ตอนที่ 75 เจ้าของเฟิ่งหลวน

จารใจรัก

หลังจากพวกซื่อฮว่าแปดคนออกไป ใบหน้าเซี่ยม่อหานก็ฉายความกังวล

 

 

           เมื่อฟ้าสว่างเต็มที่ เหยียนเฉินกลับมาจากข้างนอกในสภาพเหนื่อยล้า ตรงมาที่ห้องของเซี่ยม่อหาน

 

 

           “เป็นเช่นไรบ้าง หาวิธีควบคุมโรคห่าระบาดลุกลามได้หรือยัง” เซี่ยม่อหานเห็นเขากลับมาก็รีบถาม

 

 

           “หาวิธีได้แล้ว เพียงแต่ขาดสมุนไพรตัวหนึ่ง” เหยียนเฉินพยักหน้า

 

 

           “สมุนไพรใด” เซี่ยม่อหานรีบถาม

 

 

           “สมุนไพรดำม่วง” เหยียนเฉินตอบ

 

 

           “สมุนไพรชนิดนี้หายากมากเลยหรือ” เซี่ยม่อหานถาม

 

 

           “ไม่ใช่ว่าสมุนไพรชนิดนี้หายากหรอก เพียงแต่คล้ายกับถูกคนกว้านซื้อไปก่อนแล้ว อย่างน้อยที่สุด ตอนนี้ภายในรัศมีห้าร้อยลี้จากเมืองหลินอันก็หาสมุนไพรชนิดนี้ไม่ได้” เหยียนเฉินส่ายหน้าตอบ

 

 

           “ผู้ใดกว้านซื้อมันไปก่อน” เซี่ยม่อหานสีหน้าเปลี่ยนไป

 

 

           “ฉินอวี้กำลังส่งคนไปตรวจสอบ” เหยียนเฉินส่ายหน้า

 

 

           “เจ้าเพิ่งศึกษาได้ว่าจำต้องใช้สมุนไพรดำม่วง แต่เหตุใดถึงมีคนกว้านซื้อมันไปก่อนล่วงหน้าก้าวหนึ่ง” เซี่ยม่อหานข้องใจ เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “หรือว่าโรคห่าที่นี่เกิดขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ มีแค่สมุนไพรดำม่วงเท่านั้นหรือที่รักษาได้”

 

 

           “ถึงแม้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ แต่ก็มีคนคิดอยากทำลายเมืองหลินอัน พูดอีกอย่างคืออยากกำจัดผู้คนที่อาศัยในเมืองหลินอันแห่งนี้” เหยียนเฉินมีสีหน้าเคร่งขรึม “ผู้อยู่เบื้องหลังต้องมีแพทย์ระดับสูงอยู่ข้างกายแน่นอน น่าจะมีวิชาแพทย์สูงกว่าข้าด้วย ข้าใช้เวลาศึกษาสองวันกว่าจะคิดได้ว่าต้องใช้สมุนไพรดำม่วง แต่ก็สายไปก้าวหนึ่ง สมุนไพรดำม่วงถูกคนกว้านซื้อไปก่อนแล้ว”

 

 

           “รัศมีห้าร้อยลี้ไม่มีสมุนไพรชนิดนี้” เซี่ยม่อหานกังวล “สถานการณ์ในเมืองยังต้านได้อีกกี่วัน”

 

 

           “มากสุดสามวัน” เหยียนเฉินตอบ

 

 

           “เวลาสามวันน้อยเกินไป ตอนนี้ในรัศมีห้าร้อยลี้ไม่มีสมุนไพรดำม่วง จำต้องหามันมาให้ได้โดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นแสนกว่าชีวิตในหลินอันต้องเผชิญอันตราย หลินอันจะกลายเป็นเมืองแห่งซากกระดูก” เซี่ยม่อหานไอขึ้นมา

 

 

           เหยียนเฉินพยักหน้า

 

 

