บทที่ 6 บทที่ 71 หนุ่มๆ ก็ดี

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

แต่จงลั่วเฉินก็เก็บมือของตนเองกลับอย่างรวดเร็ว เพราะเขารับรู้ถึงอาการสั่นเล็กน้อยจากตัวของเฉิงอี้หราน 

 

 

เขายังเด็กเกินไป 

 

 

 “คุณ คุณ…” เฉิงอี้หรานขมวดคิ้วขึ้นมา 

 

 

หลังจากเจอกันครั้งแรกในคลับ K&C เป็นต้นมา เขามักจะรู้สึกว่าบนตัวของนายทุนผู้นี้มีความลับบางอย่างซ่อนอยู่  

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาเคยย้อนคิดถึงเรื่องราวในวันนั้นอย่างละเอียดและพบว่า…คุณจงคนนี้ไม่ได้รับอิทธิพลจากกีตาร์  

 

 

 “คุณ…หรือคุณก็…” เฉิงอี้หรานพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว 

 

 

แต่เขายังไม่ได้พูดออกไปทั้งหมดก็ได้สติและหยุดคำพูดในทันที มองคุณจงผู้ลึกลับคนนี้อย่างกระวนกระวายใจ 

 

 

จงลั่วเฉินกลับหัวเราะและเอ่ยว่า “พวกเรามาพูดคุยกันสบายๆ ดีไหม?” 

 

 

พูดแล้วจงลั่วเฉินก็มองดูปฏิกิริยาของเฉิงอี้หรานและพูดต่อว่า “ไม่คิดว่าปฏิกิริยาของคนที่อยู่ที่นั่น…ผิดปกติงั้นเหรอ เหมือนกับถูกครอบงำ” 

 

 

สีหน้าของเฉิงอี้หรานเริ่มแย่ลง 

 

 

จงลั่วเฉินพูดอย่างผ่อนคลายว่า “ได้ยินเฉิงอวิ๋นรายงานว่า ก่อนที่คุณจะถูกหลี่จื่อเฟิงเจอตัวก็เป็นนักดนตรีไร้ชื่อเสียงที่ร้องเพลงตามร้านกลางคืนเท่านั้น” 

 

 

สีหน้าของเฉิงอี้หรานยิ่งดูแย่ขึ้นอีก 

 

 

จงลั่วเฉินหัวเราะเบาๆ และเอ่ยว่า “ในเมื่อมีความสามารถแบบนี้ แล้วทำไมแต่ก่อนถึงไม่มีใครพบเห็น…ได้ยินมาว่าคุณเคยเข้าไปสู้ชีวิตในเมืองหลวงด้วยใช่ไหมครับ? ในเมื่อเคยไปเมืองหลวง ก็แสดงว่าคุณมีความทะเยอทะยาน งั้นก็คงไม่น่ามีเรื่องอย่างเก็บงำความสามารถอยู่ แล้วเป็นเพราะอะไรงั้นเหรอครับ?” 

 

 

จงลั่วเฉินหรี่ตาลง “ทำไมเพียงแค่คืนเดียว คุณถึงทำให้คนที่เคยฟังเพลงของคุณยอมสยบได้…อีกทั้งยังอยู่ในสภาวะเหมือนถูกครอบงำ แต่ที่สำคัญก็คือคนดูรายการสดทางออนไลน์กลับด่าว่าคุณ มีเพียงคนที่อยู่ในสตูดิโอเท่านั้นที่ยอมรับคุณ?” 

 

 

เฉิงอี้หรานจับถุงห่อกีตาร์แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว 

 

 

จงลั่วเฉินพูดขึ้นในตอนนี้ว่า “จะเป็นเพราะ…เพราะพลังของกีตาร์ตัวนี้ไม่พอหรือเปล่า?” 

 

 

 “พอแล้ว หยุดพูดเถอะ!!” 

 

 

เฉิงอี้หรานยืนขึ้นมาอย่างฉับพลัน ยกกีตาร์ที่ไม่เคยปล่อยให้ห่างกายและฟาดลงไปใส่จงลั่วเฉินด้วยใบหน้าบ้าคลั่ง! 

 

 

ความรวดเร็วและดุร้ายนี้ทำให้เฉิงอี้หรานย้อนคิดไปถึงครั้งนั้น ครั้งที่เขาถูกจับเข้าคุกเพราะจงใจทำร้ายคน 

 

 

เหมือนกับความดุร้ายในครั้งนั้น…จะปะทุออกมาอีกครั้งหลังจากสงบมาหลายปี 

 

 

เขาเป็นเหมือนหมาป่าที่ถูกบุกรุกพื้นที่ 

 

 

ไม่สนว่ากีตาร์จะมีความสามารถอย่างไร เพียงวัสดุที่ทำกีตาร์ก็แข็งมากแล้ว หากคนธรรมดาถูกมันฟาดเข้าอย่างน้อยก็ต้องหัวแตก! 

