บทที่ 6 บทที่ 72 พาลโกรธเป็นอันดับแรก

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

ในตอนที่เฉิงอวิ๋นกลับมาถึงนั้น ก็พบว่าจงลั่วเฉินและเฉิงอี้หรานนั่งอยู่ในห้องรับแขกแล้ว 

 

ทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกัน จงลั่วเฉินกำลังหลับตาพักผ่อน 

 

ส่วนเฉิงอี้หรานก็กำลังดีดกีตาร์ในมือเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดเสียง เหมือนแค่ลูบเฉยๆ 

 

เฉิงอวิ๋นมองไม่เห็นสีหน้าไม่ดีใดๆ บนใบหน้าของทั้งสอง แต่ก็มองไม่เห็นสีหน้าที่ดีด้วยเช่นกัน เขาจึงไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าในช่วงที่เขาไม่อยู่นั้น สองคนนี้พูดคุยกันด้วยดีหรือเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกันแน่ 

 

แต่ถึงอย่างไรเขาก็ติดตามจงลั่วเฉินมานาน จึงหาคำตอบได้อย่างรวดเร็ว 

 

พูดง่ายๆ ก็คือใช้ข่าวดีเคาะประตูเปิดประเด็น 

 

 “คุณจง เมื่อครู่ทางสถานีโทรทัศน์มีข่าวมาบอกว่า นักดนตรีที่เข้าร่วมรายการเมื่อคืนพากันปล่อยไลฟ์สดเมื่อคืน และเหมือนจะพากันพูดให้สนับสนุนอี้หรานของพวกเรา กระแสกดดันในโลกออนไลน์ก็ลดลงไม่น้อยเลยครับ” 

 

จงลั่วเฉินลืมตาขึ้นมา “เฉิงอวิ๋น นายไปที่อยู่ของเฉิงอี้หรานและช่วยเขาเก็บของหน่อย เขาจะมาพักอยู่ที่นี่สักระยะ” 

 

เฉิงอวิ๋นชะงัก แล้วก็ตกใจ แต่เขากลับไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา เพียงแค่พยักหน้า ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ 

 

แปลกจริง ทำไมคุณชายรองถึงชวนเขามาอยู่ที่นี่…คุณชายรองไม่ชอบให้ใครอยู่ในที่พักด้วยไม่ใช่เหรอ?  

 

ทั้งยังเป็นเฉิงอี้หรานที่เพิ่งเจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง 

 

เมื่อเฉิงอวิ๋นมองเฉิงอี้หรานอีกครั้งก็พบว่าเขายืนขึ้นมาแล้ว “ผู้อำนวยการเฉิง ขอผมติดรถไปด้วยเถอะครับ ผมจะออกไปข้างนอกสักหน่อย” 

 

พูดแล้วเฉิงอี้หรานก็มองจงลั่วเฉินแวบหนึ่ง แล้วยกกีตาร์ขึ้นมาโดยไม่พูดอะไรอีก  

 

เฉิงอวิ๋นที่ไม่เข้าใจสถานการณ์แน่ชัดจึงรีบพยักหน้า…แต่ก็ไม่ได้คิดจะล้วงถามอะไรจากเฉิงอี้หรานในวันนี้ 

 

จงลั่วเฉินไม่ชอบให้คนสอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวของเขา หากเขาพบเจอเข้า ไม่ว่าจะเป็นคนสนิทแค่ไหนก็กลายเป็นคนแปลกหน้าได้ในทันที ผู้ติดตามคนก่อนของจงลั่วเฉินก็เป็นเช่นนั้น 

 

ดังนั้นทุกอย่างจะต้องอาศัยการสืบและสังเกตด้วยตัวเอง 

 

 “อาฮา…คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณจงจะชวนนายมาอยู่บ้านพักของเขา นี่เป็นครั้งแรกเลยนะ!” เฉิงอวิ๋นขับรถไปด้วย พูดไปด้วยว่า “อี้หราน ดูแล้วคุณจงให้ความสำคัญกับนายไม่น้อย ต่อไปก็พยายามเข้าล่ะ” 

 

 “ผู้อำนวยการเฉิง คุณช่วยจอดให้ผมข้างหน้าได้ไหมครับ” ทันใดนั้นเฉิงอี้หรานก็ชี้ไปที่ข้างถนนด้านหน้า 

 

เฉิงอวิ๋นชะงัก ตรงนั้นไม่มีบ้านคนหรือร้านค้าเลย “ตรงนี้? แต่แถวนี้…” 

 

เฉิงอี้หรานส่ายหน้าพูดว่า “ปล่อยผมลงตรงนี้ก็พอครับ…เรื่องกระเป๋าขอรบกวนคุณด้วย” 

 

 “ฮ่าๆ…ไม่เป็นไร” เฉิงอวิ๋นหยุดรถ 

 

จากนั้นก็ขับรถต่อไป เมื่อเห็นเฉิงอวิ๋นไปไกลแล้ว เฉิงอี้หรานถึงได้ถอนหายใจแล้วหลับตาลง 

 