           “เป็นผู้ใดกันแน่” เซี่ยม่อหานแค้นเคือง “ถึงแม้พุ่งเป้ามาที่องค์รัชทายาท พุ่งเป้ามาที่ตระกูลเซี่ยของข้า แต่ก็ไม่ควรนำแสนกว่าชีวิตเข้ามาพัวพันกับเราด้วย ช่างมีจิตใจโหดเ**้ยมยิ่งนัก อุบายร้ายกาจยิ่ง ไม่กลัวสวรรค์ลงโทษเลยรึ”

 

 

           “หากไร้สัญญาณชีวิต มีหรือจะกลัวสวรรค์ลงโทษ” เหยียนเฉินเม้มปากแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ข้าได้ยินว่าสาวใช้ทั้งแปดของฟางหวาเร่งเดินทางมาตลอดคืน พวกนางนำถ้อยคำใดมาด้วยหรือไม่”

 

 

           “พูดถึงเรื่องนี้ ถ้าเจ้ายังไม่กลับมา พอฟ้าสว่างแล้วข้าว่าจะส่งคนไปตามเจ้าพอดี จำต้องคุยกับเจ้าเรื่องนี้” เซี่ยม่อหานระงับโทสะ เอ่ยขึ้นด้วยความกลุ้มใจ “เดิมทีฟางหวาอยู่ห่างแค่ร้อยลี้แล้ว กลางดึกเมื่อคืนเตรียมออกเดินทางต่อ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ ก็หนีออกไปเพียงลำพังแล้วทิ้งพวกซื่อฮว่าแปดคนไว้ พวกซื่อฮว่าเดาว่าเพราะหลี่มู่ชิงตามมาด้วย นางไม่อยากให้เขาตามมา เพราะปฏิเสธไม่ได้ จึงได้แต่ทิ้งพวกนางแล้วหนีไป”

 

 

           เหยียนเฉินได้ยินเช่นนั้นก็ไตร่ตรอง

 

 

           เซี่ยม่อหานเล่าเรื่องที่พวกซื่อฮว่าเล่าให้ตนฟังอีกรอบหนึ่ง พูดจบก็ถอนหายใจออกมา “ตอนนี้ประกาศหย่าร้างเผยแพร่ไปทั่วหนานฉิน เรื่องพระราชโองการหย่าร้างเป็นที่รู้กันทั่วใต้หล้าแล้ว สถานการณ์เป็นที่แน่นอน ชวนให้เกิดความสับสนยิ่งนัก ข้าส่งจดหมายไปหาฉินเจิงแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับการตอบกลับ เดิมคิดว่าเมื่อฟางหวามาถึงแล้วค่อยถามนาง ตอนนี้นางกลับฝืนอาการบาดเจ็บจากไปเพียงลำพัง น่าเป็นห่วงยิ่งนัก”

 

 

           “ฟางหวามีความคิดเป็นของตัวเอง เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก รักษาตัวให้หายดีเถอะ” เหยียนเฉินบอก

 

 

           “เจ้ามีวิธีติดต่อกับนางไหม” เซี่ยม่อหานมองเหยียนเฉิน เดิมเขาเป็นคนมีความคิดความอ่านฉลาด เห็นเหยียนเฉินได้ยินเรื่องนี้ก็หาได้แสดงความกระสับกระส่ายแบบเขาไม่ จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

 

 

           เหยียนเฉินพยักหน้า “แต่ในเวลาอันสั้นคงใช้ไม่ได้”

 

 

           เซี่ยม่อหานมองเขา

 

 

           “หลินอันอันตราย รอบกายเรายิ่งอันตรายเป็นเท่าตัว นางไม่มาหลินอันก็ดีเหมือนกัน” เหยียนเฉินกล่าวเสียงทุ่มต่ำ

 

 

           “ก็จริง” เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็ตระหนักขึ้นได้ พยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

           ทั้งสองเพิ่งสนทนาจบ พลันมีคนวิ่งเข้ามาจากข้างนอก ตะโกนเสียงดังด้วยความรีบร้อน “คุณชาย

 

 

เหยียนเฉิน เร็ว เร็วเถิด แย่แล้วขอรับ!”

