ตอนที่ 193 อยากใช้หัวใจอันอ่อนโยนปรนนิบัติท่าน

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

“อี๋…” 

 

 

หัวหน้าขันทีอยากหัวเราะ 

 

 

ทว่าภายใต้สายพระเนตรราวกับจะสังหารคนของฮ่องเต้ หัวหน้าขันทีรีบคุกเข่าลงดัง ‘ตุบ’ เอ่ยด้วยเสียงดัง “ฝ่าบาท บ่าวแค่ผายลมเท่านั้น บ่าวสำนึกผิดแล้ว” 

 

 

 “หึ” 

 

 

ฮ่องเต้ถอนพระเนตรกลับ ถลึงตาใส่เป่ยเฉินเสียง  

 

 

สีหน้าของเป่ยเฉินเสียงเดี๋ยวขาวซีดเดี๋ยวเขียวคล้ำ ในสายตาเขา เรื่องนี้ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่งเท่านั้น เสด็จพ่อต้องทำให้ร้ายแรงถึงขนาดนี้เชียวเหรอ 

 

 

 “เสด็จพ่อ เรื่องนี้ ลูกคิดว่า…” เป่ยเฉินเสียงเตรียมจะแก้ต่าง 

 

 

ฮ่องเต้ยิ่งบันดาลโทสะ กัดฟันแน่น ตรัสว่า “เจ้าคิดว่าอะไร เยี่ยเม่ยในยามนี้เป็นสตรีของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้าคิดแย่งชิงกับเขา ด้วยนิสัยของเขายังจะทำเรื่องอะไรออกมาได้ เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ ว่าจะพลอยทำให้คนตกตายไปอีกเท่าไหร่ ถึงกระทั่งเขามุ่งตรงกลับมาฆ่าเจ้าที่เมืองหลวงเลยด้วยซ้ำ เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่” 

 

 

 “ลูก…” เป่ยเฉินเสียงสีหน้าซีดเผือดลงทันที 

 

 

เขาคิดแต่ว่า เมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้รับข่าวนี้แล้ว บางทีอาจจะโมโหจนก่อกบฏ หากเป็นเช่นนี้ก็ตรงกับใจเขาพอดี เสิ่นเซ่อเทียนย่อมไม่อาจนั่งเฉยๆ ดูเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก่อกบฏ เมื่อถึงเวลาสองคนนั้นต่อสู้กัน ตัวเขาเองก็นั่งชมพยัคฆ์สองตัวห้ำหั่น คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อยู่ข้างๆ  

 

 

ทว่าเขาลืมคิดไปว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะจัดการตัวเขาก่อน 

 

 

เมื่อฮ่องเต้ตรัสถามจบ ก็ยิ่งทวีความเดือดดาล จ้องเป่ยเฉินเสียงเขม็ง “ครั้งก่อนที่ชายแดน ดีที่เซี่ยโหวเฉินส่งข่าว เป่ยเจี้ยนเกอถึงไปช่วยเจ้าได้ทันท่วงที จากการคบหาของเสิ่นเซ่อเทียนและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนช่วยเจ้าได้ครั้งหนึ่ง เจ้าหลงคิดว่าจะช่วยเจ้าได้ตลอดไปหรืออย่างไร”  

 

 

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เป่ยเฉินเสียงก็เข้าใจชัดเจนว่าตัวเองวู่วามเกินไปจริงๆ 

 

 

ส่วนฮ่องเต้รีบตรัสต่อว่า “ยังมีอีกเรื่อง ซือถูเฉียงเป็นเช่นนั้นแล้ว เจ้ายังไม่รู้อีกหรือไงว่านางขาขาดแล้ว จะให้สตรีพิการแต่งงานกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน พวกเจ้าคิดดูหมิ่นเขา หรือคิดดูหมิ่นราชวงศ์ไปด้วย” 

 

 

 “นี่…” 

 

 

เป่ยเฉินเสียงยิ่งพูดไม่ออก 

 

 

ก็ถูก ซือถูเฉียงแต่งเป็นพระชายาให้กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่รู้ว่าคนทั่วหล้าจะวิจารณ์กันไปอย่างไร บอกว่าองค์ชายแห่งราชวงศ์แต่งงานกับสตรีพิการ ถึงอย่างไรเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เป็นองค์ชายที่เกิดจากฮองเฮา  

 

 

ยากเลี่ยงคำครหาจากผู้คน ราชวงศ์หาสตรีที่ดีแต่งงานไม่ได้ หรือว่าราชวงศ์ถูกตระกูลซือถูควบคุมแล้ว ดังนั้นจำเป็นต้องแต่งงานกับสตรีเช่นนี้ 