เขาหลับตาลงไปแบบนี้และก้าวเดินไปอย่างไร้ทิศทาง…ในใจของเขากำลังร้องเรียกบางอย่าง ตามวิธีที่จงลั่วเฉินบอก 

 

ลูกค้าเหมือนกับเขาเพียงแค่คิดในใจ… 

 

ติง…ดูเหมือนเขาจะได้ยินเสียงกระดิ่ง ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกเหมือนได้เดินเข้าไปในบ้านเก่าที่ไม่รู้ว่าปรากฏขึ้นเมื่อไหร่ 

 

เฉิงอี้หรานเบิกตากว้าง เมื่อเงยหน้าดูก็เห็นร้านค้าลึกลับร้านหนึ่งตรงหน้า  

 

เฉิงอี้หรานขมวดคิ้ว แล้วจึงผลักประตูเดินเข้าไป 

 

… 

 

เขาได้ยินตำนานเกี่ยวกับร้านค้าแห่งนี้มาจากจงลั่วเฉิน จงลั่วเฉินไม่รู้มากเท่าไรแต่ก็มากกว่าที่เฉิงอี้หรานรู้ 

 

อย่างน้อยสำหรับเฉิงอี้หรานแล้ว แม้เขาจะเคยซื้อขายแลกเปลี่ยนมาครั้งหนึ่ง แต่เขาก็ไม่เคยมาสถานที่แห่งนี้อย่างเป็นทางการมาก่อน 

 

 “คุณเฉิง คุณมีเรื่องอะไร ต้องการพบพวกเรางั้นเหรอครับ?” 

 

เฉิงอี้หรานพบว่าเสียงนี้ซ้อนทับกับเสียงพ่อค้าลึกลับในความทรงจำของเขา ความทรงจำอันคลุมเครือก็เหมือนถูกกระตุ้นให้ชัดเจนอีกครั้ง 

 

ครั้งก่อนภายในห้องอันมืดมิด เขามองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของพ่อค้าคนนั้น ในครั้งนี้เขาก็ยังมองไม่เห็นเพราะหน้ากากที่กำลังยิ้มเยาะใบนี้ 

 

หน้ากากตัวตลกที่ดูตลกแต่มีความหมายอย่างอื่นด้วย 

 

เฉิงอี้หรานจ้องไปที่ตัวเจ้าของสมาคม…ครั้งนี้เขาไม่พบผู้หญิงที่อยู่ด้วยในครั้งก่อน 

 

 “คุณหลอกผม!” 

 

เฉิงอี้หรานรีบก้าวเท้าไปตรงหน้าของเจ้าของสมาคม นัยน์ตาฉายแววโมโห 

 

แต่ลั่วชิวกลับชี้ไปยังเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะที่ตัวเองนั่ง แล้วบริเวณที่เขาชี้ก็มีเก้าอี้เคลื่อนออกมา ก่อนพูดว่า “นั่งก่อนสิครับ คุณเฉิง”  

 

เฉิงอี้หรานยืนและประกาศเหตุผลที่เขามาอีกครั้ง “คุณหลอกผม” 

 

 “ไม่ทราบว่า หลอกของคุณเฉิงหมายถึงอะไรครับ?” ลั่วชิวถาม 

 

เฉิงอี้หรานเหวี่ยงกีตาร์ที่แบกอยู่ด้านหลังออกมา และกล่าวโทษว่า “ครั้งก่อนคุณพูดว่าอะไร? คุณบอกว่าแค่มีมัน ผมก็จะ…แต่ตอนนี้ล่ะ? คุณรู้หรือเปล่าว่าในอินเทอร์เน็ตผมถูกว่ายังไงบ้าง? ว่าเป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวง! ว่าเป็นคำโกหกที่สร้างจากเงิน!!” 

 

 “ครับ” ลั่วชิวพยักหน้า ไม่ตอบแต่ถามกลับว่า “คุณเฉิงรู้สึกว่าปฏิกิริยาของคนที่ฟังคุณเล่นในสตูดิโอ ก็เป็นภาพมายาด้วยงั้นเหรอครับ?” 

 

เฉิงอี้หรานยิ้มเยาะ “คนที่อยู่ที่นั่น…จะมีประโยชน์อะไร? ถ้าหากเฉพาะคนที่อยู่ในพื้นที่ แล้วผมจะยืนด้วยลำแข้งสร้างรากฐานที่แท้จริงได้ยังไง! คุณขายสินค้าต่ำกว่ามาตรฐาน!” 

 

ลั่วชิวมองตรงเข้าไปในดวงตาของเฉิงอี้หรานและเอ่ยว่า “กีตาร์ด้ามนี้ทำให้คนที่ได้ยินเสียงมันรู้สึกหลงใหลได้ แต่มันก็มีขอบเขตประมาณหนึ่งร้อยเมตรและแน่นอนว่าขอเพียงได้ยินเสียงมัน จิตใต้สำนึกก็จะบอกให้ชอบมันในทันที ความหลงใหลนี้จะคงอยู่ต่อเนื่องยาวนาน…ส่วนจะยาวนานแค่ไหนก็ต้องแล้วแต่ว่าคนฟังจะไม่ได้ฟังเสียงของมันนานแค่ไหน” 

 

เฉิงอี้หรานพูดอย่างโกรธจัดกว่า “หรือแบบนี้ยังไม่เรียกว่าสินค้าต่ำกว่ามาตรฐานอีก?!” 