 

 

           เหยียนเฉินมองไปข้างนอก ขณะเดียวกันก็ลุกขึ้นเดินมาที่ประตูแล้วเอ่ยถาม “มีเรื่องใด”

 

 

           “เกิดการก่อจลาจล คนที่ถูกกักเพราะติดโรคห่าหลุดออกมา คนพวกนั้นบุกออกมา หนึ่งในนั้นข่วนทำร้ายองค์รัชทายาท คุณชายชูฉือไม่อยู่ ออกนอกเมืองไปตามหาสมุนไพร ตอนนี้มีแค่ท่านที่อยู่ด้วย รีบไปดูเถิด” คนผู้นั้นรีบกล่าว

 

 

           เหยียนเฉินได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าทันที รีบเดินออกไปข้างนอก

 

 

           เซี่ยม่อหานเองก็นั่งไม่ติดเช่นกัน รีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วตะโกนขึ้น “ใครก็ได้”

 

 

           “ท่านโหว” ทิงเหยียนรีบวิ่งมาหา

 

 

           “ช่วยข้าแต่งตัว แล้วตามข้าไปหาองค์รัชทายาท” เซี่ยม่อหานสั่งงาน

 

 

           “ท่านโหว ร่างกายท่านยังไม่หายดี แม้อาการป่วยก่อนหน้านี้หายดีแล้ว แต่ร่างกายฝืนทำงานหนักตลอดมา ยังไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ ตอนนี้ข้างนอกอันตรายยิ่ง ในเมื่อมีการก่อจลาจล ท่านอย่าเพิ่งออกไปจะดีกว่า หากท่านติดโรคห่าไปด้วยอีกคน ไหนเลยจะต้านทานไหว ท่านไม่เห็นพวกชายชาตรีติดโรคห่าแล้วตายไปเพราะต้านทานไม่ไหวหรือ” ทิงเหยียนเอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยนัก

 

 

           “รัชทายาทเกี่ยวพันกับความปลอดภัยของเมืองนี้ เขาเป็นอะไรไปในยามนี้ไม่ได้ หากเขาเป็นอะไรขึ้นมา อย่าว่าแต่ข้าตายเพราะติดโรคห่าเลย นี่ยังเป็นแค่เรื่องเล็ก ทุกคนในเมืองนี้ตายกันหมดต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่” เซี่ยม่อหานส่ายหน้า

 

 

           “ร้ายแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ทิงเหยียนสะดุ้งตกใจ พึมพำเสียงเบา

 

 

           “ร่างกายข้าไม่เคยทนรับความลำบาก แค่ตากลมหนาวนานไปจึงล้มป่วย สำหรับโรคห่าระบาดในหลินอันตอนนี้เรียกได้ว่าสังขารไม่อำนวย สิ่งที่พอทำได้มีจำกัด ยังต้องพึ่งพารัชทายาท หากเขาเป็นอะไรขึ้นมา ผู้ใดจะช่วยประชาชนในหลินอัน” เซี่ยม่อหานตีหน้านิ่งขรึม ตำหนิทิงเหยียน “ยังไม่รีบอีก”

 

 

           ทิงเหยียนเงียบเสียงทันที รีบมาช่วยเขาแต่งตัว จากนั้นก็พยุงเขาออกจากห้อง

 

 

           เมื่อออกจากจวนศาลาว่าการหลินอัน ทั้งสองก็ขึ้นรถม้า เดินทางผ่านถนนสองสายก็เห็นสถานการณ์ความวุ่นวายหน้าจวนเบื้องหน้า ทหารหลายคนคุมตัวลากคนที่ดิ้นทุรนทุรายพลางแหกปากร้องออกไป บนพื้นปรากฏคราบเลือดจากการต่อสู้กองใหญ่ แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์เมื่อก่อนหน้านี้ว่าเลวร้ายเพียงใด

 

 

           เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวมาหยุดหน้าประตู เหล่าทหารก็นำตัวคนและศพที่ก่อเรื่องออกไปแล้ว

 

 

