บทที่ 132 เหล่าเด็กน้อยแสนบริสุทธิ์

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1

บทที่ 132 เหล่าเด็กน้อยแสนบริสุทธิ์ โดย Ink Stone_Romance

อวี๋ซงจำคืนที่พวกเขากลับมาจากนอกหมู่บ้านได้ พวกเขาทำงานยุ่งจนถึงเที่ยงคืนแล้วจู่ๆ ท้องฟ้าก็มีหิมะตก

อวี๋หวั่นออกจากบ้านหลังเก่าคนเดียวโดยไม่รอให้อวี๋เฟิงไปส่ง

อวี๋ซงหยิบเสื้อผ้าฝ้ายและรีบตามออกไป และได้เห็นอวี๋หวั่นเดินจับมือกับบุรุษผู้หนึ่ง

อย่าว่าแต่อวี๋หวั่นไม่รู้เรื่องนี้เลย แม้แต่อวี๋เฟิงพี่ชายของเขาเองก็ไม่ได้สังเกตเห็น เช่นเดียวกับพ่อแม่ของเขา ที่คิดมาตลอดว่าอวี๋ซงเบื่อที่จะอยู่ในห้องเพราะไม่ชอบสกุลกัว

ในหมู่บ้านมีเพียงหลี่เจิ้งเท่านั้นที่รู้เรื่องคุณชายวั่นช่วยเหลืออวี๋หวั่นไว้ แต่ครานี้ต้องขอบคุณป้าไป๋ ที่ทำให้คนทั้งหมู่บ้านได้รับรู้ว่าคุณชายวั่นเป็นผู้ช่วยชีวิตอวี๋หวั่น ลุงใหญ่ก็เช่นกัน

ลุงใหญ่ได้ยินว่าคุณชายวั่นเป็นผู้มีความรู้ มาจากเมืองหลวง จึงเดาว่าอีกฝ่ายคงเป็นคนที่พิถีพิถันมาก ซาลาเปาเนื้อ ลูกชิ้น และขนมปังไม่ได้อยู่ในสายตาของอีกฝ่าย เขาจึงใช้ทักษะพิเศษ ทำขนมจานใหญ่ที่เทียบได้กับอาหารในราชสำนัก เพื่อแสดงความจริงใจ จริงๆ แล้วเขาต้องการส่งให้คุณชายวั่นด้วยตัวเองเสียด้วยซ้ำ

อวี๋เฟิงก็มิได้ห้าม ทว่าบิดาของเขาไม่รู้จักเยี่ยนจิ่วเฉา ไปแล้วก็คงจะรู้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยม

เขากังวลว่าบิดาจะล้มลงระหว่างทาง เขาจึงเดินตามไปที่ประตู

เจินเจินน้อยก็ตามมาด้วย นางช่วยบิดาแบ่งขนมถั่วเหลืองชิ้นหนึ่งด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ แบ่งไปแบ่งมาก็แบ่งเข้าปากของตัวเองไปด้วย…

อวี๋เฟิงรู้สึกว่าของขวัญแทนคำขอบคุณนี้ควรจะเป็นไปอย่างราบรื่น แต่เมื่อเขามาถึงหน้าบ้านหลังเก่าของสกุลติง ก็พบกับเด็กน้อยจ้ำม่ำสามคนหอบแห่กๆ ข้ามธรณีประตู

อวี๋เฟิงตกใจจนแทบล้ม!

เจ้าตัวเล็กพวกนี้ก็มาด้วยเหรอ?

บิดาของอวี๋เฟิงรู้จักพวกเขาดี!

“ท่านพ่อ!” อวี๋เฟิงก้าวไปข้างหน้าและหันกลับมากั้นสายตาของพ่อ “ของขวัญขอบคุณของพวกเราจะน้อยเกินไปหรือไม่?”

“น้อยรึ” ลุงใหญ่มองดูขนมห่อใหญ่ในมือ

อวี๋เฟิงถามอย่างเคร่งขรึม “ท่านทำขนมกี่ชิ้นเล่า?”

