสุดชีวิต รถม้าตะบึงมาจากถนนของตำบลชิงซี เมื่อเร่งเดินทางมาได้ครึ่งทาง ก็ประจันหน้ากับม้าเร็วตัวหนึ่งที่พุ่งมา ครั้นเห็นขบวนรถม้าที่มโหฬารเบื้องหน้า ก็รีบตะบึงข้ามไป แต่เมื่อผ่านไปไกลมากแล้ว ราวกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้ จึงดึงบังเ**ยนหยุด แล้วหันหัวม้า วกกลับไปอีกครั้ง เร่งม้าให้มายังหน้าขบวนรถม้า และถามเหวินหู่เสียงดัง “ขบวนรถม้านี้เป็นของตระกูลเมิ่งแห่งตำบลชิงซีใช่หรือไม่ขอรับ”

 

 

เหวินหู่ระแวดระวังมากขึ้น ผงกศีรษะเล็กน้อย ถาม “ใช่แล้ว เจ้าเป็นใคร”

 

 

คนบนม้าถอนหายใจโล่งอก แล้วตอบว่า “ข้าเป็นผู้ประจำการแห่งสถานีส่งสาร ซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีที่ห่างไกลแปดร้อยเมตรเร่งให้มาส่งข่าวว่า ตอนนี้ได้พิสูจน์ความจริงแล้วว่าองค์หญิงชิงเหอถูกใส่ร้าย ฝ่าบาทจึงมอบตำแหน่งคืนให้อีกครั้ง ดังนั้นคนในตระกูลเมิ่งไม่จำเป็นต้องไปเมืองหลวง ขอให้รอคอยอยู่ที่บ้านอย่างสบายใจ และเตรียมตัวสำหรับงานแต่งงานขององค์หญิงชิงเหอขอรับ”

 

 

เสียงของผู้ส่งสารไม่เบาจึงได้ยินกันเกือบทุกคน เมิ่งจงจวี่ตื่นเต้นจนน้ำตาไหลออกท่วมใบหน้าชราของเขา เมิ่งซื่อรู้สึกยินดีและน้ำตาไหลริน หากไม่ใช่ว่านั่งอยู่ในห้องบนรถม้าแล้ว เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีที่นั่งอย่างนิ่งสงบมาตลอดต้องกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจแน่นอน พวกเขารู้อยู่เชียวแล้วว่าน้องเล็กไม่ได้มีปิศาจสิงร่างอย่างแน่นอน

 

 

เมื่อได้ข่าวที่ถูกต้องแล้ว ก็ให้เงินแก่ผู้ส่งสารไม่น้อยเพื่อแสดงความขอบคุณ คนตระกูลเมิ่งปรึกษากันครู่หนึ่ง แล้วจึงสั่งเหวินหู่ให้หันรถม้ากลับบ้านไป

 

 

ขณะที่เดินทางแต่ละคนก็หน้านิ่วคิ้วขมวด ทว่า ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงยามกลับมา แต่ละคนกลับมีท่าทีเบิกบานปรีดา คนในหมู่บ้านรู้สึกคับอกคับใจจึงเข้ามาสอบถาม

 

 

คนในตระกูลเมิ่งย่อมบอกข่าวดีเช่นนี้กับพวกเขาเป็นธรรมดา

 

 

ข่าวนี้ก็ย่อมแพร่เข้าถึงหูของหัวหน้าตระกูลเมิ่งอย่างรวดเร็ว

 

 

สภาพของหัวหน้าตระกูลที่จะตายดีไม่ตายดีและถอนหายใจเป็นวักเป็นเวรเมื่อครู่หายไปทันควัน เปลี่ยนเป็นกระปรี้กระเปร่าขึ้น และสั่งกับคนในตระกูล “ไป ไปทำความสะอาดโถงบรรพบุรุษ อีกไม่กี่วันองค์หญิงชิงเหอก็จะกลับมาแล้ว”

 

 

คนในตระกูลเมิ่งล้วนได้ยินข่าวนี้กันหมด พวกจูหลานสามคนที่อาศัยที่เสียนเฉิงก็ไม่มีทางไม่ได้ยินข่าวนี้ด้วย ทั้งสามคนต่างตกใจโดยพร้อมกัน จึงรีบปรึกษากันเดี๋ยวนั้น แล้วขี่ม้าเร็วไปยังเมืองหลวง

 

 

แต่เมื่อพวกเขามาถึง ก็เป็นวันที่สามนับจากที่ได้ยินข่าวแล้ว

 

