ตอนที่ 1895 ระเบิดความโกรธเกรี้ยว

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ใบหน้าบนศีรษะ แม้ว่าจะยังคงมองสีหน้าโหดเหี้ยมของผีสวรรค์แต่เดิมออก แต่เมื่อลืมตาทั้งสองข้างขึ้นก็ยังมีแววตาตกตะลึงหลงเหลืออยู่

ราวกับว่าแม้ผีสวรรค์ตนนี้จะถูกสับหัวไปแล้ว ก็ยังไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็น ทำให้มันมีท่าทีไม่ยินยอม

“พี่หาน เผ่ามารที่หนีไปตนนั้น…” เซียนหยินกวงมองหัวผีสวรรค์แวบหนึ่ง ก็เอ่ยถามด้วยความตกตะลึง

“เซียนโปรดวางใจ คนผู้นี้และผีสวรรค์ที่เหลืออีกสามตนล้วนถูกข้าสังหารหมดแล้ว” มุมปากของหานลี่เผยรอยยิ้มออกมา สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีดำพุ่งออกมา ด้านในมีห่อหุ้มประตูสีเขียวขนาดสองสามชุ่นอยู่

นั่นก็คือประตูผีมารสวรรค์ที่เผ่ามารหัวโล้นสำแดงออกมาก่อนหน้า!

มังกรขนาดจิ๋วในประตูผีในยามนี้ เปล่งแสงมัวหม่น ดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

“เยี่ยมจริงๆ หากกำจัดมารตนนี้ไปได้ ร่องรอยของพวกเราก็จะไม่เปิดเผยออกมาอีก ครั้งนี้คาดไม่ถึงว่าจะกำจัดท่านมารของเผ่ามารได้สามตน ล้วนเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ที่น่าตกตะลึงของพี่หาน หากไม่ใช่แม่หญิงหลิงหลงเคยเอ่ยเรื่องพี่หานกับข้ามาก่อน ข้าก็ไม่กล้าเชื่อว่านายท่านฝึกฝนมาจนถึงทุกวันนี้จะใช้เวลาไปแค่สองพันกว่าปี” เซียนหยินกวงรู้สึกดีอกดีใจเป็นอย่างมาก พลางส่งเสียงจุ๊ๆ ชื่นชม

“ข้าน้อยก็แค่โชคดีเท่านั้น เคล็ดวิชาที่ฝึกฝนควบคุมเคล็ดวิชาส่วนใหญ่ของเผ่ามารได้พอดี หากสู้กับสหายร่วมวิถีคนอื่นๆ อิทธิฤทธิ์ก็ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าเท่าใดนัก กลับเป็นเซียนเรื่องที่เคยตอบรับข้าเอาไว้อย่าลืมล่ะ” หลังจากที่หานลี่เอ่ยอย่างถ่อมตนแล้ว ฉับพลันนั้นก็เอ่ยอย่างมีเลศนัย

“เรื่องนี้พี่หานโปรดวางใจ ในเมื่อข้าตอบรับสหายแล้ว แน่นอนว่าย่อมมั่นใจ ข้าและหลิงหลงมีต้นกำเนิดมาจากเผ่าเดียวกัน การช่วยสหายส่งข่าวย่อมไม่ใช่เรื่องยากอันใด แต่แค่ยามนี้หลิงหลงอยู่ข้างกายของท่านอาวุโสเสี้ยวเอ๋า ยามนี้จึงไม่อาจติดต่อมาได้” เซียนหยินกวงหัวเราะน้อยๆ ขณะเอ่ย

“เช่นนั้นผู้แซ่หานก็ขอบคุณมา จากนี้หากสหายหยินกวงมีเรื่องอันใดอยากให้ผู้แซ่หานออกแรง ข้าน้อยจะพยายามอย่างเต็มที่” หานลี่ตอบกลับพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา

“นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น พี่หานไม่จำเป็นต้องเกรงใจเพียงนั้น!” เซียนหยินกวงได้ยินคำพูดของหานลี่ แววตาพลันเปล่งประกาย แล้วตอบกลับด้วยความยินดี

อิทธิฤทธิ์ของหานลี่เหนือกว่าที่นางคิดเอาไว้ เทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายแล้วก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีอิทธิฤทธิ์มากมายนี้โปรดปรานได้ ย่อมมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนในอนาคตเป็นอย่างมาก