“ข้าทำมา… ” ลุงใหญ่เริ่มนับทีละชิ้น

เจินเจินโผล่หัวเล็กๆ ออกมาจากด้านหลังลุงใหญ่และเห็นเด็กน้อยจ้ำม่ำที่สุดแสนจะน่ารัก เจินเจินรู้จักน้องชายตัวน้อยเหล่านี้จึงเบิกตากว้างและเดินเข้าไปในบ้านของอวี๋หวั่นพร้อมกับทั้งสามคน

อวี๋เฟิงผุดเหงื่อเย็นๆ

“…นี่น้อยไปรึ?” ลุงใหญ่นับขนมเสร็จ “เอ๋? เจินเจินล่ะ?”

อวี๋เฟิงกล่าวอย่างจริงจัง “นางเข้าไปในบ้านอาสะใภ้สามแล้ว ขนมก็ไม่น้อยแล้ว เราเข้าไปกันเถอะ!”

สองพ่อลูกมาเยี่ยมเยียนถึงบ้าน

เหล่าเด็กน้อยรู้สึกกังวลและหวาดกลัวตลอดทั้งคืน ก่อนรุ่งสางจึงจะถูกลุงวั่นสั่งให้เข้านอน และสิ่งแรกที่พวกเขาทำเมื่อตื่นขึ้นมาคือการไปหาอวี๋หวั่น

อวี๋หวั่นเพิ่งตื่นนอนก็มีสิ่งกลมๆ สามลูกพุ่งเข้ามาในอ้อมแขนของเธอ

ทั้งสามมองเธออย่างเศร้าสร้อยราวกับจะบอกว่าเธอไม่ต้องการพวกเขาอีกแล้วหรือไม่?

หัวใจของอวี๋หวั่นแทบจะแหลกสลาย เธอยกมือขึ้นลูบหัวเด็กน้อยทั้งสาม “ข้าขึ้นไปเก็บผลไม้บนภูเขา ข้าไม่ได้ตั้งใจไม่กลับมา”

พวกเขาทั้งสามดูไม่เชื่อ

อวี๋หวั่นเปิดกระเป๋าที่เหลือรอดมาเพราะถูกมัดไว้กับอกและชี้ไปที่ราสเบอร์รี่สีครึ่งแดงครึ่งเหลืองเจ็ดแปดชิ้นที่อยู่ข้างในแล้วพูดว่า “ดูสิ นี่คือซู่เหมย(ราสเบอร์รี่)”

ทั้งสามเบิกตาโตและมองไปที่ผลไม้สีแดงๆ ในกระเป๋าด้วยความประหลาดใจ

อวี๋หวั่นรู้สึกดีใจที่ตนคันไม้คันมือ แม้จะไม่คุ้นเคยก็ยังเก็บมาสองสามลูก ไม่เช่นนั้นเธอก็ไม่รู้แล้วว่าจะปัดเป่าความสงสัยของซาลาเปาน้อยเหล่านี้ได้อย่างไร

อวี๋หวั่นหยิบลูกที่ดูสุกที่สุดมาแบ่งให้กับเด็กน้อยทั้งสามและเจินเจินคนละหนึ่งผล

เจินเจินไม่เอา นางไม่ชอบกินผลไม้

เด็กน้อยทั้งสามกินแล้วก็แลบลิ้นออกมาด้วยความเปรี้ยว!

อวี๋หวั่นก็ยิ้มออกมา!

เธอรู้สึกเหมือนเป็นพ่อแม่นิสัยไม่ดีที่จงใจแกล้งลูกๆ ตัวเองแล้วก็ขำกลิ้งด้วยความสะใจ

เด็กชายตัวน้อยที่ปวดฟันเพราะความเปรี้ยวเข้าไปในอ้อมแขนของอวี๋หวั่นด้วยความเสียใจและต้องการขอจุ๊บน้อยๆ หนึ่งที

เมื่อเจินเจินเห็นพี่สาวจุ๊บ นางก็เลยจุ๊บด้วย

จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ!

เหล่าเด็กน้อยที่โดนดรุณีอีกคนจุ๊บ “…”

เด็กน้อยรู้สึกว่าตัวเองไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป “?!?!?!”

แง้ แง้ แง้

เหล่าปีศาจวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น!

