ตอนที่ 192 พวกเจ้าสองคนมีสมองหมูหรือยังไง

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

เยี่ยเม่ยเพิ่งเดินมาถึงประตู ก็เห็นอวี้เหว่ยยืนอยู่หน้าประตูห้อง

 

 

นางเอ่ยถามว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนล่ะ”

 

 

อวี้เหว่ยเห็นเยี่ยเม่ยมีสีหน้าเย็นเยียบ กังวลและร้อนรน ก็ได้แต่เกาท้ายทอยของตน “อยู่ด้านใน กำลังโคจรพลังพักฟื้นอยู่”

 

 

 “ซือหม่าหรุ่ยบอกว่า พรุ่งนี้เขาถึงโคจรพลังได้ไม่ใช่เหรอ” เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้วทันที

 

 

โคจรพลังในตอนนี้ จะไม่เป็นปัญหาจริงๆ ใช่ไหม

 

 

เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ออกไป ความตื่นเต้นบนใบหน้าอวี้เหว่ยยิ่งเห็นได้ชัดเจนขึ้น “ถูกแล้ว ดังนั้นข้าถึงตื่นเต้นมาก  แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ฝืนเข้าไปรบกวนเตี้ยนเซี่ย เขาจะธาตุไฟเข้าแทรกได้”

 

 

ดังนั้นจึงได้แต่คอยอยู่ด้านนอก

 

 

เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึก ได้แต่รออยู่ด้านนอก จิตใจกระสับกระส่าย ทว่าที่มีมากกว่าก็คือความกังวลใจ

 

 

   ……

 

 

ห้องทรงพระอักษร ณ วังหลวง

 

 

เป่ยเฉินเสียงคุกเข่าอยู่กลางบัลลังก์ ก้มหน้าคารวะ ทว่าสายตาเปล่งไอสังหาร

 

 

จงซาน จงรั่วปิง

 

 

เขาไม่ปล่อยสองคนนี้ไปแน่

 

 

ฮ่องเต้ทรงสูดลมหายใจลึก โยนฎีกาบนโต๊ะใส่เป่ยเฉินเสียงอีกครั้ง “เจ้าดูเอง คนพวกนี้พูดถึงเจ้าว่าอย่างไรบ้าง การกระทำของเจ้าช่วงนี้ทำให้ข้าผิดหวังนัก” 

 

 

เป่ยเฉินเสียงเก็บฎีกาบนพื้นขึ้นมา อ่านดูรอบหนึ่ง

 

 

เนื้อหาภายในทำให้เขาหน้าเขียวคล้ำขึ้นมาทันที เขาเอ่ยปากโต้แย้งว่า“เสด็จพ่อ นี่คือการใส่ร้าย”

 

 

 “เจ้าคือบุตรชายของข้า ข้าเข้าใจเจ้าดี ข้าแค่อ่อนแอหาใช่โง่งม เป่ยเฉินเสียง เจ้าลองพูดอีกครั้งสิว่า เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นการใส่ร้ายเจ้าอย่างนั้นหรือ” ฮ่องเต้กลับตรัสอย่างตรงไปตรงมา ยอมรับว่าพระองค์อ่อนแอ

 

 

แต่ความอ่อนแอของพระองค์มีต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเท่านั้น ก็เพราะความสามารถเทียบมิได้ กอปรกับเสิ่นเซ่อเทียนเข้าข้างเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทว่ามิได้หมายความว่าพระองค์เป็นฮ่องเต้ที่โง่งม มิเช่นนั้นพระองค์คงไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งราชาได้

 

 

เป่ยเฉินเสียงได้ฟัง สีหน้าตื่นตระหนกมากขึ้น ไม่กล้าโต้แย้งอีก เอ่ยปากว่า “เสด็จพ่อ ลูกสำนึกผิดแล้ว ลูก…”

 

 

 “สำนึกผิดหรือ” ฮ่องเต้สีพระพักตร์ขาวซีด ชี้ไปที่เป่ยเฉินเสียงอย่างดุดัน ตรัสว่า “เจ้าไม่ใส่ใจความปลอดภัยของบ้านเมือง เพื่อต่อกรกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ย เล่นลูกไม้กับข้าวสาร ทั้งยังแอบเคลื่อนกำลังทัพลอบสังหารผู้นำทัพของข้า เป่ยเฉินเสียง สมองเจ้ามีแต่บัลลังก์ที่ข้านั่งอยู่นี้ใช่หรือไม่ ลืมเลือนคุณธรรมไปหมดแล้วอย่างนั้นหรือ”

