ตอนที่ 74 มิทราบร่องรอย

จารใจรัก

ซื่อฮว่าชะงัก รีบผลักประตูเดินเข้ามาทันที มองเซี่ยฟางหวาด้วยความวิตกกังวล “คุณหนู ท่านไม่สบายตรงไหนหรือ ร้ายแรงหรือไม่”

 

 

           “ไม่ร้ายแรง แค่รู้สึกเจ็บหน้าอก ร่างกายอ่อยแอ ไม่ค่อยสบายตัวก็เท่านั้น เป็นไปได้ว่าเมื่อครู่ลุกเร็วไปหน่อย คงเพราะอ่อนแอมากเกินไป เจ้าออกไปบอกคุณชายหลี่ว่าข้านอนพักอีกสักงีบก็คงดีขึ้น” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า

 

 

           ซื่อฮว่าได้ยินเช่นนี้ก็เบาใจลง ก่อนเดินออกไป

 

 

           หลี่มู่ชิงเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว เตรียมตัวออกเดินทางต่อ เมื่อเห็นซื่อฮว่าเข้ามารายงานก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลขึ้นมาเช่นกัน “นางต้องเขียนใบสั่งยาหรือไม่ ข้าเห็นควรว่าต้มยาดื่มสักหน่อยน่าจะดีกว่า”

 

 

           “บ่าวเองก็คิดว่าต้องดื่มยาเช่นกัน ทว่าคุณหนูไม่ฟัง” ซื่อฮว่าพยักหน้า

 

 

           “ข้าจะลองไปพูดกับนางดู” หลี่มู่ชิงเดินออกไป มายังหน้าประตูห้องเซี่ยฟางหวาแล้วยกมือเคาะ

 

 

           เซี่ยฟางหวาเอ่ยเสียงเบา “เข้ามา”

 

 

           หลี่มู่ชิงผลักประตูเข้ามา พบว่าเซี่ยฟางหวาคล้ายกับจะกลับไปนอนบนเตียงอีกรอบ แต่เมื่อเห็นตนเดินเข้ามาก็หันหลังกลับมามอง จึงรีบเอ่ยขึ้น “ข้าเพิ่งได้ยินซื่อฮว่าบอกว่าเจ้าไม่สบายจึงมาดูสักหน่อย”

 

 

           “ไม่ใช่เรื่องใหญ่” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า

 

 

           “อย่าละเลยกับสุขภาพของตัวเองเลย ต้มยาดื่มฟื้นฟูร่างกายดีกว่า เอาอย่างนี้ เจ้าเขียนใบสั่งยาให้ตัวเองมา ที่เมืองแห่งนี้มีร้านยาในชื่อข้าอยู่ ข้าจะให้คนไปซื้อสมุนไพรกลับมาให้” หลี่มู่ชิงยืนกราน “ฟังข้าเถอะ”

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “ก็ได้” พูดจบก็เดินไปที่หน้าโต๊ะ หยิบพู่กันมาเขียนใบสั่งยาส่งให้หลี่มู่ชิง

 

 

           “เจ้าพักผ่อนก่อน พอต้มยาเสร็จแล้ว ข้าจะให้ซื่อฮว่านำเข้ามาให้” หลี่มู่ชิงยื่นมือรับแล้วพูดกับนาง

 

 

           “รบกวนแล้ว” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

           “กับข้าไม่ต้องพูดเช่นนี้ ข้าแค่อยากเห็นเจ้าแข็งแรงดี” หลี่มู่ชิงพูดจบก็หันหลังเดินออกไป

 

 

           เมื่อประตูปิดลง ภายในห้องก็เงียบสงบขึ้นมาทันตา เซี่ยฟางหวาได้ยินเสียงหลี่มู่ชิงกำลังสั่งคนไปซื้อสมุนไพรข้างนอก นางหันหลังเดินกลับไปนอนบนเตียง

 

 

           หนึ่งชั่วยามถัดมา ซื่อฮว่าก็เคาะประตูเรียก “คุณหนู”

 