 

 

นี่ไม่เท่ากับเป็นการดูหมิ่นราชวงศ์หรืออย่างไร 

 

 

 “ทั้งเจ้ากับเสด็จของแม่เจ้า ต้องทำให้ข้าโมโหจนตายก่อนแล้วถึงจะพอใจใช่หรือไม่” ฮ่องเต้โมโหเสียจนนั่งไม่ติด ทรงตวาดเสียงกร้าว “พระสนมหนิงตั้งครรภ์พอดี หากคลอดองค์ชายออกมา ข้าจะส่งเขาให้เสิ่นเซ่อเทียนอบรม คงคุ้มค่ามากกว่ารอคอยเจ้าผู้โง่เขลามากนัก” 

 

 

 “เสด็จพ่อ ลูกสำนึกผิดแล้ว เสด็จพ่อ ลูกสำนึกแล้ว” เป่ยเฉินเสียงกลัวขึ้นมาจริงๆ  

 

 

ที่เขากล้ากำเริบเสิบสานขนาดนี้ หากมิใช่เพราะรู้ว่าเสด็จพ่อดูแคลนองค์ชายรองและองค์ชายสามที่พวกเขาสองคนคุณสมบัติอ่อนด้อย และเป็นเพราะคำทำนายที่มีต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทำให้เสด็จพ่อไม่ชอบเขา 

 

 

แต่ว่า 

 

 

เสด็จพ่อยังมีพระวรกายแข็งแรง หากมีองค์ชายกำเนิดขึ้นมาอีก แบกรับความหวังจากเสด็จพ่อ แล้วยังได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากเสิ่นเซ่อเทียนด้วย ภายหน้าจะเปลี่ยนไปเช่นไร ก็สุดจะรู้ได้ 

 

 

 “หึ” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรท่าทางของเขา ทรงมองออกว่าเป่ยเฉินเสียงหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ ทั้งสำนึกผิดจากใจ ตรัสเสียงเย็นชา “รู้ว่าผิดก็ดี อย่าได้มีความคิดชั่วร้ายอะไรอีก เจ้าฟังให้ดี หากเด็กในท้องพระสนมหนิงเป็นอะไรขึ้นมา บัญชีนี้ข้าจะคิดที่เจ้าและเสด็จแม่ของเจ้า” 

 

 

ฮ่องเต้เอ่ยจบ ก็ตำหนิเสียงดัง “ไสหัวออกไป ไปเก็บตัวสำนึกผิดกับเสด็จแม่เจ้าซะ คิดให้ดี คิดได้แล้วค่อยมาบอกข้า ภายหน้าพวกเจ้าจะทำให้ข้าโมโหเจียนตายอีกหรือจะเลิกก่อเรื่องเสียที” 

 

 

 “เสด็จพ่อ…” เป่ยเฉินเสียงยังคิดแก้ต่าง 

 

 

ฮ่องเต้ทรงพิโรธ กัดฟันแน่ตรัสว่า “ไสหัวไป ก่อนที่ข้าจะเรียกคนเอาตัวเจ้าไปขังที่จงเหรินฝู[1]” 

 

 

เป่ยเฉินเสียงไม่กล้าส่งเสียงอีก 

 

 

เรื่องที่เขาวางแผนการสับเปลี่ยนข้าวสาร รวมถึงเคลื่อนย้ายกำลังพลโดยพลการไล่สังหารเยี่ยเม่ย หากถูกส่งตัวไปที่จงเหรินฝูก็มีโทษหนักฐานทรยศบ้านเมือง ต่อให้เป็นองค์ชายก็ยากจะหนีโทษตายด้วยสุราพิษได้ 

 

 

เป่ยเฉินเสียงรีบตอบว่า “เสด็จพ่อทรงระงับโทสะด้วย ลูกจะรีบไปเดี๋ยวนี้ ลูกจะสำนึกตัวให้ดี ไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวังอีกแล้ว” 

 

 

พูดจบ เขาก็ล่าถอยจากไป 

 

 

หัวหน้าขันทีมองเงาหลังเป่ยเฉินเสียง แอบถอนใจยาว ช่างรนหายที่ตายโดยแท้ 

 

 

รอจนเป่ยเฉินเสียงจากไปแล้ว 

 

 

ฮ่องเต้ทรงถอนพระทัยยาว มองหัวหน้าขันที พระองค์ดูคล้ายแก่ชราลงไปมาก “ข้าเสียใจจริงๆ หากรู้แต่แรกว่าจะมีวันนี้ ปีนั้นข้าไม่สมควรเชื่อคำทำนาย ทำเช่นนั้นกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สุดท้ายบีบคั้นจนข้า รวมถึงราชสำนักเป่ยเฉินตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ พระราชเสาวนีย์ของฮองเฮาส่งไปชายแดนแล้ว เกรงว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคงส่งคนกลับมาเหยียดหยามข้าอีกแล้ว”   