           หลังจากเซี่ยม่อหานลงจากรถม้า เหล่าทหารต่างรู้จักฐานะของเขาดี รีบทำความเคารพพร้อมทั้งหลีกทางให้เพื่อเชิญเขาเข้าไปข้างใน

 

 

           เซี่ยม่อหานตรงไปยังจวนชั้นใน เมื่อมาถึงห้องหลักและเข้าไปในห้องก็พบว่าฉินอวี้กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ ข้อมือถูกข่วนทำร้ายจนเกิดบาดแผลหลายแห่ง เหยียนเฉินกำลังทำแผลให้ เขาดูเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง สีหน้าย่ำแย่ถึงที่สุด เม้มปากปล่อยให้เหยียนเฉินตรวจดูอาการ

 

 

           “รัชทายาท ไฉนถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้” เซี่ยม่อหานสาวเท้าเดินเข้ามาแล้วเอ่ยถาม

 

 

           “ม่อหาน เจ้ายังไม่หายดี ไฉนถึงมาที่นี่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” ฉินอวี้เห็นเขามาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

           “ฟังว่าเกิดเรื่องขึ้น ข้าไม่สบายใจจึงตามมาดู” เซี่ยม่อหานคำนับฉินอวี้ลวกๆ ก่อนเดินมาดูบาดแผลที่ข้อมือเขาแล้วเอ่ยถามเหยียนเฉิน “เป็นเช่นไรบ้าง มีปัญหาหรือไม่”

 

 

           “ตอนนี้ยังตอบไม่ได้” เหยียนเฉินตอบ “ต้องสังเกตอาการสักครึ่งวัน”

 

 

           “รัชทายาทมิใช่มีวิทยายุทธ์หรือ ข้างกายก็มีผู้คุ้มกันฝีมือดี ไฉนถึงปล่อยให้มีคนเข้าประชิดตัวได้ง่ายๆ ทั้งยังข่วนทำร้ายท่านอีก” เซี่ยม่อหานย่นหัวคิ้วพลางมองฉินอวี้

 

 

           ฉินอวี้เผยสีหน้าเยือกเย็นเล็กน้อย “คนผู้นั้นฝีมือดีมาก” หยุดเว้นช่วงแล้วถอนหายใจออกมา “เจ้าก็รู้ว่าตั้งแต่เยว่ลั่วกับชิงเหยียนสับเปลี่ยนกัน ข้างกายข้านอกจากคนของฉินเจิงแล้วก็ไม่มีสายลับราชสำนักอยู่ อีกอย่างก่อนหน้านี้พี่เหยียนเฉินก็เพิ่งศึกษาหาวิธีปรุงยาควบคุมโรคห่าได้ แต่ขาดสมุนไพรดำม่วง ข้าจึงส่ง

 

 

ชิงเหยียนกับคนอื่นออกไป พวกเขาเพิ่งออกไปไม่นาน นึกไม่ถึงเลยว่าผู้อยู่เบื้องหลังก็ทราบข่าวแล้ว”

 

 

           “กล่าวเช่นนี้ หมายความว่าผู้อยู่เบื้องหลังอยู่ในเมือง” เซี่ยม่อหานมีสีหน้าเปลี่ยนไป

 

 

           “ไม่ใช่ในเมืองก็คงอยู่นอกเมืองไม่ไกลนัก มิฉะนั้นข้าส่งคนไปหาสมุนไพรดำม่วงยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามดี พลันเกิดการก่อจลาจลขึ้นแล้ว โอกาสประจวบเหมาะกันยิ่งนัก” ฉินอวี้ไม่แสดงความเห็น

 

 

           “คนที่ข่วนทำร้ายท่านเล่า” เซี่ยม่อหานถาม

 

 

           “สังหารไปแล้ว” ฉินอวี้ตอบ

 

 

           “ถูกท่านสังหารหรือ” เซี่ยม่อหานมองเขา “ไฉนถึงไม่เก็บพยานไว้”

 

 