 

 

 “ลูก…” เป่ยเฉินเสียงเริ่มลนลาน ยามนี้เขาก้มหน้า โขกศีรษะให้กับฮ่องเต้ “เสด็จพ่ออย่าได้ทรงกริ้ว ลูกแค่เลอะเลือนไปชั่วขณะ”

 

 

 “เลอะเลือนชั่วขณะ” ฮ่องเต้สรวลเสียงเย็น ตรัสแรงๆ ว่า “โง่งมเกินใคร ไร้สมองสิ้นดี ไร้ความสามารถ ทว่าใจกลับโหดเ**้ยมกว่าผู้ใด”

 

 

คำพูดนี้จู่โจมคนอย่างหนักหน่วง

 

 

จากนั้น เป่ยเฉินเสียงไม่กล้าโต้แย้งคำพูดของฮ่องเต้ เส้นเอ็นเต้นตุบๆ อยู่ที่ขมับ เขาอดกลั้นไม่ส่งเสียง มีท่าทางเชื่อฟัง เอ่ยทั้งน้ำตาว่า  “เสด็จพ่อ ลูกรับรองว่าจะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว”

 

 

 

 

โทสะของฮ่องเต้ลดไปกว่าครึ่ง จ้องมองคนตรงกลางห้อง ตรัสเสียงเย็นเยียบ “เทียบกับองค์ชายรองและองค์ชายสาม เจ้าฉลาดกว่าพวกเขามากแล้ว เจ้าเป็นบุตรชายคนเดียวที่เป็นความหวังของข้า ข้าเฝ้ารอเจ้าแค่ไหน คนทั่วหล้าต่างรับรู้ ตัวเจ้าเองก็รู้ ข้าขอให้เจ้าอย่าได้ก่อเรื่องก่อราว ทำเรื่องโง่เขลาที่ชวนให้ข้าผิดหวัง”

 

 

ฮ่องเต้เองก็มิเข้าใจ คนทั้งหล้าต่างรู้ว่าพระองค์มีความต้องการมอบตำแหน่งให้เป่ยเฉินเสียงสืบทอด เป่ยเฉินเสียงเองก็ไม่น่าดูไม่ออก

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ช่วยพระองค์จัดการการเมืองอย่างสงบเสงี่ยมไปก็ใช้ได้แล้ว เพราะอะไรถึงต้องไปก่อเรื่องข้างนอก ทำเรื่องพวกนี้ขึ้นมาอีก

 

 

 “พ่ะย่ะค่ะ” เป่ยเฉินเสียงรีบรับคำ เห็นว่าฮ่องเต้คลายโทสะลงบ้างแล้ว เขาถึงได้ปลุกปลอบขวัญเอ่ยว่า “แต่เสด็จพ่อ ท่านก็รู้ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นภัยคุกคาม”

 

 

คำพูดนี้กลับทำให้ฮ่องเต้สรวลออกด้วยความโกรธ จ้องเป่ยเฉินเสียง “อย่างนั้นเจ้าลองบอกมาว่าเขาเป็ยภัยคุกคาม ไม่ผิดที่ข้าก็เห็นเขาขัดตา ข้าเห็นท่าทางไม่สนใจอะไรของเขาก็คิดจะสับเขาแล้ว แต่เขาคุกคามเจ้าอย่างไรกัน เขาสนใจบัลลังก์ฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ”

 

 

เป่ยเฉินเสียงในยามนี้สงบนิ่งไป ก็ถูก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่สนใจตำแหน่งฮ่องเต้เลย

 

 

ครั้นฮ่องเต้เห็นเป่ยเฉินเสียงไม่โต้ตอบ ก็ตรัสถามต่อว่า “เขาเห็นเจ้าเป็นศัตรูหรือไม่ เขาเห็นเจ้าในสายตาหรือเปล่า หากเจ้าไม่ไปยั่วโมโหเขา เขาก็คร้านจะใส่ใจเจ้าด้วยซ้ำไป”

 

 

คำพูดนี้ทำให้เป่ยเฉินเสียงมีหน้าโศกสลด

 

 

ทว่าตามความเป็นจริง เขาถึงยิ่งเกลียดชังเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เพราะเหตุผลนี้ เขาเป่ยเฉินเสียงเป็นบุตรชายคนโต เป็นองค์ชายใหญ่ที่ฮองเฮาให้กำเนิด เป็นลูกหลายของราชวงศ์ เป็นผู้ปกครองใต้หล้าอย่างแท้จริง