 

 

จงลั่วเฉินเบี่ยงหัวหลบอย่างไม่สะทกสะท้าน หลบการโจมตีของเฉิงอี้หรานได้อย่างชาญฉลาด จากนั้นก็จับอีกด้านหนึ่งของกีตาร์และออกแรงดึง! 

 

 

ร่างกายของเฉิงอี้หรานไม่สมดุลและถูกดึงลงไป จงลั่วเฉินใช้ข้อศอกกระแทกเข้าช่องท้องของเฉิงอี้หราน ชั่วขณะนั้นเฉิงอี้หรานรู้สึกเจ็บจนกุมท้องคุกเข่าลงกับพื้น 

 

 

แน่นอนว่าเจ้าสัวจงผู้ออกมาจากกองทัพจะไม่ปล่อยให้ลูกหลานของตนเองอ่อนแอ…รวมไปถึงคุณหนูสามที่เป็นผู้หญิงก็ไม่เว้น ทั้งสามคนในรุ่นนี้ของตระกูลจง ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างถูกโยนเข้าไปฝึกในกองทัพตั้งแต่เด็ก 

 

 

ไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้แบบทำลายหินได้ แต่เป็นทักษะการต่อสู้ซึ่งเพียงพอสำหรับรุ่นที่สามของตระกูลจงในการรับมือสถานการณ์ไม่คาดคิด 

 

 

จงลั่วเฉินจับกีตาร์ด้วยหลังมือ ใช้มันกดคอของเฉิงอี้หรานจนเขาเงยหน้าไม่ได้และเอ่ยว่า “ที่บ้านเคร่งครัดเลยต้องฝึกฝนร่างกายมาตั้งแต่ยังเด็ก ลงมือหนักไปหน่อยแต่คงไม่ถึงขั้นกระดูกหัก เจ็บแค่เล็กน้อย เดี๋ยวก็จะดีขึ้นเอง”  

 

 

เฉิงอี้หรานกัดฟันแต่กลับขยับไม่ได้ 

 

 

… 

 

 

จงลั่วเฉินกดตัวเฉิงอี้หรานพร้อมรินไวน์แดงครึ่งแก้ว หลังผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อรู้สึกว่าเฉิงอี้หรานไม่ขัดขืนแล้ว จงลั่วเฉินจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “สงบขึ้นหรือยัง? พร้อมจะคุยกันได้หรือยัง?” 

 

 

 “ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ!” 

 

 

 “คุณปากแข็งจริงๆ แต่เรื่องแบบนี้อยู่กับตัวเองถึงจะปลอดภัยที่สุดจริงๆ แต่ถ้าพิจารณาสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว…” 

 

 

จงลั่วเฉินส่ายหน้า “สำหรับคุณแล้ว วิธีที่ฉลาดมากกว่าก็คือ…ตามจริงแล้ว หรือคุณยังไม่รู้อีกว่าพวกเราเป็นคนประเภทเดียวกัน?” 

 

 

 “คนประเภทเดียวกันอะไร? ผมไม่รู้!” เฉิงอี้หรานเหมือนถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกแล้ว! 

 

 

 “จริงเหรอ?” จงลั่วเฉินกลับยิ้มเยาะและเอ่ยว่า “งั้นให้ผมทำลายกีตาร์ตัวนี้ของคุณเป็นไง…ผมคิดว่าคนที่ขายมันให้คุณคงไม่สนใจหรอก เพราะที่นั่นเป็นสถานที่สำหรับการแลกเปลี่ยนเท่านั้น” 

 

 

เฉิงอี้หรานให้ความสำคัญกับกีตาร์ถึงขนาดนั้น…จะหลบสายตาของจงลั่วเฉินได้อย่างไร? 

 

 

 “คุณก็…หรือคุณก็…” เฉิงอี้หรานตกตะลึง 

 

 

ทันใดนั้นจงลั่วเฉินก็ปล่อยมือและเอ่ยว่า “ที่นั่นคงอยู่มานานยิ่งกว่าอายุของพวกเราสองคนรวมกันซะอีก…งั้น ทำไมคุณถึงคิดว่าที่นั่นจะขายของให้แค่คุณแค่คนเดียวล่ะ?” 

 

 

 “คุณคือ…” 

 

 

จงลั่วเฉินหัวเราะเบาๆ และเอ่ยว่า “ผมเคยพูดแล้วว่าผมกับคุณเป็นคนประเภทเดียวกัน…ต่างก็เป็นลูกค้าของสถานที่แห่งนั้น” 

 

 

… 

 

 

… 

 

 

ลั่วชิวยังชอบกำแพงเก่าที่เต็มไปด้วยไม้เลื้อย และบ้านเก่ามีอายุหกสิบหรือเจ็ดสิบปีหลังนี้มาก  

 

 

 “ไม่ได้มาสักพักแล้ว” 

 

 

เจ้าของสมาคมเข้าไปในห้องหนึ่งภายในตัวบ้านได้อย่างง่ายดาย 

 

 

ลั่วชิวจำได้ว่าช่วงประมาณก่อนปิดเทอมฤดูร้อน ตัวเองยังทำ ‘การบ้าน’ ที่ฉินฟางมอบให้อยู่ที่นี่กับจางชิ่งหรุ่ยอยู่เลย “ที่นี่ยังไม่ได้ถูกเคลื่อนย้าย” 