เหตุการณ์ของอวี๋หวั่นสิ้นสุดลงชั่วคราว ทว่าสกุลกัวกลับเพิ่งเริ่มต้น ตั้งแต่อดีตกาลนานมาวีรบุรุษผู้ช่วยสาวงามมีจุดจบที่แตกต่างกัน หากเป็นเยี่ยนจิ่วเฉาที่ช่วยกัวเซี่ยนเยว่ แปดในสิบส่วนก็คงจะเป็น ‘ดรุณีตัวเล็กๆ ไม่มีอะไรจะตอบแทนได้ มีเพียงร่างกายเท่านั้นที่สามารถมอบให้’ ทว่าบังเอิญเป็นชายโสดผู้ยากจนอย่างหวางหมาจื่อ สกุลกัวจะมอบบุตรสาวที่สวยดั่งดอกไม้งดงามดั่งหยกให้แก่เขาได้อย่างไร?

แต่จะมีวิธีใดที่จะไม่อนุญาตได้ล่ะ? คนทั้งหมู่บ้านเห็นกันหมดแล้ว ชาวบ้านต่างก็เอาไปโพนทะนา อีกไม่นานข่าวก็จะแพร่ไปทั่วทุกหมู่บ้านในแถบนี้ แล้วใครจะกล้าแต่งงานกับนางได้อีก

“สกุลหลัวก็หวังมิได้แล้ว… ” ตู้จินฮวากล่าวพลางปกปิดใบหน้าที่บวมเพราะกัวต้าโย่ว

พูดถึงกัวต้าโย่วคนนี้ก็โมโหเช่นกัน “เพราะเจ้าคนเดียว! ข้าก็บอกแล้วว่าสกุลหลัวน่ะดี แต่เจ้าก็ยังไม่ชอบ ไปซ้ายทีและขวาที ให้สกุลหลัวเป็นตัวสำรอง ตอนนี้พอใจรึยังเล่า!”

ตู้จินฮวากล่าวในใจว่า ‘ข้าค้านเพียงคนเดียวจะมีประโยชน์กับผีอะไร? หัวหน้าครอบครัวอย่างท่านต้องพยักหน้าเห็นด้วยมิใช่รึ?’

ตู้จินฮวาเข้าใจว่ากัวต้าโย่วกำลังโกรธตน ดังนั้นนางจึงโทษความผิดทั้งหมดไว้ที่นางเอง ใครใช้ให้นางทำพังล่ะ? ได้แต่ก้มหน้ายอมรับฟังคำด่าของกัวต้าโย่วอย่างเดียว

ทันใดนั้น นางก็นึกบางอย่างขึ้นได้ ดวงตาของนางกลอกไปมา “ต้าโย่ว ท่านไม่ได้บอกว่าเยว่เอ๋อร์กับเสี่ยวเฟิงมีสัญญาแต่งงานในวัยเด็กหรอกรึ ท่านมีวิธีทำให้เรื่องนี้มีความหมายได้รึไม่?”

แม้ก่อนหน้านี้ ตู้จินฮวาตัดสินใจดูถูกอวี๋เฟิง ทว่าตอนนี้มิใช่ว่าหมดหนทางแล้วหรือ? เมื่อเทียบกับคนโสดยากจนอย่างหวางหมาจื่อ สภาพของอวี๋เฟิงนั้นดีกว่ามาก

“ท่านดูสิอีกอย่างเสี่ยวเฟิงก็โตขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังมิแต่งงาน หรือว่าเขาอาจจะรอเยว่เอ๋อร์ของพวกเราอยู่กันนะ?” ตู้จินฮวาคิดอย่างไร้ยางอาย

กัวต้าโย่วครุ่นคิด และดูเหมือนว่าเขาก็คิดเช่นนั้น แต่เรื่องราวไม่เหมือนเดิมแล้ว ร่างกายของบุตรสาวถูกชายอื่นสัมผัสไปแล้ว เกรงว่าอวี๋เฟิงจะรังเกียจ…

ตู้จินฮวาตอบอย่างฟึดฟัด “เรื่องนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา! ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเป็นคนตัดสินใจ จะทำไมรึ? พวกเขาเป็นแค่คนรุ่นหลัง ยังจะอยากขัดคำสั่งของบิดาหรือ ไม่กลัวว่าบิดาจะนอนตาไม่หลับอยู่ในโลกของวิญญาณหรือ?”

ตอนนี้ไม่มีทางให้ถอยแล้ว กัวต้าโย่วทำได้แค่ต้องเดิมพันหมดหน้าตัก กล่าวเรื่องการแต่งงานระหว่างอวี๋เฟิงและกัวเซี่ยนเยว่ขึ้นมาบนโต๊ะอาหารมื้อกลางวัน

……………………………………………………