หลี่ซางอิ๋นนั้นเป็น ‘นักแสดงที่เป็นที่นิยมที่สุด’ ของสถาบันฝันร้าย รอบตัวเขามีบรรยากาศของความบ้าคลั่งที่ไม่จำเป็นต้องปลอมแปลงขึ้น เขาเพียงแค่ปล่อยให้ตัวเองเหมือนบ้าคลั่งไปเพื่อให้ตัวละครนั้นมีชีวิตขึ้นมา ยืนอยู่ในเงามืดที่ทางเข้าโรงแรม เขาสวมชุดหญิงท้องที่เขาเจอในตึกหลังหนึ่งแล้วดึงเอาอุปกรณ์แต่งหน้าจากกระเป๋าคาดเอวที่สวมเอาไว้ตลอดเวลาออกมา เพียงแค่ปาดพู่กันไม่กี่ครั้งเขาก็ดูต่างไปจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

ด้วยรูปลักษณ์นุ่มนวลโดยธรรมชาติและมีเครื่องสำอางช่วย ถึงเขาจะยังผมสั้น หลี่ซางอิ๋นก็ดูคล้ายผู้หญิงแล้ว

ไม่มีวิกผม ฉันคงต้องใช้หมวกแทน

เขาวิ่งเข้าไปในตึกข้าง ๆ หาผ้าปูเตียงผืนหนึ่งมาแล้วม้วนมันเป็นก้อนกลมและยัดเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตของเขา ไม่สนใจว่าผ้าปูเตียงนั่นจะสกปรกแค่ไหน

ตอนที่เขาเตรียมตัวเสร็จแล้ว หลี่ซางอิ๋นก็กลับไปยังทางเข้าโรงแรม เขามองจางจิงจิ่วที่อยู่ด้านในโรงแรมด้วยหางตา หลังจากปรับอารมณ์แล้ว เขาก็ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งพร้อมน้ำตา “คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม? ฉันทำของหาย”

เสียงของเขานั้นต่างไปจากก่อนหน้า ฟังคล้ายเสียงผู้หญิงมากขึ้น จางจิงจิ่วที่ยังเรียนการแสดงอยู่ เมื่อได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เขาก็รีบวางโทรศัพท์ลง

ผู้เข้าชมคนหนึ่งเหรอ? เขาคิดว่าในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขาจะได้ลงมือแล้ว เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปยังทางเข้า

เห็นจางจิงจิ่วติดกับ หลี่ซางอิ๋นก็ถอยกลับเข้าไปในตรอกระหว่างโรงแรมและตึกข้าง ๆ ทันที เขายืนลึกอยู่ในตรอกดังนั้นคนด้านนอกจึงมองเห็นแค่เงาของเขาเท่านั้น

“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” จางจิงจิ่วเห็นคนแอบอยู่ในตรอก เขาคิดว่าเป็นเพราะคนผู้นั้นก็คล้ายหวังตั้นที่ทำเหมือนทุกอย่างที่ตนเห็นที่บ้านผีสิงนั้นเป็นผี

“ฉันทำบางอย่างที่สำคัญมากหาย คุณช่วยฉันหาหน่อยได้ไหม?” มันก็ยังเป็นเสียงน่าสงสารของผู้หญิงที่พูดออกมา แต่ว่าสีหน้าของหลี่ซางอิ๋นในตอนนั้นกลับดูชั่วร้ายมาก หลังจากเขาเลิกเสแสร้ง นี่ก็คือสีหน้าจริง ๆ ของเขา

“แน่นอนครับ” ถึงแม้ว่าจางจิงจิ่วจะสงสัย เขาก็ยังคิดว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเพราะว่านี่ยังอยู่ในพื้นที่ของพวกเขา เขาเข้าไปในตรอกและสังเกตเห็นท้องที่นูนขึ้นมาของหลี่ซางอิ๋นเมื่อเข้าไปใกล้มากขึ้น

คนท้อง?