 

 

ลั่วชิวหัวเราะและนั่งลงบนเก้าอี้เล็กหน้าโต๊ะทำงานเก่า 

 

 

คุณหนูสาวใช้ที่ฟังคำพูดของเจ้าของสมาคมมาตลอดพูดขึ้นเบาๆ ว่า “คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วบ้านของศาตราจารย์ฉินฟางจะตกอยู่ในมือของจงลั่วเฉิน 

 

 

ลั่วชิวหัวเราะเบาๆ “คุณฉินชูอวี่ก็น่าจะไม่รู้ เธอคิดแค่จะจัดการสมบัติของศาตราจารย์ให้เร็วที่สุดเท่านั้น ใครจะซื้อไปสำหรับเธอแล้วก็ไม่ต่าง…แต่เกรงว่าการที่จงลั่วเฉินอยู่ในเมืองนี้คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” 

 

 

เมื่อลั่วชิวคิดถึงเรื่องที่ลึกลงไปแล้วก็เอ่ยเบาๆ ว่า “ดูแล้วนับตั้งแต่เริ่มซื้อขายเป็นต้นมา โชคชะตาของลูกค้าก็ถูกก่อกวนมาโดยตลอด บางทีอาจจะต่อเนื่องไปจนตาย แล้วถึงจะได้รับการปลดปล่อย…” 

 

 

ครู่หนึ่งก็เงียบลง 

 

 

ลั่วชิวเคาะนิ้วบนโต๊ะเบาๆ “น่าเสียดายที่ครั้งนี้ไม่ได้ยินเสียงร้องเพลงของแม่นางไช่แล้ว” 

 

 

จากนั้นลั่วชิวก็ยืนขึ้น ยิ้มและเอ่ยว่า “ช่วงนี้มีหลายเรื่องเข้ามาในหัว…ครั้งนี้ก็ได้เพิ่มมาอีก เรื่องชักจะน่าสนใจแล้วสินะ” 

 

 

โยวเย่พยักหน้าเล็กน้อย “นายท่าน จงลั่วเฉินน่าจะเริ่มมีความคิด ประหลาดบางอย่างแล้วค่ะ” 

 

 

ลั่วชิวยิ้มเยาะและเอ่ยว่า “จงลั่วเฉิน…ลูกค้าช่วงแรกๆ ของฉัน พูดตามจริงแล้ว ตอนนั้นฉันยังเป็นแค่มือใหม่ เกิดเรื่องแบบนั้นก็พอคาดเดาได้” 

 

 

ลั่วชิวส่ายหน้าเอ่ยว่า “การแลกเปลี่ยนครั้งนั้น พอมาคิดดูตอนนี้แล้วน่าจะยังมีวิธีที่ดีกว่า” 

 

 

ลั่วชิวเป็นคนที่เคยชินกับการคิดทบทวนตัวเองอยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่า…ทุกคนต่างก็มีช่วงเวลาที่ทำเรื่องโง่ๆ ลงไป 

 

 

ถ้าไม่มีเลยคงผิดปกติแล้ว 

 

 

 “แต่นายท่านคะ ตระกูลจงมีทรัพย์สินจำนวนมหาศาล” โยวเย่พูดต่อ “เมื่อเขามีความคิดแบบนั้น ในอนาคตคงรวบรวม ‘ลูกค้า’ ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว” 

 

 

 “เหมือนกับสมาคมไมเคิลงั้นเหรอ?” ลั่วชิวเอ่ยถาม 

 

 

เขาส่ายหน้า ไม่คิดจะรอคำตอบของโยวเย่ เขาเล่นกับพวกกระดูกที่ศาตราจารย์ทิ้งเอาไว้ที่นี่พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “จะเป็นอะไรไป? พวกเราสนใจแค่เรื่องซื้อขายของเท่านั้น” 

 

 

ลั่วชิวส่ายหน้าเอ่ยว่า “นับความชอบส่วนตัวเล็กน้อยของฉัน โลกใบนี้ควรจะหมุนไปยังไงก็ยังหมุนไปอย่างนั้น ส่วนอนาคต…” 

 

 

อนาคตจะเป็นยังไง? 

 

 

บางทีอาจจะเป็นเหมือนกระดูกพวกนี้ ที่มีไว้ให้คนในอนาคตไกลออกไปมาวิเคราะห์ 

 

 

ส่วนเขาที่เป็นเจ้าของสมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด หากไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายอะไรก็จะมองทุกอย่างอยู่เงียบๆ ในอนาคตอันไกลออกไป 

 

 

 “…ไม่สำคัญแล้ว” 

 

 

เจ้าของสมาคมวางกระดูกไว้ที่เดิม สุดท้ายก็พูดขึ้นว่า “ตอนแรกฉันน่าจะซื้อที่นี่มาจากฉินชูอวี่ ตอนนั้นฉันยังเด็กเกินไปจริงๆ”