ส่วนอีกทิศทางหนึ่งมีเสียงกีบเท้าม้าถี่กระชั้นดังขึ้น กังวานก้องทางหลักเงียบสงัดแห่งนี้
เสียงกีบเท้าม้าหนักหน่วง กระทบพื้นดินที่น้ำฝนสาดกระเซ็น พื้นดินทั่วทั้งพระราชวังคล้ายกำลังสั่นสะเทือนเล็กน้อย
สีหน้าของกงอิ้นเย็นชาแลหนักแน่นเช่นกัน ทางหลักสงบเงียบแห่งนี้หากไม่ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษไม่อาจควบอาชา บัดนี้ซังต้งคงเสียสติจริงแล้ว ถึงสั่งให้องครักษ์ใต้บัญชาเหล่านี้ควบอาชาโดยพร้อมเพรียงกัน
เสียงกีบเท้าถี่กระชั้น เพียงแต่ระหว่างครู่นั้นเอง
เหล่าขุนนางสำคัญที่รีบตามมา มองดูองครักษ์ที่สวมชุดองครักษ์กองเซ่นไหว้สีแดงกองใหญ่กองหนึ่งอย่างปากอ้าตาค้าง ทหารม้าเกราะหนักย่ำเหยียบหลุมธารนับมิถ้วน ดุจเมฆเพลิงผืนหนึ่งพัดผ่านทางหลัก ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าสุดหลบหลีกไม่พ้น
เหมิงหู่กับอวี่ชุนมีสีหน้าโกรธแค้น ร้องว่า “นายท่าน! พวกเขากล้าควบอาชาภายในวัง! ขอให้พวกข้าน้อยใช้ธนูยิงสังหาร!”
กงอิ้นสะบัดมือเพียงครั้ง
อีกด้านหนึ่งจิ่งเหิงปัวคว้าจื่อหรุ่ยไว้ กล่าวอย่างร้อนรนว่า “หาเกราะป้องกันหัวใจมาให้ข้า…” พอหันหน้ามองเห็นเหมิงหู่เหินกายขึ้นมาพอดี ร่างอยู่กลางอากาศ กำลังจะออกคำสั่งกับพลธนูใต้กำแพง
นาางตะโกนด้วยเสียงตกใจว่า “อย่าเหินขึ้นมา…”
แต่สายไปเสียแล้ว
“ปัง”
เสียงหนึ่งดังสนั่น แรงทะลุผ่านยิ่งใหญ่ แทบจะดังก้องทั่วพระราชวัง น้ำฝนผืนใหญ่ผืนโตถูกคลื่นเสียงสะท้านสลาย สาดลงบนใบหน้าเหล่าขุนนางสำคัญที่รีบตามมาดังซู่ซ่า ผู้ที่วิ่งอยู่ข้างหน้าสุดถูกเสียงนั้นทำให้ตื่นตกใจดุจระเบิดดังที่ข้างหู โงนเงนโซเซครั้งหนึ่งแล้วอ่อนแรงล้มลงสู่พื้นฝน
เสียงดังเพียงเสียงหนึ่ง ทว่าคล้ายดั่งเสียงดังมากหลายนัก ทอดยาวไม่สิ้นสุด พระราชวังสั่นเทาท่ามกลางคลื่นเสียง เรือนร่างของเหมิงหู่กำลังสั่นเทากลางอากาศเช่นกัน ทุกคนต่างมองเห็นดอกไม้โลหิตที่ระเบิดออกมากลางอากาศแทบจะในพริบตา
ย้อมม่านพิรุณให้แดงฉาน แล้วร่วงโรยอย่างดุเดือด
ทุกคนใจเต้นดุจรัวกลอง เงยหน้าอย่างตกตะลึง มองเห็นทหารม้าข้างหน้าที่สุดยืนอยู่บนหลังม้าไม่รู้ตั้งแต่ยามใด สองมือกุมสิ่งของคลุมผ้าดำชิ้นหนึ่ง มือทำท่าทางยกขึ้นเพียงน้อย ของสิ่งนั้นกำลังพ่นควันครามออกมาเล็กน้อย ดวงตาดวงคนผู้นั้นไร้ความรู้สึกดุจอินทรีท่ามกลางแสงควันของฝนตกหนัก