หลังจากที่ทั้งสองปรึกษากันอีกครั้ง ทันใดนั้นก็แยกกันกำจัดร่องรอยการต่อสู้ในบริเวณรอบ จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีอีกครั้ง จากนั้นก็พุ่งไปที่เมืองอี่เทียนต่อ

หานลี่หดสองมือเข้าไปในแขนเสื้อแล้วกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวอ่อน บินไปกลางอากาศอย่างไม่เชื่องช้าและไม่รีบร้อน ดูเหมือนว่าฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติหลังจากการต่อสู้เมื่อครู่แล้ว แต่ในแขนเสื้อของเขา นิ้วทั้งห้ากลับลูบไปที่กล่องไม้สีขาวนวลใบหนึ่งเบาๆ

ส่วนลึกในแววตาของเขาฉายแววครุ่นคิดออกมาเป็นบางครั้ง

กล่องไม้ใบนี้คือก็สินสงครามที่เขาใช้ใบมีดชำรุดสวรรค์ทมิฬไปอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งได้มาจากร่างของเผ่ามารหัวโล้น

ตอนแรกเขายังไม่ทันสนใจสิ่งนี้ แต่หลังจากที่พบว่าไม่ว่าจิตสัมผัสหรือว่าเนตรวิญญาณก็ไม่อาจแทรกเข้าไปในกล่องได้ ในใจย่อมเกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา

แต่เห็นได้ชัดว่าในกล่องไม้ถูกลงอาคมร้ายกาจเอาไว้ จากอิทธิฤทธิ์และระดับความรู้ด้านเขตอาคมของเขาย่อมไม่อาจทำลายได้ง่ายๆ หลังจากที่หานลี่เก็บสิ่งนี้เข้าไปแล้วก็รีบกลับมาอย่างรีบร้อน

ยามนี้นิ้วพลันลูบไปบนผิวของกล่อง สัมผัสได้ถึงไอร้อนจางๆ ที่ส่งออกมาจากกล่อง

แต่หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา อุณหภูมิของกล่องไม้ก็ลดลง คาดไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบเผยความลึกลับออกมา

หานลี่รู้สึกตกตะลึง แน่นอนว่ายิ่งอยากรู้ว่าของในกล่องไม้คืออะไร

ทว่ายามนี้ยังต้องเร่งเดินทางย่อมไม่ใช่เวลาที่จะมาศึกษาอาคมบนกล่อง จึงทำได้เพียงรอให้ถึงสำนักอี่เทียนก่อนแล้วค่อยว่ากัน

หานลี่ขบคิดในใจเช่นนั้นนิ้วทั้งห้าก็มีไข่มุกโลหิตดีดออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปกลายเป็นอักขระยันต์สีโลหิตจมหายเข้าไปในกล่องไม้

เพื่อความระมัดระวังเขาใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามของชนต่างเผ่าที่ร่ำเรียนมา ร่ายอาคมใส่กล่องไม้อีกชั้น

จากนั้นแขนเสื้อพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ กล่องไม้สีขาวหายวับไปแล้วถูกดูดเข้าไปในกำไลเก็บของ จากนั้นหานลี่ก็ควบคุมลำแสงหลีกหนีเต็มกำลัง

จากพลังยุทธ์ของเขาและหยินกวงในยามนี้ชั่วครู่ก็บินออกมาได้ล้านลี้ สุดท้ายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

แทบจะในเวลาเดียวกันในเมืองมารที่สร้างขึ้นใหม่ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่รู้กี่หมื่นลี้ ในตำหนักของหอคอยสามเหลี่ยมสูงประมาณสองสามพันจั้ง พลันมีเสียงร้องคำรามดังขึ้นจากนั้นเสียงพูดที่เย็นชาจนเข้ากระดูกก็ดังขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว!

“เกิดอันใดขึ้น! ท่านจอมมารสามตนออกไปส่งของคาดไม่ถึงว่าจะเกิดอุบัติเหตุ พวกเขาสามคนมันไร้ประโยชน์ หรือว่าอยากถูกทิ้งไว้ในบ่อแปลงมาร!”