 

 

พูดไปแล้ว ฮ่องเต้ก็ทรงเสียใจจริงๆ หากตั้งแต่เริ่มต้น พระองค์อบรมสั่งสอนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนให้ดี อย่างน้อยในปีที่เขาอายุแปดขวบ เริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเขาตั้งแต่ตอนนั้น ไม่แน่ว่าเรื่องอาจจะไม่ดำเนินมาถึงจุดนี้  

 

 

ตอนนี้บุตรชายที่โดดเด่นที่สุดกลายเป็นคนที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ยิ่งไม่มีสายสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกกับพระองค์เลย ด้วยเหตุนี้พระองค์จำเป็นต้องฝากความหวงไว้กับเป่ยเฉินเสียงตัวโง่งม  

 

 

ฮ่องเต้รู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้ง 

 

 

หัวหน้าขันทีละล้าละลังเล็กน้อย ถามว่า “ฝ่าบาท บางทีสำนึกได้ตอนนี้ก็ยังไม่สายนะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์ “ไม่ทันแล้ว เจ้าดู เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร ไม่สนใจญาติสนิทมิตรสหาย หลักการคุณธรรมต่างๆ ในใจเขาก็เป็นของเล่นสนุก ในแววตาเขาไม่เห็นถึงความเป็นคนเลย ต่อให้ยามนี้ข้าคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ต่อหน้า เขาก็ไม่มีทางซาบซึ้งสักน้อย ยามนี้เป่ยเฉินอี้ออกจากจวนอ๋อง ข้ากับเซี่ยวโหวเฉินถึงได้รู้ว่าขาของเขาหายดีแล้ว ไม่รู้เลยว่าภายหน้าเขาจะทำอะไรอีกบ้าง เวลานี้ข้ามีศัตรูประชิดทั้งหน้าหลัง หากมีวันหนึ่งที่คำทำนายเรื่องบ้านเมืองล่มสลายเป็นจริง อย่างนั้นก็ไม่ใช่ความผิดของผู้อื่น แต่เป็นเพราะข้าทำลายเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทำลายบุตรชายที่โดดเด่นที่สุดของตนเอง ทำลายอนาคตของราชสำนักเป่ยเฉิน”  

 

 

ฮ่องเต้ตรัสไป ก็ดูอ่อนระโหยโรยแรงลง ใช้พระหัตถ์ปิดพระเนตร รู้สึกปวดหนึบที่ดวงเนตร แทบจะร่ำไห้ออกมา “หากรู้แต่แรกปีนั้นข้าสมควรเชื่อคำของเสิ่นเซ่อเทียน” 

 

 

พระองค์หาได้อาลัยความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ความจริงพระองค์ทรงกังวลอนาคตของเป่ยเฉินต่างหาก 

 

 

ซ้ำรู้สึกเสียใจจริงๆ  

 

 

หัวหน้าขันทีในเวลานี้ได้แต่เงียบสงบ 

 

 

   …… 

 

 

หลังจากโคจรพลังเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เปิดตาขึ้น 

 

 

เยี่ยเม่ยมองเห็นว่าเขาลืมตาขึ้นจากทางหน้าต่าง ก็รีบผลักประตูเข้าไป นางไม่พูดไม่จา กดเขาลงบนเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ทันที 

 

 

จากนั้นถามว่า “ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง หิวหรือเปล่า เจ็บปวดหรือไม่ ต้องการกินอะไรหน่อยไหม หรือจะให้ข้าตามตัวซือหม่าหรุ่ยมาตรวจดูอาการ” 

 

 

คำพูดของนางร้อนรน ดูออกถึงความตื่นเต้น 

 

 

คราวนี้กลับเป็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่อึ้งไป เดิมที่อารมณ์หงุดหงิดอยู่กลับเดิมดีขึ้นมาก เอ่ยว่า “ฮูหยินเป็นห่วงเยี่ยนหรือ เจ้าไม่คล้ายคนอ่อนโยนแบบนี้เลย” 

 

 

เยี่ยเม่ยชะงักงัน ทว่าคลี่ยิ้มออกมา โพล่งออกไปตามความคิด “ไม่ผิด ข้าไม่ใช่คนอ่อนโยน ทว่าอยากปรนนิบัติท่านอย่างอ่อนโยน” 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] หน่วยงานที่ดูแลเรื่องของราชวงศ์