           “อืม คนผู้นั้นมีวิทยายุทธ์สูงมาก ตอนนั้นสถานการณ์บีบบังคับ หากไม่สังหารเขา ข้าคงรักษาชีวิตกลับมาไม่ได้” ฉินอวี้ตอบ “ได้แต่ต้องสังหารเขา นอกจากนี้เขาก็เป็นคนที่ติดโรคห่าด้วย ต้องสังหารทิ้งเท่านั้น”

 

 

           “คนที่ถูกสังหารเล่า ตอนนี้อยู่ที่ใด” เซี่ยม่อหานถาม “บางทีอาจหาเบาะแสจากศพได้บ้าง”

 

 

           “ถูกข้าสั่งคนไปเก็บกวาดก่อนแล้ว ห้ามผู้ใดเข้าใกล้ พี่เหยียนเฉินเป็นหมอ ประเดี๋ยวลองไปตรวจสอบดูเถอะ” ฉินอวี้ตอบ

 

 

           “รัชทายาทไว้วางใจข้าก็ดี” เหยียนเฉินทายาบนข้อมือให้ฉินอวี้

 

 

           “แม้เจ้าเป็นพระมาตุลาแห่งเป่ยฉี แต่เนื่องด้วยมีความเกี่ยวข้องกับฟางหวา พักอยู่ที่หนานฉินตลอดมาเพื่อคอยช่วยเหลือนาง ตอนนี้ตัวข้าผูกติดอยู่กับหลินอัน พี่จื่อกุยก็ยังไม่แข็งแรงดี ถึงแม้ข้าไม่ชอบหน้าเจ้า แต่ก็ปล่อยให้พี่จื่อกุยเป็นอะไรไปไม่ได้เช่นกัน มิฉะนั้นคงทำให้นางผิดหวัง ข้าย่อมไว้ใจเจ้า จงไปตรวจสอบเสีย” ฉินอวี้แย้มยิ้มบาง

 

 

           เหยียนเฉินตวัดตามองฉินอวี้ ยอมรับคำพูดเขาโดยนัย รีบทำแผลให้เขาเสร็จแล้วก็เดินออกไป

 

 

           “โชคดีที่มีเหยียนเฉิน” เซี่ยม่อหานเห็นเหยียนเฉินเดินออกไปแล้วก็เอ่ยขึ้น

 

 

           “แน่นอนว่าโชคดีที่มีเขา มิฉะนั้นนางคงไม่สบายใจที่ปล่อยให้ท่านอยู่ที่นี่ และไม่รีบร้อนเดินทางมา กลับไปทำเรื่องอื่นก่อน” ฉินอวี้ยิ้มพลางพยักหน้า

 

 

           “รัชทายาทหมายถึงสิ่งใด” เซี่ยม่อหานมึนงง

 

 

           “พี่จื่อกุย ท่านฉลาดขนาดนี้ ไฉนถึงไม่รู้ว่าสิ่งที่ข้าพูดหมายถึงอะไร” ฉินอวี้มองไปยังนอกหน้าต่าง “ความปลอดภัยของเมืองหลินอัน หนทางช่วยปลดทุกข์ ไม่ใช่อยู่ในหลินอัน หากแต่อยู่ข้างนอก ถึงแม้นางมาหลินอัน แต่หากไม่มีสมุนไพรดำม่วงก็ไร้ประโยชน์ ได้แต่ติดอยู่ในตาข่ายนี้เหมือนอย่างพวกเรา ดังนั้นมิสู้ไม่มา”

 

 

           “เจ้าหมายถึง นางไม่มาที่นี่ เพราะเหยียนเฉิน…” เซี่ยม่อหานมองเขา

 

 

           ฉินอวี้ไม่ตอบคำถาม หากแต่ยิ้มกล่าว “ตอนนี้ทุกหนแห่งต่างมีประกาศพระราชโองการหย่าร้างติดอยู่ทั่วหนานฉิน ฉินเจิงกับฟางหวามิใช่สามีภรรยากันอีกแล้ว และไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก” หยุดชั่วครู่แล้วหันมามองเซี่ยม่อหาน “พี่จื่อกุย อ้อมไปอ้อมมา ใช่อธิบายว่านางกับฉินเจิงไร้วาสนาต่อกันหรือไม่”

 

 