 

 

ทั้งเป็นผู้สืบทอดที่ภายในกำหนดไว้ แต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับไม่เห็นเขาอยู่ในสาย การลบหลู่เช่นนี้ทำให้ เป่ยเฉินเสียงรู้สึกแผ่นหลังมีหนามทิ่มแทง ด้วยเหตุนี้จึงไม่พอใจในตัวเป่ยเฉินเสียเยี่ยน

 

 

เห็นสีหน้าอึมครึมของเป่ยเฉินเสียง ฮ่องเต้ยิ่งบันดาลโทสะ “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ฮองเฮากับเจ้า พวกเจ้าสองแม่ลูกมีความแค้นล้ำลึกอะไรกับเขากันแน่ ถึงต้องหาเรื่องเขาให้ได้ หาเรื่องให้คนไม่พอใจครั้งแล้วครั้งเล่า หรือทำเช่นนี้ในใจพวกเจ้าพอใจ”

 

 

คราวนี้ เป่ยเฉินเสียงเริ่มลนลานขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

หรือความหมายเสด็จพ่อคือ พระองค์ทรงเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว

 

 

เขารีบเอ่ยทันที “เสด็จพ่อ ท่านอย่าลืม ปีนั้นราชครูกล่าวไว้ว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะกลายเป็นคนบาปล้มล้างราชสำนักเป่ยเฉินของเรา นี่คือสาเหตุหลักที่ลูกต่อกรกับเขา”

 

 

คำทำนายทายทักทั้งหลาย เป่ยเฉินเสียงไม่เคยเชื่อ แต่เขารู้ว่าเสด็จพ่อเชื่อถือมาก ดังนั้นเขาจึงรีบยกเรื่องนี้ขึ้นมา

 

 

ฮ่องเต้แค่นหัวเสียงเย็น “ข้าย่อมไม่ลืมแน่ หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ผู้สืบทอดที่อยู่ในใจของข้าจะตกอยู่ที่ตัวโง่งมอย่างเจ้าอย่างนั้นหรือ ถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะไม่เห็นใครในสายตามากแค่ไหน แต่หากยกบัลลังก์ให้กับเขา อาศัยความสามารถของเขา ใครก็ไม่อาจแตะต้องราสำนักเป่ยเฉินได้ แต่คำทำนาย…ดังนั้นหากมีโอกาส ข้าก็ได้แต่สังหารเขา”

 

 

เมื่อฮ่องเต้ตรัสถึงตรงนี้ เป่ยเฉินเสียงแอบกำหมัดแน่น

 

 

ที่แท้ผู้สืบทอดที่เหมาะสมในใจของเสด็จพ่อคหาใช่ตนเอง สำหรับเป่ยเฉินเสียงที่เย่อหยิ่งยโสแล้ว นับเป็นการจู่โจมอย่างหนักหน่วง ทั้งตอกย้ำให้เขามีความคิดสังหาร เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างรุนแรงขึ้น

 

 

เสี้ยวนาทีถัดมา

 

 

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเป่ยเฉินเสียง “เสด็จแม่ของเจ้าถึงกับเอ่ยให้เจ้าแต่งงานกับเยี่ยเม่ย ทั้งยังยกซือถูเฉียงให้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ข้าปฏิเสธไปแล้ว พวกเจ้าคงไม่ทำเรื่องโง่เขลาอะไรลับหลังข้าอีกกระมัง”

 

 

เมื่อฮ่องเต้ตรัสถึงตรงนี้ เป่ยเฉินเสียงเผยสีหน้าประหม่าออกมา “เสด็จแม่ เสด็จแม่ถ่ายทอดพระราชเสาวนีย์ไปที่ชายแดนแล้ว ตามหลักวันนี้สมควรไปถึงพอดี”

 

 

เมื่อเขาตอบออกมา ฮ่องเต้เบิกพระเนตรกว้างอย่างไม่เชื่อ

 

 

ถัดมาสีพักตร์เขียวคล้ำ บันดาลโทสะถึงขั้นโยนฎีกากองโตบนโต๊ะใส่เป่ยเฉินเสียงทั้งหมด

 

 

 “โมโหจะตายแล้ว” ฮ่องเต้กัดฟันแน่น ทรงแผดเสียงดังด้วยโทสะ “เจ้าสองแม่คนแม่ลูกมีสมองหมูเหรอไง”