 

           ไม่มีเสียงขานตอบจากในห้อง

 

 

           ซื่อฮว่าตะโกนเรียกอีกครั้งหนึ่ง ทว่ายังคงเงียบกริบ

 

 

           ซื่อฮว่าเริ่มกังวลใจ ยื่นมือผลักประตูออกพบว่าข้างในมืดสนิท นางเดินคลำทางไปยังหน้าโต๊ะเพื่อจุดตะเกียง ทว่าเมื่อหันหลังเดินไปที่เตียงพลางจะส่งเสียงเรียกก็พลันชะงัก รีบยื่นมือแหวกม่านเตียงออกทันที

 

 

           ภายในม่านไม่พบผู้ใด

 

 

           “คุณหนู” ซื่อฮว่าหันหลังแล้วตะโกนขึ้น

 

 

           ทั้งห้องเงียบกริบ

 

 

           ซื่อฮว่าหาทั่วห้องก่อนรอบหนึ่ง ทันใดนั้นก็ตะโกนเสียงดัง “คุณชายหลี่ ซื่อม่อ ใครก็ได้”

 

 

           ซื่อม่อได้ยินก็รีบรุดเข้ามาในห้อง ตามมาด้วยพวกหลี่มู่ชิงก็รีบเข้ามาเช่นกัน

 

 

           “มีอะไรหรือ” ซื่อม่อรีบถาม “เกิดอะไรขึ้น” พูดจบนางก็ตกใจ “คุณหนูเล่า”

 

 

           “คุณหนูหายไปแล้ว” ซื่อฮว่าส่ายหน้า

 

 

           “คุณหนูจะหายไปได้อย่างไร” ซื่อม่อแปลกใจ

 

 

           “หายไปตั้งแต่ตอนไหน” หลี่มู่ชิงเดินมาที่หน้าเตียง พบว่าในม่านยังทิ้งรอยยุบจากการนอนอยู่ ลองยื่นมือสัมผัสดูพบว่าฟูกนอนเย็นเยียบ เขาหันกลับมากวาดตามองทั่วห้อง ไร้ซึ่งความผิดปกติใด เขาหยุดสายตาลงบนหน้าต่าง หน้าต่างก็ยังปิดเอาไว้อย่างดีเช่นเดิม

 

 

           “เมื่อครู่บ่าวนำยาเข้ามาให้ เรียกคุณหนูสองรอบก็ไม่มีเสียงตอบรับ ถึงได้พบว่าคุณหนูหายไปแล้ว” ซื่อฮว่ากล่าวด้วยความร้อนใจแกมเคียดแค้น “เราอยู่ในเรือนตลอดเวลา ผู้ใดลักพาตัวคุณหนูไปกันแน่ ไฉนพวกเราถึงมิได้ยินเสียงใดเลย”

 

 

           “นั่นสิ” ซื่อม่อเองก็ร้อนใจ “ใช่ปรมาจารย์เขาไร้นามมาอีกแล้วหรือไม่ ปรมาจารย์มีวิทยายุทธ์สูงถึงเพียงนั้น หากลักพาตัวคุณหนูไปอย่างไร้สุ้มเสียง เราซึ่งมีวิทยายุทธ์ค่อนข้างต่ำย่อมไม่รู้สึกตัว”

 

 

           “ทำเช่นไรดี” พวกผิ่นจู๋ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีด

 

 

           หลี่มู่ชิงเดินสำรวจรอบห้องก่อนหยุดเท้าลงที่บานหน้าต่าง เขายื่นมือเปิดมันแล้วปิดลงเชื่องช้า พักต่อมาก็เอ่ยขึ้น “ฟางหวาน่าจะเป็นคนออกไปเอง”

 

 

           “อะไรนะ” พวกซื่อฮว่าชะงัก

 

 

           “คุณหนูได้รับบาดเจ็บสาหัส เคลื่อนไหวไม่สะดวก นางจะออกไปเองได้อย่างไร” ผิ่นจู๋รีบกล่าว

 

 