หน้าหนึ่งของคู่มือพนักงานวาบผ่านเข้ามาในใจของจางจิงจิ่ว เพราะคำนึงถึงความปลอดภัย คนท้องนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในบ้านผีสิง

ถ้าไม่ใช่ผู้เข้าชม ก็คงเป็นพนักงานเก่าที่นี่…

จางจิงจิ่วชะลอฝีเท้าลง เขารู้ดีว่า ‘สิ่งนั้น’ ที่รับบทบาทนักแสดงในบ้านผีสิงอันที่จริงคืออะไร

เมื่อเห็นผู้ชายคนนั้นเดินช้าลง ดวงตาของหลี่ซางอิ๋นก็หรี่ลง และเขาก็ยิ่งระแวดระวังมากขึ้น พวกเขาทั้งคู่ต่างสงสัยว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นผี และทั้งคู่ก็เริ่มแสดงท่าทางประหลาดเพราะเรื่องนั้น

“ฉันปวดท้องมาก คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม? ฉันทำของหายแถว ๆ นี้” หลี่ซางอิ๋นยังใช้เสียงปลอมพูดต่อ

“คุณทำอะไรหายเหรอครับ?” จางจิงจิ่วนั้นเกือบจะแน่ใจแล้วว่าเขากำลังรับมือกับพนักงานเก่า ดังนั้นความคิดที่ผู้เข้าชมแกล้งปลอมตัวมาหลอกเขานั้นจึงไม่เคยผ่านเข้ามาในใจเลย ถึงแม้ว่าเขาจะกลัว แต่เมื่อคิดถึงว่าเขายังต้องทำงานอยู่ในบ้านผีสิงอีกนาน เขาย่อมต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับรุ่นพี่ของตน ดังนั้นเขาจึงกดความกลัวเอาไว้ ไม่วิ่งหนีไป

ได้ยินคำตอบของจางจิงจิ่ว สีหน้าของหลี่ซางอิ๋นก็ทะมึนมากขึ้น เวลาที่คนทั่วไปพบเจอคนท้องพูดว่าปวดท้องและเธอกำลังมองหาบางอย่างอยู่ในบ้านผีสิง ไม่ใช่ว่าปฏิกริยาแรกของพวกเขาก็คือโทรเรียกรถพยาบาลหรือว่าติดต่อเจ้านายหรือยังไง?

แต่ว่าผู้ชายคนนี้กลับคิดจริงจังเหมือนอยากจะช่วยเขาหาของที่หายไปอย่างจริงใจ

“ฉันทำบางอย่างที่สำคัญหาย เขาอยู่กับฉันมาเก้าเดือน ฉันกำลังจะได้พบเขาแล้วในไม่ช้า แต่ว่าฉันบังเอิญทำเขาหายไป” หลี่ซางอิ๋น ‘คร่ำครวญ’ หนักกว่าเดิม

ได้ยินคำบรรยายที่มากพอให้จางจิงจิ่วขนลุกเกรียว เขางึมงำอยู่ในใจ งั้น ของสำคัญที่เธอทำหายก็คือลูกเธอแล้วไม่ใช่อะไรอื่น!

จางจิงจิ่วเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าและกดปุ่มบนวิทยุสื่อสารอย่างเงียบ ๆ แต่ว่าไม่มีใครตอบเลยว่าเขาควรจะทำอย่างไร ดังนั้นเขาจึงได้แต่พึ่งพาตัวเองแล้ว

ถ้าเธอไม่ใช่คนบ้าที่แอบเข้ามาในบ้านผีสิง อย่างนั้นเธอก็น่าจะเป็นพนักงานเก่าที่เจอปัญหาเข้า ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นคนใหม่ที่นี่ อย่างน้อยที่สุดฉันก็ผ่านอะไร ๆ มากับบอสเฉินตั้งมาก ดังนั้นฉันจะไม่ยอมให้พนักงานเก่าดูถูกเอาได้

เมื่อคิดกลับไปถึงประสบการณ์ในเมืองหลี่ว่านของเขา จางจิงจิ่วก็ตัดสินใจได้

ไม่ว่ามันจะน่ากลัวแค่ไหน ก็คงไม่น่ากลัวไปกว่าเมืองหลี่ว่านหรอกใช่ไหม?

เพราะคิดอย่างนี้อยู่ในใจ จางจิงจิ่วจึงเดินเข้าไปหา ‘คนท้อง’ และอาสาช่วยเหลือ “ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะช่วยคุณตามหาเขา”

การที่เขาเดินเข้าไปช่วยอย่างไม่ลังเลทำให้หลี่ซางอิ๋นเริ่มตระหนก สิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามที่คาด ผู้ชายคนนี้เป็นผีจริง ๆ ใช่ไหม?