           เซี่ยม่อหานมองฉินอวี้ ไม่ส่งเสียงใด

 

 

           ฉินอวี้เองก็หาได้สนใจกับการเงียบตอบของเขา กล่าวต่อว่า “บางทีข้าอาจมีวาสนากับนางก็เป็นได้”

 

 

           “รัชทายาท แม้ตอนนี้น้องฉินเจิงกับน้องสาวข้ามาถึงขั้นนี้แล้ว แต่เบื้องลึกเบื้องหลังเป็นเช่นไรกันแน่นั้นยังมิทราบ ยิ่งไปกว่านั้น น้องสาวข้าก็เป็นสตรีที่เคยออกเรือนมาแล้ว ถึงแม้ตอนนี้นางกับน้องฉินเจิงไม่ใช่สามีภรรยากันอีก แต่ก็ไม่เหมาะสมกับองค์รัชทายาท ท่านอย่าได้คิดเช่นนี้อีกเลย คู่หมั้นและชายาที่ถูกกำหนดไว้แล้วคือคุณหนูหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ตอนนี้ในเมืองวุ่นวายอย่างยิ่ง หากจวนเสนาบดีฝ่ายขวาล่วงรู้ความคิดของท่าน ถึงอย่างไรเสนาบดีฝ่ายขวาก็อยู่ในราชสำนักมานาน หากท้อแท้หมดกำลังใจ เช่นนั้นสถานการณ์ในราชสำนักก็ยิ่งเลวร้ายจนนึกภาพไม่ออก” หัวใจของเซี่ยม่อหานเต้นตึกตัก รีบสวนกลับทันที

 

 

           “พี่จื่อกุย ขนาดข้ายังไม่กลัว แล้วท่านกลัวสิ่งใด” ฉินอวี้หลุดยิ้ม

 

 

           “บ้านเมืองหนานฉิน ราษฎรนับล้าน รัชทายาทต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน อย่าได้…” เซี่ยม่อรีบตอบ

 

 

           “พอแล้ว พอแล้ว พี่จื่อกุย ท่านกับข้าอายุเท่ากัน ยังอายุน้อยอยู่แท้ๆ ไฉนถึงได้เหมือนตาแก่พวกนั้นในราชสำนัก เอาแต่พูดถึงราชสำนัก หนีไม่พ้นจากบ้านเมือง ไม่พ้นจากหนานฉิน” ฉินอวี้ยกมือปรามเซี่ยม่อหานอย่างเอือมระอา

 

 

           เซี่ยม่อหานชะงัก ได้แต่เงียบเสียงลง ทว่ายังมองฉินอวี้ด้วยแววตาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง

 

 

           “หนานฉินเจริญรุ่งเรืองมาเกือบสามร้อยปีแล้ว จะรุ่งเรืองต่อไปหรือล่มสลายลงก็ต้องดูสถานการณ์ปัจจุบัน ราชวงศ์หนึ่งสืบทอดมาจนถึงตอนนี้ได้ ภายใต้ความยิ่งใหญ่นั้น บรรพบุรุษหลายรุ่นต้องกลบเกลื่อนความสกปรกและความล้าสมัยมากน้อย หากไม่บูรณะอย่างเด็ดขาด ถอนบางสิ่งทิ้งไป กำจัดมอดให้สิ้น เช่นนั้นแผ่นดินต้องสิ้น บ้านเมืองต้องล้มเหลว แต่จะทำเช่นไรถึงจะกำจัดความล้าสมัยนี้ไปได้ เอาแต่ยับยั้งไว้อย่างเดียวหรือ พอจะสร้างความคิดใหม่ได้หรือไม่” ฉินอวี้ยกยิ้มมุมปาก พลันหัวเราะเยาะขึ้น

 

 

           เซี่ยม่อหานเม้มปาก พิจารณาตามเงียบๆ

 

 