           หลี่มู่ชิงเม้มปาก “นางน่าจะออกไปทางหน้าต่าง หน้าต่างบานนี้เวลาเปิดไร้เสียง เวลาปิดก็เช่นเดียวกัน แม้นางได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ฟื้นฟูกลับมาได้สามส่วนแล้ว หากต้องการเลี่ยงพวกเราแล้วออกไปเพียงลำพังระหว่างที่เราไม่ทันสังเกตย่อมเป็นไปได้” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ในเรือนหลังนี้นอกจากผู้คุ้มกันของข้า ตอนนี้ก็สัมผัสถึงลมปราณของเหล่าสายลับที่คอยติดตามคุณหนูของพวกเจ้าในที่ลับตลอดเวลาไม่ได้แล้ว น่าจะติดตามนางไปด้วย”

 

 

           “ไฉนคุณหนูถึงทิ้งพวกเราไว้” ซื่อฮว่ากระวนกระวาย “พวกบ่าวทำสิ่งใดผิดไปหรือ”

 

 

           หลี่มู่ชิงหันกลับมามองทั้งแปด พบว่าแต่ละคนนอกจากใบหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจแล้วยังมีนัยน์ตาแดงก่ำ เขาถอนหายใจออกมา “พวกเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด น่าจะเป็นข้าที่ทำให้พวกเจ้าเดือดร้อน ข้ารั้นจะตามมา นางไม่อยากให้ข้าตามมาด้วย จึงหนีข้าออกไปเพียงลำพัง”

 

 

           พวกซื่อฮว่าได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่ามีเหตุผล ดวงตาแปดคู่มองมายังหลี่มู่ชิงด้วยความตำหนิ

 

 

           “คุณชายหลี่ ในเมื่อเป็นเพราะท่านทำให้คุณหนูหนีไป ท่านต้องรีบช่วยเราตามหาคุณหนูด้วย คุณหนูบาดเจ็บสาหัส เพิ่งฟื้นฟูพลังกลับมาได้ไม่กี่ส่วนก็ออกไปเพียงลำพัง พวกเราเป็นห่วงอย่างยิ่ง หากเผชิญอันตรายจะทำเช่นไร” ผิ่นจู๋ไม่พอใจอย่างยิ่ง

 

 

           “ถูกต้อง หากพบปรมาจารย์เขาไร้นามอีกเล่า ถึงตายไปแล้วหนึ่งท่าน แต่ก็ยังเหลืออีกสองท่านนะ” ผิ่นเซวียนสมทบ

 

 

           “ใช่แล้ว ปรมาจารย์เขาไร้นามจับตามองคุณหนูอยู่ คิดจะสังหารคุณหนูตลอดเวลา คุณหนูเคยวางเพลิงเผาฉือเฟิ่ง คืนก่อนก็สังหารฉางเฟิงในครั้งเดียว ยังเหลือปรมาจารย์อีกหนึ่งท่าน” ซื่อหลานกล่าว

 

 

           “เกรงว่าไม่ใช่แค่ปรมาจารย์เขาไร้นามที่คิดสังหารคุณหนู” ซื่อหว่านกังวล

 

 

           ทั้งแปดพยักหน้าพร้อมกัน จากนั้นก็มองหลี่มู่ชิง

 

 

           “พวกเจ้าอย่าเพิ่งตื่นตระหนก นางมีสายลับคอยคุ้มกันอยู่ ทั้งระวังตัวตลอดเวลา ในเวลาอันสั้นคงไม่เกิดเรื่องใดขึ้น ข้าจะให้คนออกตามหา ดูว่านางมุ่งหน้าไปที่ใด” หลี่มู่ชิงนวดหว่างคิ้ว มองทั้งแปดแล้วกล่าวขึ้น

 

 

           “คุณหนูอยากไปให้ถึงเมืองหลินอันตลอดมา” ซื่อฮว่ารีบกล่าว

 

 