ขณะที่จางจิงจิ่วเข้าไปใกล้เขามากขึ้น หลี่ซางอิ๋นก็รีบปรับอารมณ์ เขาพยายามที่จะพลิกสถานการณ์ให้เหนือกว่าอีกครั้งและจะได้ตักตวงข้อมูลที่มีประโยชน์จากจางจิงจิ่ว

“คุณทำหายแถว ๆ นี้ใช่ไหมครับ?” จางจิงจิ่วถาม แสงนั้นสลัว ในเมื่อเขาเชื่อว่าอีกฝ่ายคือผี เขาก็ไม่คิดจะเปิดไฟ แต่เขาสอดมือไว้ในกระเป๋า กำวิทยุสื่อสารเอาไว้ เพื่อให้สามารถเรียกบอสเฉินขอความช่วยเหลือได้เมื่อเกิดความจำเป็นขึ้น

“ใช่ ฉันฝันถึงเขาทุกคืน เขาบอกว่าเขาหนาวมาก เขาอยากจะขึ้นนอนบนเตียง แบ่งความอบอุ่นของผ้าห่ม…”

“เอาละ เอาละ คุณหยุดได้แล้ว” จางจิงจิ่วยักไหล่อย่างอับจน “ผมจะช่วยคุณหาเขา อย่างไรซะผมก็ไม่มีอะไรทำอยู่พอดี”

คำตอบของจางจิงจิ่วทำให้หลี่ซางอิ๋นอึ้งไปอีกครั้ง ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ถูกเรื่องสยองขวัญของเขาทำให้กลัวแต่ว่าสัญญาจะช่วยเขาแก้ปัญหา ผู้ชายคนนี้ไม่ปกติจริง ๆ!

หลี่ซางอิ๋นรู้สึกเหมือนตัวเองเจอเข้ากับความลับสุดท้ายของบ้านผีสิงของเฉินเกอ ที่นี่นั้นเป็นที่นิยมขนาดนี้ก็เพราะว่าไม่มีนักแสดงของเขาคนไหนเป็นคนจริง ๆ เลยสักคน!

ขณะที่จางจิงจิ่วเข้ามาใกล้มากขึ้น ทั้งร่างของหลี่ซางอิ๋นก็เกร็งเขม็งขึ้น เขาอยากจะยืนยันให้ได้มากกว่านี้ เขาเงยหน้าที่แต่งเอาไว้ขึ้น พวกเขาสบตากัน และจางจิงจิ่วก็ตัวสั่น แต่เขาก็ยังแน่วแน่ในความคิดก่อนหน้า สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นเป็นพนักงานเก่าของบ้านผีสิงนี่แน่นอน

“พี่สาวไม่ต้องห่วงนะครับ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรหาย ผมก็จะช่วยคุณหา ถ้าพวกเราหาเขาไม่เจอวันนี้ พวกเราก็หาต่อพรุ่งนี้ อย่างไรพวกเราก็มีเวลาตั้งมาก” จางจิงจิ่วบังคับให้ตัวเองสงบใจลง

ได้ยินอย่างนั้น ม่านตาหลี่ซางอิ๋นก็สั่นระริก เขาหมายถึงอะไรกัน? พวกเรามีเวลาตั้งมากมาย? หลังจากคุณได้ยินคนท้องเล่าเรื่องสยองขวัญ ก็ยังตอบว่าพวกเรามีเวลามากมาย? นี่เป็นเพราะว่าฉันถูกมองออกแล้ว หรือว่าเขาคิดจะทำร้ายฉัน? นั่นไม่น่าใช่– นี่เป็นแค่การเข้าชมบ้านผีสิงเท่านั้น

ระยะห่างระหว่างทั้งสองหดสั้นลง แสงไฟสลัว พวกเขาดูเหมือนจะมีจุดประสงค์ในการเข้าใกล้อีกฝ่าย ทั้งสองคนล้วนต้องการพิสูจน์บางอย่าง

“ไม่ต้องห่วง ผมมาช่วยคุณ” จางจิงจิ่วเดินเข้าไปที่ข้างตัวหลี่ซางอิ๋น เขามองใบหน้าของหลี่ซางอิ๋นเหมือนพยายามจดจำใบหน้าของคนผู้นี้เอาไว้เพื่อที่จะได้ไปร้องเรียน ‘เธอ’ กับบอสเฉินหลังเลิกงาน

หลี่ซางอิ๋นเองก็มองจางจิงจิ่วอย่างละเอียด นี่เป็นการพบเจอกับสิ่งเหนือธรรมชาติเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา และเขาก็ต้องการจดจำเอาไว้ว่าผีนั้นดูเป็นอย่างไร