บทที่ 133 ใช้เงินฟาดให้ตาย โดย Ink Stone_Romance
สมาชิกห้าคนของสกุลอวี๋และกัวต้าโย่วพร้อมภรรยากำลังนั่งอยู่บนโต๊ะสี่เหลี่ยม กัวเซี่ยนเฉี่ยว อยู่ในห้องกับพี่สาวที่เป็นลมไปแล้วหลายรอบ เพื่อป้องกันมิให้นางคิดสั้นฆ่าตัวตาย
หลังจากฟังคำพูดของกัวต้าโย่วจบ สกุลอวี๋ที่กำลังทานอาหารต่างก็หยุดชะงัก แม้แต่เจินเจินน้อยวัยสามขวบก็มองไปที่กัวต้าโย่วด้วยดวงตาเบิกโพลง
กัวต้าโย่วมิได้สนใจสายตาของเด็กน้อย แต่เขามิอาจเพิกเฉยต่อท่าทีของลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่ได้
เขาเหลือบมองคนทั้งสองและกล่าวอย่างชอบธรรม “ท่านพี่ ข้ามิได้ปั้นน้ำเป็นตัว ตอนนั้นพี่เขยก็อยู่ด้วย หากท่านไม่เชื่อก็ลองถามพี่เขยดูสิ ว่าบิดาของทั้งสองฝ่ายได้ตัดสินใจเรื่องการแต่งงานระหว่างเสี่ยวเฟิงกับเยว่เอ๋อร์รึไม่?”
ป้าสะใภ้ใหญ่มองไปยังสามีที่อยู่ข้างๆ ลุงใหญ่นิ่งเงียบไม่พูดจา
ถ้าบอกว่ามีเรื่องนี้ มันก็มีอยู่จริงๆ ในวันครบรอบอายุหนึ่งเดือนของอาหวั่น ตอนนั้นอวี๋เฟิงโตพอๆ กับเจินเจินน้อย ตู้จินฮวาเพิ่งจะตั้งครรภ์ ครานั้นบิดาทั้งสองฝ่ายก็ดื่มไปมากแล้วและบังเอิญว่าอวี๋เฟิงชี้ไปที่ท้องของตู้จินฮวาพร้อมกับถามว่า ‘เป็นน้องชายหรือว่าน้องสาว?’
บิดาทั้งสองก็แกล้งอวี๋เฟิงตัวน้อย ถ้าหากเป็นน้องสาว ก็ให้เจ้าแต่งเป็นเมียเป็นอย่างไร?
เด็กสามขวบจะเข้าใจอะไร?
พ่ออวี๋ก็ถามเขาว่า “เอาไหม?”
อวี๋เฟิงตัวน้อยอ้าปาก “เอา”
บิดาทั้งสองฝ่ายมีความสุขมาก พวกเขาดื่มไปอีกสองสามแก้ว พูดหยอกล้อกับอวี๋เฟิงตัวน้อยที่ใสซื่อและอ่อนต่อโลก
คำพูดของคนเมา ใครจะเก็บมาใส่ใจเล่า? หลังจากสร่างเมาเกรงว่าบิดาทั้งสองก็ลืมไปหมดแล้ว ลุงใหญ่กับกัวต้าโย่วล้วนมีสติทั้งคู่ ทว่ากัวต้าโย่วมักจะดูถูกสกุลอวี๋มาโดยตลอดจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง และลุงใหญ่ก็คงไม่ประจบเอาใจคนที่ไม่สนใจอยู่แล้ว จึงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้
ครอบครัวอยู่กันอย่างสุขสงบมานานหลายปี กัวเซี่ยนเยว่ก็กลายเป็นสาวงามที่มีชื่อเสียง คนมาขอแต่งงานกันจนธรณีประตูสกุลกัวแทบจะพัง อวี๋เฟิงยังคงเป็นเด็กยากจนและสกุลอวี๋ก็ไม่คิดจะไปคบกับผู้ที่มีฐานะสูงกว่าด้วยวิธีที่เรียกว่า ‘การแต่งงาน’
หากก่อนหน้านี้สกุลกัวมาขอแต่งงาน ลุงใหญ่ก็คงมิปฏิเสธ แม้ว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่วันชีวิตของครอบครัวสกุลอวี๋จะดีขึ้นแล้ว ก็คงไม่นับว่าเป็นการคบคนที่มีฐานะสูงกว่า การแต่งงานครั้งนี้สามีภรรยาทั้งคู่ต่างก็รับรู้ แต่นี่กลับรอจนถึงวันที่จะถูกบังคับให้แต่งงานกับหวางหมาจื่อเสียก่อน ถึงได้มาคิดว่าอวี๋เฟิงก็ดี นี่คิดว่าอวี๋เฟิงเป็นอะไรกัน? แล้วคิดว่าคนสกุลอวี๋เป็นอะไร?