           “ข้าคิดว่าเราควรรีบเดินทางไปยังเมืองหลินอัน คุณหนูออกไปไม่เกินหนึ่งชั่วยาม หากเรารีบตามไปอาจยังไล่ทัน” ซื่อม่อพยักหน้าแล้วกล่าวต่อ

 

 

           “กลัวก็แต่ไม่ได้ไปหลินอันน่ะสิ” หลี่มู่ชิงบอก

 

 

           ทั้งแปดมองไปหาเขาพร้อมกัน

 

 

           หลี่มู่ชิงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้นอีก “ยังไม่แน่นอน หลินอันเกิดโรคห่าระบาด นางรีบไปก็มีเหตุผล” พูดจบก็ตะโกนเรียกหาคนข้างนอก

 

 

           “คุณชาย” มีคนขานรับแล้วปรากฏตัวขึ้น

 

 

           “ไปตรวจสอบดู คุณหนูฟางหวาออกจากที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร คืนนี้มีคนออกจากเมืองหรือไม่ ดูว่ามีร่องรอยให้ตามหาที่อยู่ของนางบ้างหรือไม่” หลี่มู่ชิงสั่งงาน

 

 

           “ขอรับ” มีคนขานรับแล้วออกไป

 

 

           หลี่มู่ชิงหันมาบอกกับพวกซื่อฮว่าทั้งแปด “พวกเจ้าจะไปหลินอันก่อน หรืออยู่รอข่าวคราวที่นี่กับข้า”

 

 

           พวกซื่อฮว่ามองหน้ากัน ตัดสินใจไม่ถูกชั่วเวลาหนึ่ง

 

 

           “หากพวกเจ้าไปหลินอันก่อน พอข้าทราบข่าวจะรีบบอกพวกเจ้าทันที แต่หากพวกเจ้ารออยู่ที่นี่ เช่นนั้นก็ช่วยกันตามหาที่อยู่และจุดหมายปลายทางของนาง” หลี่มู่ชิงบอก

 

 

           ซื่อฮว่าครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “คุณชายหลี่ ขอเราปรึกษากันสักครู่”        

 

 

           “ได้” หลี่มู่ชิงหันหลังเดินออกไปนอกห้อง

 

 

           ซื่อฮว่ามองทั้งเจ็ดแล้วออกความเห็น “คุณหนูไม่อยากให้คุณชายหลี่ตามมา ไม่มีเหตุผลที่นางออกไปเพียงลำพังแล้วพวกเรากลับยังอยู่กับคุณชายหลี่ ข้าคิดว่าเราไปหลินอันกันก่อน ระหว่างทางก็หาคุณหนูไปด้วย นอกจากนี้ท่านโหวก็อยู่ที่หลินอัน เราจะได้ขอให้ท่านโหวตัดสินใจที่นั่น พวกเจ้าว่าอย่างไร”

 

 

           “ข้าเห็นด้วยกับที่เจ้าว่า” ซื่อม่อผงกศีรษะ

 

 

           “มีเหตุผล” พวกผิ่นจู๋ก็พยักหน้าตาม

 

 

           เมื่อทั้งแปดหารือกันลงตัวแล้วก็ออกมาลาหลี่มู่ชิง

 

 

           หลี่มู่ชิงราวกับเดาได้ก่อนแล้ว เขาพยักหน้ารับแล้วกำชับให้ทั้งแปดระวังตัวด้วย

 

 

           ทั้งแปดออกมาจากเรือน ขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทันที

 

 

           เนื่องจากเป็นยามไฮ่*[1]ประตูเมืองจึงปิดสนิท แต่พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อย่อมมีวิธี ไม่นานก็ออกไปจากเมือง

 

 

           หลี่มู่ชิงรอจนทั้งแปดออกไปแล้วก็ยืนอยู่ในเรือนเนิ่นนาน กระทั่งมีคนปรากฏตัวขึ้นข้างหลังแล้วกล่าวรายงาน “คุณชาย แปลกมากขอรับ”

 

 

           “แปลกอะไร พูดมาสิ” หลี่มู่ชิงหันมามองแวบหนึ่ง

 

 