 

เจ้าของสมาคมลั่วเอ่ยว่า “ในทางทฤษฎี คุณที่ถือมันสามารถเคลื่อนที่ได้…คุณเคลื่อนที่ไปที่ไหนก็ได้ในโลกใบนี้ ทำให้คนธรรมดาทุกคนในโลกนี้รู้จักคุณ” 

 

เฉิงอี้หรานโมโหมากเอ่ยว่า “หรือทั้งชีวิตนี้ผมต้องออกไปดีดกีตาร์ทั่วทุกมุมโลกถึงจะได้? น่าขำสิ้นดี!!” 

 

เจ้าของสมาคมลั่วกลับเอ่ยว่า “คุณเฉิง…ก่อนที่คุณจะซื้อมัน คุณก็รู้สึกว่า ‘เพียงแค่ได้ฟังก็ชอบ’ เป็นเรื่องน่าตลกด้วยงั้นเหรอครับ อีกอย่าง ตอนแรกคุณคิดจะประสบความสำเร็จ หวังจะมีชื่อเสียง…หรือว่าตอนนี้คุณไม่ได้อยู่บนเส้นทางของการมีชื่อเสียง? คุณลูกค้า คุณกลายเป็นประเด็นพูดคุยในเมืองแล้วไม่ใช่เหรอ หากอิทธิพลขยายไปเรื่อยๆ เสียงคัดค้านก็จะค่อยๆ หายไป กาลเวลาจะพิสูจน์คุณค่าของมันเอง” 

 

เฉิงอี้หรานชะงัก พูดไม่ออกอยู่นาน! 

 

แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเขาสามารถสงบอารมณ์ของตัวเองได้แล้ว เขายังคงไม่พอใจและโวยวาย “แต่คุณ…ไม่ได้บอกผมตั้งแต่แรก!” 

 

 “คุณลูกค้า ก็คุณไม่ได้ถามผม” 

 

เจ้าของสมาคมลั่วส่ายหน้าและเอ่ยว่า “ต้องการให้ผมระลึกความทรงจำให้คุณสักหน่อยไหม? ในคืนวันนั้น…ตอนคุณได้มันไปก็ดีใจมาก โอบกอดมันมองผม…ยังจำได้ไหม? ตอนนั้นคุณมองผมเพียงแค่แวบเดียวก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะกลัวว่าผมจะเอามันคืน…แล้วก็หันหน้าทำท่าเหมือนหนีไป” 

 

เฉิงอี้หรานถอยหลังติดต่อกันสองก้าว ร่างกายเย็นเฉียบ…คืนวันนั้นเขาเป็นแบบนั้นจริงๆ! 

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อค้าลึกลับคนนี้ เหมือนเขาจะถูกฉีกภาพลักษณ์จอมปลอมออกทั้งหมด ความชั่วร้ายน่าเกลียดในใจถูกเปิดเปลือยออกมาทั้งหมด…แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกขยะแขยง! 

 

ตัวเองขยะแขยงตัวเอง! 

 

เขารู้สึกกลัวเกือบถึงขีดสุด! 

 

เฉิงอี้หรานสีหน้าซีดขาว มีความรู้สึกหวาดกลัวสามส่วน ละอายสามส่วน อึดอัดสามส่วนและโมโหอีกหนึ่งส่วน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ข่มให้ตัวเองสงบลง “กีตาร์ด้ามนี้…มันยังมีข้อจำกัดอะไรอีกไหม?” 

 

 “นอกจากขอบเขตแล้ว…” ลั่วชิวพูดเบาๆ “ถ้ามีวันไหนที่ทำนองในใจของคุณเปลี่ยนแปลง เวทมนตร์ของมันก็จะเสื่อม” 

 

 “ทำนองในใจของผมเปลี่ยนแปลง…” ทันใดนั้นเฉิงอี้หรานก็เงยหน้าขึ้นมา “หมายความว่ายังไง?” 

 

 “คุณลูกค้า นี่เป็นเรื่องที่ตัวคุณต้องคิดเอง” 

 

ทันใดนั้นลั่วชิวก็ยืนขึ้นมา โบกมือและเอ่ยว่า “ถ้าไม่มีปัญหาอื่นเกี่ยวกับตัวคุณลูกค้าเองแล้ว การสอบถามในวันนี้ก็จะสิ้นสุดลงตรงนี้…อีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากคุณจงคนนั้นต้องการทราบเรื่องอะไร เขาก็มาสอบถามด้วยตัวเองได้” 

 

เฉิงอี้หรานตกตะลึง 

 

พริบตาเดียว 

 

เขาก็กลับมาถึงบริเวณที่เฉิงอวิ๋นจอดรถให้เขาลงแล้ว