 

และหลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวนอนหลับสนิทไปแล้วสามคืน ก็ค่อยๆ ตื่นขึ้น

 

 

เป็นเวลาสายกว่าๆ พอดี แสงแดดอ่อนๆ ของดวงอาทิตย์ลอดเข้ามาจากหน้าต่างไม้ ภายในห้องปกคลุมด้วยอากาศที่อบอุ่น เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาขึ้น รู้สึกว่ามือของตัวเองถูกคนกุมไว้แน่น จึงยิ้มเล็กน้อย ก้มศีรษะลง เห็นว่าเป็นหวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังนอนพาดอยู่ข้างเตียงตัวเองจริงๆ อย่างที่คิด

 

 

เวลาเช่นนี้ยังนอนหลับได้ จะต้องเป็นเพราะเหนื่อยมากแน่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวมีความคิดที่หลักแหลม จึงเดาได้ทันทีว่าตัวเองคงไม่ได้หลับไปแค่วันเดียว นางใช้มืออีกข้างหนึ่งลูบศีรษะของเขาเบาๆ ด้วยความรักใคร่

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตกใจตื่นขึ้น เงยหน้าอย่างประหลาดใจปนยินดี เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังมองด้วยดวงตากลมโตที่เป็นประกายทั้งสองคู่อยู่ สายตานั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนส่งมาให้เขา จึงยกมือขึ้น ปัดเส้นผมที่ตกอยู่ด้านหน้าของนางไปไว้ด้านหลัง แล้วถามเบาๆ “ฟื้นแล้วหรือ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่” เสียงนั่นอ่อนโยนจนไม่อาจอ่อนโยนไปมากกว่านี้ได้อีก คล้ายกับว่ากลัวจะทำให้นางตกใจอย่างไรอย่างนั้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเผยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ตอบไม่ตรงคำถาม “ข้าหลับไปกี่วันแล้ว”

 

 

มือของหวงฝู่อี้เซวียนกุมแน่นขึ้น “สามวัน”

 

 

ใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้มแย้มไม่เปลี่ยนแปลง ภายในเสียงเต็มไปด้วยความเอ็นดู “ตกใจแย่เลยสินะ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนส่ายศีรษะยิ้ม “หลายปีมาแล้ว เจ้าก็เหน็ดเหนื่อยแล้ว ถือโอกาสนี้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มเสียบ้างก็ดี”

 

 

ขอบตาของเมิ่งเชี่ยนโยวมีน้ำตาเอ่อล้นออกมา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ช่วยซับน้ำตาให้นางอย่างนุ่มนวล และถามด้วยเสียงที่อ่อนโยน “หิวแล้วหรือยัง กินโจ๊กสักถ้วยไหม”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะเบาๆ

 

 

 “ชิงหลวน โยวเอ๋อร์ตื่นแล้ว ไปยกโจ๊กเข้ามา” หวงฝู่อี้เซวียนเปล่งเสียงดังสั่งออกไปด้านนอก

 

 

 ตึง มีเสียงบางอย่างหล่นลงพื้น ตามมาด้วยชิงหลวนและจูหลีที่ถลาเข้ามาราวกับตัวจะลอยตัวบิน ถามเป็นเสียงเดียวกันด้วยความตื่นเต้นดีใจ “นายหญิง ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและผงกศีรษะเบาๆ

 

 

ริมฝีปากของทั้งสองสั่นระริก ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกและหันตัวออกไปด่รนอก แต่นึกไม่ถึงว่าจะรีบเร่งเกินไป เสียง โครม ก็ดังขึ้น ศีรษะของทั้งคู่ชนกัน

 

 

ร่างกายก็โอนเอียงไปด้วย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพรวดออกมา

 

 

 

 

[1] เจ็ดจิตสามวิญญาณ เป็นความเชื่อในการเป็นคนอย่างสมบูรณ์ของจีน โดยเจ็ดจิตหมายถึง เจ็ดอารมณ์ทางจิตใจ แบ่งเป็น อารมณ์ดีใจ โกรธ เศร้า กลัว รัก ร้าย โลภ ส่วนสามวิญญาณ แบ่งออกเป็น วิญญาณแห่งฟ้า วิญญาณแห่งดิน และวิญญาณแห่งชีวิต หากมีไม่ครบหรือมีอย่างไม่สมดุลจะทำให้สูญเสียความมั่นคงในการดำรงความเป็นมนุษย์ซึ่งอาจเป็นภัยจนถึงแก่ความตายได้