           “เรือนทั้งหลังไม่พบร่องรอยของคุณหนูฟางหวาเลย ในเมืองก็ไร้ข่าวคราว นอกเมืองก็ไม่พบร่องรอยเช่นกัน ตรวจสอบไม่เจอสิ่งใดเลยขอรับ มิทราบว่าคุณหนูฟางหวาหายไปไหน” คนผู้นั้นตอบ

 

 

           “ระดับพวกเจ้าก็ยังตรวจสอบไม่พบหรือ” หลี่มู่ชิงขมวดคิ้ว

 

 

           “ตอนนี้ยังไม่พบเลยขอรับ” คนผู้นั้นพยักหน้า

 

 

           “พวกเจ้าโตมากับข้าตั้งแต่เด็ก ผ่านการอบรมจากข้า ในเมื่อหาไม่เจอก็แปลว่าหาไม่เจอ” หลี่มู่ชิงยกมือนวดหว่างคิ้ว ถอนหายใจยาวเหยียดแล้วกล่าวขึ้น “นางไม่ไว้ใจข้าหรือกลัวพัวพันมาถึงข้ากันแน่ นึกไม่ถึงเลยว่าไปโดยไม่บอกลา หนีออกไปเพียงลำพังเช่นนี้”

 

 

           “คุณหนูฟางหวาหนีไปแล้วจริงหรือขอรับ แต่เหตุใดพวกเราเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดเวลากลับไม่เห็นนางออกไปเลย” คนผู้นั้นสงสัย

 

 

           หลี่มู่ชิงกวาดตามองให้ทั่ว คล้ายนับถือคล้ายทอดถอนใจ “ด้วยความสามารถของนางหากไปจากที่นี่โดยไม่ให้ข้ารู้ตัว ย่อมเป็นไปได้อยู่แล้ว ถึงอย่างไร…” พูดถึงตรงนี้ก็หยุดลงฉับพลัน เงียบพักหนึ่งแล้วยกมือไล่ “ค้นหาต่อไป หาไม่เจอคืนนี้ พรุ่งนี้ฟ้าสว่างแล้วต้องมีร่องรอยให้ตามแน่”

 

 

           “ขอรับ” คนผู้นั้นกลับออกไป

 

 

           หลี่มู่ชิงยืนนิ่งกลางลานต่ออีกพักหนึ่งก่อนกลับเข้าห้อง

 

 

           หลังจากพวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อออกจากเมืองก็ขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังเมืองหลินอัน ตลอดทางก็หาร่องรอยเซี่ยฟางหวาไปด้วย เมื่อเดินทางมาได้หนึ่งร้อยลี้จนเห็นเมืองหลินอันอยู่ในระยะสายตา ทว่าก็ไม่พบร่องรอยเซี่ยฟางหวาเลย

 

 

           ก่อนฟ้าสว่าง ทั้งแปดก็มาถึงเขตเมืองหลินอัน

 

 

           ประตูเมืองปิดสนิท ทั้งเมืองตกอยู่ในความเงียบสงัดท่ามกลางราตรี กลิ่นไม่น่าพิสมัยคละคลุ้งปะปนกับอากาศ

 

 

           “ปิดปากกับจมูก” ซื่อฮว่าเตือนทุกคน

 

 

           ทั้งเจ็ดก็ตื่นตัวขึ้นมาเช่นกัน นึกขึ้นได้ว่าเมืองหลินอันกำลังเกิดโรคห่าระบาดจึงรีบหยิบผ้าคลุมหน้าออกมาปิดปากและจมูกเอาไว้

 

 

           “เปิดประตู” ซื่อฮว่าตะโกนเสียงดัง

 

 

           ทหารรักษาเมืองนายหนึ่งชะโงกหน้ามาจากกำแพงเมืองด้านบน พบว่าเป็นสตรีแปดคนก็รีบถาม “ผู้ใด องค์รัชทายาททรงมีพระบัญชาให้ปิดเมืองสิบวัน ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกเมือง รีบกลับไปเถอะ”

 