           ฉินอวี้ส่ายหน้า “หยุดยั้งและควบคุมเป็นนโยบายของเสด็จปู่ กระทั่งมาถึงรุ่นของเสด็จพ่อก็กลายเป็นว่าควบคุมไม่อยู่แล้ว คนบางกลุ่ม ของบางสิ่ง ต่างอดทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว ตอนนี้อย่าว่าแต่เสด็จพ่อทรงอายุมากขึ้นแล้วเลย ทั้งยังทรงประชวรหนัก แม้มีใจทว่าสังขารไม่อำนวยแล้ว” พูดจบก็กล่าวต่อ “จนถึงรุ่นข้า ตอนนี้ข้าเป็นเพียงรัชทายาท ยังไม่ได้สืบทอดตำแหน่ง พูดได้ว่าห่างจากบ้านเมืองเพียงก้าวเดียว แต่ก็เหมือนห่างอีกหมื่นก้าว”

 

 

           เซี่ยม่อหานพยักหน้า

 

 

           “สิ่งที่ข้าคิดคือ ต้องขุดสิ่งชั่วร้ายพวกนั้นขึ้นมาทั้งหมด ถึงไม่สำเร็จก็ต้องพลีชีพ” ฉินอวี้พูดชัดเจน

 

 

           “รัชทายาทพูดถูกแล้ว ในเมื่อคุกคามบ้านเมืองจนควบคุมไม่อยู่ มิสู้กำจัดทิ้ง ในเมื่อหมายกำจัดทิ้งก็ย่อมไม่ให้เหลือทางหนีทีไล่” เซี่ยม่อหานเข้าใจดี เงียบลงพักหนึ่งแล้วผงกศีรษะ

 

 

           “ดังนั้นบางทีชีวิตนี้ข้าอาจไม่ได้ออกจากหลินอันแล้ว อาจตายอยู่ที่นี่ก็เป็นได้ เช่นนั้นในเมื่อชีวิตสั้นถึงเพียงนี้ ผู้ใดตอบได้ว่าใครจะอยู่ใครจะไป ในเมื่อฟางหวาไม่ใช่สามีภรรยากับฉินเจิงแล้ว ข้าต้องการฟางหวา มีหรือจะทำไม่ได้” ฉินอวี้เปลี่ยนเรื่องกลับมาอีกครั้ง “บางทีเราอาจถูกกำหนดมาให้เป็นสามีภรรยากันก็ได้”

 

 

           เซี่ยม่อหานมองฉินอวี้อย่างหมดคำพูด

 

 

           “พี่จื่อกุย ท่านรู้หรือไม่ว่าหลังจากไต้ซือผู่อวิ๋นวัดฝ่าฝอซื่อเคยทำนายชะตาชีวิตให้ข้ากับฉินเจิง เขายังเคยทำนายซ้ำอีกครั้งด้วย” ฉินอวี้พลันคลี่ยิ้มมีเลศนัยต่อเขา

 

 

           “ทำนายซ้ำอย่างไร” เซี่ยม่อหานสงสัย

 

 

           “หลังเขาทำนายชะตาเสร็จแล้ว ก็ทำนายซ้ำอีกครั้ง” ฉินอวี้ยิ้มกล่าว “ตอนนั้นฉินเจิงกลับไปด้วยความฉุนเฉียว ท่านก็รู้จักนิสัยเขาดี เขาไม่ชอบพุทธศาสนา แม้เชื่อคำทำนายนี้ แต่ก็ไม่ถูกชะตากับผู้ทำนายดวงชะตา แต่ข้ายังอยู่ต่อ และขอให้ไต้ซือผู่อวิ๋นทำนายอนาคตซ้ำอีกครั้ง”

 

 

           “มิเคยได้ยินเรื่องนี้” เซี่ยม่อหานแปลกใจ

 

 

           “เพราะการทำนายครั้งนี้มีเพียงข้ากับผู่อวิ๋นที่ทราบ ย่อมไม่มีผู้อื่นทราบเรื่องนี้ และไม่เคยหลุดแพร่งพรายออกไป ท่านย่อมไม่เคยได้ยินมาก่อน” ฉินอวี้มองเขา “ผลการทำนายซ้ำบอกว่า เจ้าของเฟิ่งหลวนเป็นสตรีจากตระกูลเซี่ย”