เมื่อลุงใหญ่ไม่พูดอะไรสักคำ กัวต้าโย่วก็พูดด้วยใบหน้าหนักอึ้ง “พี่เขยคงมิได้แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องหรอกใช่ไหม? ตอนนั้นบนโต๊ะมีมากกว่าท่านและข้าสองคน น้องเขยก็อยู่ด้วย หากไม่เชื่อก็เรียกเขามาไหมล่ะ?”
“กัวต้าโย่ว!” ป้าสะใภ้ใหญ่ระเบิดโทสะโดยไม่รอให้สามีเอ่ยปาก นางอดทนกับน้องชายผู้นี้มานานแล้ว ตอนเป็นเด็กเขาก็รังแกนาง เมื่อโตขึ้นก็ยังดูถูกนาง เมื่อกลับไปบ้านแม่ มีของอะไรดีๆ ก็ซ่อนไว้มิดชิด กลัวว่านางจะได้สัมผัสของดี แต่ไหนแต่ไรไม่เคยนึกถึงนาง พอมีเรื่องกลับจะพาบุตรชายของนางไปตามล้างตามเช็ด มีของดีแบบนี้ที่ไหนในโลกกัน!
“เจ้าบอกเสมอว่าลูกชายของข้าไม่ดี ทุกๆ อย่างต่างก็ด้อยกว่าหลานชายคนสกุลหลัวมิใช่รึ? บุตรสาวของเจ้า ครอบครัวเราสกุลอวี๋อาจเอื้อมไม่ถึง เช่นนั้นก็เอาไปให้สกุลหลัวเถอะ!”
กัวต้าโย่วไหนจะกล้าพูดความจริงในเวลานี้ เขามองพี่สาวด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมจริงจัง “ท่านพี่ เหตุใดท่านจึงกล่าวหาข้าเช่นนี้ ข้าไปบอกว่าเสี่ยวเฟิงไม่ดีเท่าหลานชายสกุลหลัวเมื่อใด?”
ป้าสะใภ้ใหญ่โกรธน้องชายที่ไร้ซึ่งยางอายผู้นี้จนแทบคลั่ง “ปากก็อยู่บนหน้าเจ้า ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากพูดอะไรก็พูด!”
“ท่านพี่!”
“หยุดทะเลาะกัน!” ลุงใหญ่พูดด้วยเสียงเข้ม
ป้าสะใภ้ใหญ่และกัวต้าโย่วก็เลิกทะเลาะกัน
ลุงใหญ่มองไปยังอวี๋เฟิงและพูดว่า “เจ้าชอบเยว่เอ๋อร์รึไม่?”
อวี๋เฟิงกำลังอ้าปาก
ตู้จินฮวาพูดแทรกขึ้นว่า “ทำไมจะไม่ชอบเล่า เขาทั้งสองเข้ากันได้ดี! ข้ามิได้โม้นะ ในหมู่บ้านแถบนี้มิอาจหาสตรีที่ดูดีไปกว่าเยว่เอ๋อร์ได้!”
“ถ้าเช่นนั้นท่านจะหาบุรุษที่หน้าตาดีกว่าพี่ชายของข้าได้รึไม่?” อวี๋หวั่นเดินเข้ามาอย่างไม่ช้าไม่เร็วพร้อมกับเหลือบมองตู้จินฮวาและกัวต้าโย่วอย่างไม่ได้สนใจนัก “อย่าได้หมายปองพี่ชายข้าเลย ตอนที่เรายังยากจนพวกท่านไม่เห็นพาบุตรสาวมาขอแต่งงาน แต่พอชื่อเสียงป่นปี้กลับมาให้พี่ชายข้ารองรับ ท่านคิดว่าพวกเราโง่รึ?”
ตู้จินฮวาผู้ไม่เคยยอมแพ้ฟังไม่เข้าใจ แต่รู้สึกว่าไม่ใช่ประโยคที่ดีอย่างบอกไม่ถูก “เจ้า…เจ้า… ทำไมเจ้าพูดเช่นนี้! เยว่เอ๋อร์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้านะ!”