 

           “พวกเราเป็นสาวใช้จวนจงหย่งโหว ต้องการพบท่านโหวเซี่ย” ซื่อฮว่ารีบบอก

 

 

           ทหารรักษาเมืองได้ยินเช่นนั้นก็ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นพวกเจ้ารอสักครู่ ขอข้าไปรายงานก่อน”

 

 

           “ขอบคุณมาก” ซื่อฮว่าประสานมือตอบ

 

 

           ทหารรักษาเมืองรีบออกไป

 

 

           รอประมาณสองก้านธูป ทหารรักษาเมืองคนเดิมก็กลับมา ยกมือสั่งให้คนเปิดประตูเมือง

 

 

           “ท่านโหวเซี่ยอยู่ที่ใด รบกวนบอกด้วย” พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อเข้ามาในเมืองแล้วเอ่ยถาม

 

 

           “ข้าน้อยนำทางให้แม่นางทุกท่านเอง” คนผู้นั้นรีบกล่าว

 

 

           พวกซื่อฮว่ากล่าวขอบคุณ ตามคนผู้นั้นเข้าเมืองแล้วมุ่งไปยังเมืองชั้นใน

 

 

           ถนนในเมืองสะอาด มิได้ยินเสียงหมาเห่าสักตัว เงียบสงัดเป็นอย่างยิ่ง แต่ในอากาศมีกลิ่นผิดปกติปะปนอยู่ เป็นกลิ่นราและกลิ่นไม่น่าพิสมัยฉุนจมูก

 

 

           ทหารรักษาเมืองนำทั้งหมดมายังศาลาว่าการ ก่อนประสานมือคำนับกับพวกซื่อฮว่า “แม่นางเข้าไปเถิด ท่านโหวเซี่ยอยู่ที่นี่”

 

 

           พวกซื่อฮว่ารีบเดินเข้าไปข้างใน

 

 

           “พระชายาน้อยมาแล้วใช่หรือไม่” เพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าวก็เห็นทิงเหยียนวิ่งหน้าตั้งออกมาพร้อมกล่าวด้วยความรีบร้อน

 

 

           พวกซื่อฮว่าเห็นทิงเหยียน ทั้งได้ยินสิ่งที่เขาพูด หัวใจก็เต้นตึกตักขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน คิดในใจว่าคุณชายหลี่เดาถูกแล้วว่าคุณหนูมิได้มาที่หลินอัน พวกนางส่ายหน้าตอบ

 

 

           “พระชายาน้อยไม่มา” ทิงเหยียนเห็นทุกคนส่ายหน้าก็ชะงักไปครู่หนึ่ง มองทุกคนด้วยความไม่เข้าใจ “แล้วไฉนพวกเจ้าถึง…”

 

 

           “ไม่มีอะไร” ซื่อฮว่าตอบ “ท่านโหวเล่า”

 

 

           “อยู่ในห้อง” ทิงเหยียนหลีกทางให้

 

 

           พวกซื่อฮว่ารีบเดินไปยังหน้าประตูแล้วย่อเข่าทำความเคารพ “ท่านโหว”

 

 

           “เข้ามาพูดข้างใน” เสียงของเซี่ยม่อหานดังขึ้น

 

 

           พวกซื่อฮว่าเข้ามาข้างในด้วยกัน พบว่าเซี่ยม่อหานนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดขาวคล้ายป่วยหนัก ทั้งแปดพากันตกใจ “ท่านโหว ท่านเป็นอะไรหรือ”

 

 

           “น้องหายไปไหนเล่า ไฉนถึงไม่มากับพวกเจ้าด้วย” เซี่ยม่อหานส่ายหน้า ไม่ตอบกลับถามขึ้น

 

 