ผู้พูดคือชายหนุ่มหน้าตาหมดจดสวมชุดคลุมสีโลหิตนั่งอยู่ตรงใจกลางของตำหนัก ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว นั้นก็คือร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงที่ลงมาจุติในแดนนี้

แม้ว่าร่างแยกนี้จะมีพลังยุทธ์แค่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย แต่ภายใต้ความโกรธเกรี้ยวแผ่นหลังพลันมีเงามารยักษ์สูงสิบจั้งเศษปรากฏขึ้น

เงามารนี้มีเรือนกายสีแดงโลหิตหัวมีเขาประหลาดสิบกว่าเขา ในเวลาเดียวกันเรือนร่างก็มีหนวดหนาๆ ปรากฏขึ้นสองสามเส้นโบกสะบัดไปมาไม่หยุด ราวกับปลาหมึกยักษ์ตัวหนึ่ง

และบนเรือนร่างของเงามารตนนี้ก็แผ่กลิ่นอายน่ากลัวราวกับของจริงออกมา บีบอัดกำแพงตำหนักทั้งสี่ด้านจนจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ

ภายใต้กลิ่นอายกลุ่มนี้ผู้คุมกันเกราะสีดำกลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่ในตำหนักทยอยกันหน้าเปลี่ยนสีพลางคุกเข่าลงก้มหน้าไม่กล้ามองบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงเลยสักนิด

มีเพียงเผ่ามารระดับสูงสองตนที่อยู่ไม่ไกลจากบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงที่ยังคงยืนอยู่ได้ แต่เห็นท่าทางเช่นนี้ของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ ก็อดที่จะมองสบตากันไม่ได้

“ใต้เท้าเซวี่ยกวง ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ถึงทำให้ท่านโกรธเช่นนี้?” บุรุษสวมชุดผ้าไหมสีเงินคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นด้วยความตกตะลึง

“ข้าให้ลูกน้องสามคนนำของสำคัญไปทำธุระ ผลคือของที่ข้าผนึกจิตสัมผัสส่วนหนึ่งเอาไว้ถูกคนใช้เคล็ดวิชาลับปิดกั้นไป ดูแล้วเจ้าสามคนนี้คงเกิดเรื่องเป็นแน่มิเช่นนั้นคงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้” ใบหน้าของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงสลายความโกรธออกอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม

“คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องนี้ด้วย! ตามหลักการแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้กระมัง ท่านจอมมารสามตนออกเดินทางพร้อมกันแม้ว่าจะเผชิญหน้ากับมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายก็เพียงพอที่จะเอาตัวรอดได้ส่วนมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานนั้นก็ถูกใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์สองสามท่านร่วมมือกันทำร้ายยามที่แอบเข้ามาในแดนศักดิ์สิทธิ์เมื่อพันปีก่อน น่าจะไม่ออกมายามนี้” หญิงงามสวมชุดสีชมพู ดวงตาทั้งสองข้างดุจสายธารอีกคนหนึ่งถามด้วยความฉงน

“ทั้งสามคนเพลี่ยงพล้ำพร้อมกันช่างน่าเหลือเชื่อนัก แต่หากถูกคนรู้ข่าวคราวก่อนจึงมาชิงสมบัติไปก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้และเมื่อครู่ที่บรรพชนใช้เคล็ดวิชาลับลองติดต่อพวกเขาก็ไม่มีการตอบกลับใดๆ ใครก็ได้ไปตรวจสอบมาสิว่าเพลิงวิญญาณของท่านจอมมารในตำหนักวิญญาณเทวะมอดดับไปแล้วหรือไม่” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงพยักหน้าด้วยสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส ฉับพลันนั้นก็ออกคำสั่งเสียงดัง

“ขอรับใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์!” ผู้พิทักษ์ชุดเกราะสีดำคนหนึ่งตอบรับอย่างนอบน้อมจากนั้นก็ถอยออกไปจากตำหนักอย่างเงียบเชียบ

บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เห็นเช่นนี้ก็พิงแผ่นหลังกับเก้าอี้ ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลงไม่พูดอันใดอีก

บุรุษและสตรีเผ่ามารที่อยู่ข้างกายย่อมรู้ว่าใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้อารมณ์ไม่ดีจึงมิกล้าเอ่ยปากอันใดออกมา

ยามนั้นทั้งตำหนักตกอยู่ในความเงียบสงัด!

หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชาเงาร่างผู้พิทักษ์ชุดเกราะสีดำก็ปรากฏขึ้นที่ประตูตำหนักอีกครั้งแล้วเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน

“รายงานท่านบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ เพลิงวิญญาณของใต้เท้าจอมมารทั้งสามในตำหนักวิญญาณเทวะมอดดับไปตามลำดับ!” ผู้พิทักษ์เผ่ามารคุกเข่าลงกับพื้นข้างหนึ่งแล้วตอบกลับด้วยความหวาดกลัว

“สามตน?” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงหรี่ตากลมโตที่เปล่งประกายลง

ในเวลาเดียวกันเสียง “ฟึ่บ” ดังขึ้นฝ่ามือหนึ่งตะปบไปที่ที่พักแขนจนแหลกละเอียด

“ขอรับใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ จากการตรวจสอบของใต้เท้าที่รับหน้าที่ดูแลตำหนักวิญญาณ เพลิงวิญญาณที่มอดดับไปเป็นของท่านจอมมารหลันและพวกทั้งสามที่ออกเดินทางไปเมื่อสองสามวันก่อน!” ผู้พิทักษ์ตอบกลับอย่างระมัดระวัง

เมื่อบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าเขียวคล้ำ

บุรุษชุดผ้าไหมสีเงินและหญิงงามวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้ ในใจพลันรู้สึกตกตะลึงเช่นกัน

ทว่าทั้งสองย่อมมองออกว่าใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงผู้นี้มิได้โกรธที่ท่านจอมมารสามตนเพลี่ยงพล้ำแต่โกรธที่พวกเขาทำของหายไปเสียมากกว่า

นี่จึงทำให้ท่านจอมมารระดับสูงสองตนคาดเดาว่าของสิ่งนั้นคืออันใดไปต่างๆ นานา

“เจ้าสองคนพากองทัพผู้พิทักษ์ผลึกลำแสงโลหิตลำแสงออกเดินทางไปยังจุดที่ทั้งสามเพลี่ยงพล้ำแม้ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานก็ไม่อาจไม่ทิ้งร่องเอาไว้ได้พวกเจ้าไปตรวจสอบให้ละเอียดทุกกระเบียดนิ้วจะต้องหามาให้ได้ว่าผู้ใดเป็นผู้ลงมือ รวมทั้งเบาะแสของมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้น เจ้าสองคนตั้งใจทำแค่เรื่องนี้ก็พอหากมีข่าวก็รายงานข้าทันที!” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงครุ่นคิดชั่วครู่ในที่สุดก็ตัดสินใจและออกคำสั่ง

“ขอรับใต้เท้าเซวี่ยกวง!” บุรุษและสตรีเผ่ามารระดับสูงผู้นี้ค้อมตัวลงรับคำสั่งอย่างมีมารยาท

ครึ่งชั่วยามต่อมาเมฆโลหิตก็หมุนวนบินออกมาจากหอคอยยักษ์ ด้านในมองเห็นเผ่ามารหน้าตาโหดเหี้ยมสวมชุดเกราะโลหิตอยู่รางๆ มีประมาณร้อยกว่าคน ยามนี้พลันบินหายออกจากเมืองมารไปอย่างไร้ร่องรอย

หนึ่งเดือนต่อมาใกล้ๆ กับเมืองเผ่ามนุษย์ที่สร้างอยู่ติดกับทะเลสาบลำแสงหลีกหนีสองสายพุ่งออกมาที่ขอบฟ้าหลังจากกะพริบวาบก็ร่อนลงบนภูเขานิรนามลูกหนึ่ง

เงาร่างคนสองสายคนหนึ่งมีชุดสีเงินพลิ้วไหว คนหนึ่งสวมชุดคลุมสีเขียวนั่นก็คือหานลี่และเซียนหยินกวงผู้ที่บินมาล้านลี้อย่างไม่ยอมหยุดพักในที่สุดก็มาถึงเมืองอี่เทียน

แต่ยามนี้สายตาที่ทั้งสองมองเมืองอี่เทียนกลับเคร่งขรึมมีสีหน้าเคร่งเครียด!

เห็นเพียงกลางอากาศที่กว้างฝั่งหนึ่งของกำแพงเมืองอี่เทียนที่อยู่ไกลออกไปมีสำเภายักษ์สีดำลอยอยู่นับไม่ถ้วนและระหว่างสำเภายักษ์เหล่านั้นก็มีเผ่ามารขี่อสูรมารตัวน้อยใหญ่ปรากฏอยู่เต็มไปหมด

อสูรมารเหล่านั้นทยอยกันเหยียบลงไปบนเมฆสีดำสวมชุดเกราะอสูรเห็นได้ชัดว่าเหนือกว่าอสูรมารธรรมดาๆ!