“อวี๋เฟิงก็เป็นพี่ใหญ่ของข้าเหมือนกัน! นางสบายใจที่เป็นลูกพี่ลูกน้องข้า ข้าปฏิบัติต่อนางอย่างดี แต่หากจะเป็นพี่สะใภ้ของข้า ไม่มีทางเสียหรอก!” อวี๋หวั่นไม่ได้เกลียดกัวเซี่ยนเยว่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอยินยอมเสียสละอวี๋เฟิงเพื่อทำให้สกุลกัวสมบูรณ์
“พวกเจ้าไม่เพียงแต่ไร้ค่าราคาถูกแล้วยังอวดฉลาด! ลูกสาวข้าสวยขนาดนั้น นางจะมาแต่งงานกับครอบครัวเจ้าไม่ใช่เรื่องง่ายนะ” ตู้จินฮวาโกรธมากจนพูดไม่ออก แต่นี่คือสิ่งที่นางคิดอยู่ในใจ ไม่เช่นนั้นนางคงไม่อาจพูดออกมาได้อย่างน้ำไหลไฟดับเช่นนี้
ป้าสะใภ้ใหญ่โกรธจัด เดิมทีนางก็เห็นอกเห็นใจกัวเซี่ยนเยว่ แต่เมื่อตู้จินฮวาทำเช่นนี้ จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าสมควรแล้ว!
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเฉยเมย “ไร้ค่าราคาถูกใครอยากจะรับก็รับไป แต่ว่าพี่ชายข้าไม่รับ!”
ตู้จินฮวาโกรธจนตัวสั่น “เจ้า…เจ้า…เจ้าคิดว่าพี่ชายเจ้าจะได้แต่งงานกับสะใภ้ที่ดีจริงๆ รึ? อายุขนาดนี้แล้วยังไม่มีอะไรสำเร็จ ข้าเต็มใจให้แต่งงานกับลูกสาวข้าก็นับเป็นโชคของเขาแล้ว ไม่เชื่อเจ้าก็ลองดูสิ สตรีที่ดูดีได้ครึ่งหนึ่งของเยว่เอ๋อร์ ไม่มีทางยินดีให้แต่งงานกับเขาหรอก!”
“ใครบอกเล่า?”
เสียงแง้มประตูดังขึ้น
ทุกคนมองไปยังที่มาของเสียงนั้น เห็นสตรีเยาว์วัยในชุดกระโปรงสีชมพู สวมรองเท้าปักลายประดับมุก กระโปรงผ้าโปร่งสีขาวและเสื้อทรงพิณผีผา[1]สีชมพู ผมสีดำสนิทของนางเกล้าเป็นมวยสวยประดับด้วยปิ่นปักผมหยกสีม่วงคู่หนึ่ง
นางสวมห่วงคอทองเหลืองและใส่กำไลทองที่ข้อมือ
แม้คนตาบอดก็ยังมองออกว่าชุดนี้มีค่าไม่น้อย รูปลักษณ์ของนางยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง เหนือกว่ากัวเซี่ยนเยว่เป็นไหนๆ!
นางเดินเข้ามาด้วยท่าทางอันสูงส่ง
ตู้จินฮวาพลันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบีบคั้น
แต่ความรู้สึกบีบคั้นนี้ได้หายไปเมื่อนางเดินไปข้างอวี๋เฟิงและมองเขาด้วยความคับแค้นใจ “นานขนาดนี้แล้วทำไมเจ้าไม่มาขอข้าแต่งงานเสียที ที่แท้ก็มีนางจิ้งจอกมาที่บ้านนี่เอง!”
อวี๋เฟิงมีสีหน้างุนงง “… “
ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริด “… “
ไป๋ถังเดินไปที่ห้องและมองกัวเซี่ยนเยว่ที่นอนหลับอย่างไม่รู้สึกตัว เมื่อออกมานางก็กระทืบเท้าใส่อวี๋เฟิง “ข้าคิดว่าจะเป็นเทพธิดาที่ไหน แต่ก็แค่นี้เองรึ! หนึ่งไม่สวยเท่าข้า สองไม่รวยเท่าข้า และที่สำคัญที่สุด ยังแก่กว่าข้าอีก! เจ้าชอบสาวแก่มากกว่าข้า! หรือเป็นเพราะสินสอดของข้าน้อยเกินไป? เช่นนั้นข้าจะเพิ่มให้อีกหนึ่งพันตำลึง! แบบนี้เจ้าก็แต่งงานกับข้าได้แล้วสินะ!”
น้ำชาที่อยู่ในปากของอวี๋เฟิงพุ่งออกมา…
ตู้จินฮวาและกัวเซี่ยนเยว่แข้งขาอ่อนแรงทรุดลงใต้โต๊ะ…
………………………………………………………
[1] เสื้อทรงพิณผีผา 琵琶襟 คือ ชุดจีนในสมัยราชวงศ์ชิง