           ซื่อฮว่ารีบเล่าเหตุการณ์หลังเซี่ยฟางหวาออกจากเมืองให้ฟัง เล่าจนถึงนางออกไปเพียงลำพังในคืนนี้ พวกนางไร้หนทางจึงมาตามหาที่นี่ เล่าจบแล้วก็คุกเข่าบนพื้นขอรับโทษ “ท่านโหว พวกเราไร้ประโยชน์ มิได้ดูแลคุณหนูให้ดี ยามนี้นางออกไปเพียงลำพัง เราเองยังไม่รู้ตัว ท่านโหวโปรดลงโทษด้วย”

 

 

           “ท่านโหวโปรดลงโทษด้วย” พวกซื่อม่อก็คุกเข่าขอรับโทษด้วยเช่นกัน

 

 

           หลังเซี่ยม่อหานได้ยินว่าเซี่ยฟางหวาสังหารฉางเฟิงไปก็เงียบลงครู่หนึ่ง โบกมือปัดไม่ถือสา กล่าวด้วยความอ่อนแรง “พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ ฟางหวาออกไปเพียงลำพังต้องมีเหตุผลเป็นแน่ ไม่โทษพวกเจ้า”

 

 

           “เป็นเพราะเรามีวิทยายุทธ์ต่ำ ไร้ประโยชน์” พวกซื่อฮว่าไม่ยอมลุกขึ้น

 

 

           “นางตั้งใจหนีพวกเจ้าไปเพียงลำพัง ถึงพวกเจ้ามีวิทยายุทธ์สูงก็เกรงว่าทำอะไรไม่ได้เช่นกัน น้องมู่ชิงก็มีวิทยายุทธ์สูงไม่เบา มีหรือจะไม่รู้สึกตัวด้วยว่านางออกไปเพียงลำพัง” เซี่ยม่อหานไอ ก่อนกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง “ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว ลุกขึ้นเถอะ”

 

 

           พวกซื่อฮว่ามองหน้ากันก่อนลุกขึ้นยืน

 

 

           “ท่านโหว ท่านป่วยเป็นอะไรหรือเจ้าคะ” ผิ่นจู๋มองเซี่ยม่อหานแล้วถามด้วยความร้อนใจ

 

 

           “ตากลมหนาว ไม่ใช่ปัญหาใหญ่” เซี่ยม่อหานตอบ

 

 

           “แค่ตากลมหนาวจริงหรือเจ้าคะ” ซื่อหว่านมองเขา เอ่ยขึ้นด้วยความระวัง “ตอนเข้าเมืองมาสัมผัสได้ถึงกลิ่นแปลกๆ ในอากาศ โรคห่าร้ายแรงมากหรือไม่ ท่านใช่…” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “แล้วคุณชายเหยียนเฉินเล่า”

 

 

           “ข้าแค่ตากลมหนาว ไม่ได้ติดโรคห่ามาด้วย หลายวันก่อนไปขุดลอกคูคลองกับรัชทายาท และด้วยโรคห่าระบาดขึ้น ร่างกายข้าทนงานหนักไม่ไหวจึงล้มป่วยลง ตอนนี้คนที่ติดโรคห่าถูกรัชทายาทกักตัวไว้แล้ว

 

 

เหยียนเฉินกำลังศึกษาหายารักษาโรคห่าอยู่” เซี่ยม่อหานส่ายหน้า

 

 

           ทั้งแปดได้ยินเช่นนั้นก็พากันโล่งใจ

 

 

           “พวกเจ้ารีบเดินทางมาที่นี่คงเหนื่อยแย่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องฟางหวา ไปพักผ่อนเถอะ ประเดี๋ยว

 

 

เหยียนเฉินกลับมาข้าค่อยหารือกับเขา ดูว่าฟางหวาพอจะไปที่ใดได้บ้าง” เซี่ยม่อหานครุ่นคิดแล้วยกมือไล่ทั้งแปด

 

 

           ทั้งแปดพยักหน้ารับ เมื่อได้เจอเซี่ยม่อหานก็เสมือนมีเสาหลัก ไม่พูดมากความเป็นการกระทบกับอาการป่วยของเขา ต่างกลับออกไปพร้อมกัน

 

 

 

 

[1] *ยามไฮ่ คือ ช่วงเวลา 21:00 น.-23:00 น.