“อาวุธวิเศษเคลื่อนไหว…” ขุนนางบางส่วนเปล่งเสียงตะโกนยาวที่ไม่อาจควบคุมออกมา บางคนก้มกราบท่ามกลางฝนตกหนักปานฟ้ารั่ว
เงาขาวกะพริบวูบ กงอิ้นอยู่กลางอากาศแล้ว มือหนึ่งรับเหมิงหู่ไว้ เขาคล้ายบันดาลโทสะอย่างแท้จริงในที่สุด หันกายเพียงครั้งแสงเงินกะพริบวูบจากแขนเสื้อ เสียงแหลมคมไม่สิ้นกลางอากาศ สายฝนถูกขัดจังหวะในพริบตา ปรากฏสุญญากาศโปร่งแสงผืนหนึ่ง แสงเงินกะพริบวูบตามเส้นทางสุญญากาศ พุ่งตรงสู่ทหารม้าที่ยิงปืนผู้นั้น
ทหารม้ายกปืนโดยสำนึกทว่าช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว พริบตาต่อมาเขาร่วงลงจากหลังม้า หลุมโลหิตบนหน้าอกใหญ่ยิ่งกว่าบนหัวไหล่เหมิงหู่นั้นเสียอีก
“อาวุธวิเศษ” ที่คลุมด้วยผ้าดำนั้นร่วงหล่นจากหลังม้าตามเขาด้วย มือเปล่าคู่หนึ่งควานเพียงครั้งคว้าสิ่งของเอาไว้ ซังเชี่ยวผู้เป็นเจ้าของมือหันกายเพียงครั้ง เข้ารับช่วงต่อจากทหารม้าเมื่อครู่แล้ว ยืนอยู่บนหลังม้า “อาวุธวิเศษ” ในมือยกขึ้นเพียงน้อย เล็งไปยังกงอิ้น
ฝนตกหนักซู่ซู่
ทุกผู้คนต่างเลือนรางพร่ามัวกลางม่านพิรุณ
ฝนตกหนักดั่งฟ้ารั่ว ทอดยาวไม่สิ้นสุด ทว่าบรรยากาศตึงเครียดคล้ายกระชากเพียงครั้งย่อมสะบั้นสลาย
ยามนี้กงอิ้นรับเหมิงหู่ไว้ กำลังก้มหน้ามองบาดแผลเขา
นิ้วมือของซังเชี่ยวเหนี่ยวรั้งไกปืน ทว่าปรากฏความลังเลสายหนึ่ง
นางนึกไม่ถึงว่ากงอิ้นจะปล่อยขุนนางสำคัญเข้าวัง ยามนี้เหล่าขุนนางใหญ่อยู่ที่นี่ทุกคน หวังยิงกระสุนสังหารผู้นำลำดับหนึ่งแห่งต้าฮวงภายใต้ดวงตาหลายคู่ขนาดนั้น หากยิงออกไป จะเป็นเรื่องใหญ่สะท้านโลกหล้า สตรีตระกูลซังผู้นี้ อดจะตึงเครียดเล็กน้อยไม่ได้
นิ้วมือจะเหนี่ยวไกปืนยังไม่ได้เหนี่ยว เงาคนกะพริบวูบฉับพลัน จิ่งเหิงปัวปรากฏบนกำแพงแล้ว
เรื่องแรกที่นางกระทำคือพุ่งชนกงอิ้นที่กำลังลงสู่สันกำแพง พุ่งชนเขาให้ร่วงจากสันกำแพง!
“อย่าเหินสูง ข้ามีวิธี!”
เสียงแหบแห้งเล็กน้อยของสตรีดังก้องบนสันกำแพง แขนเสื้อพลิ้วไหวท่ามกลางลมพายุฝนตกหนัก อสนีบาตกะพริบวูบผันผ่านใต้ม่านนภา สาดส่องเงาร่างที่กำลังทะยานขึ้นของนางจนพลันสว่างพลันมืด
ซังเชี่ยวเงยหน้าฉับพลัน
นางนั่นล่ะ!
ราชินีองค์ใหม่!
ราชินีที่เอ่ยกันว่าผิดมารยาทประเพณี ใจกล้าบ้าบิ่น หลอกลวงทุกผู้คนครั้งหนึ่งในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ ยิ่งเ**้ยมหาญบุกสถานที่สำคัญเช่นจิ้งถิง บังคับให้พี่หญิงเดิมพันกับนาง ส่งตระกูลซังเข้าสู่สถานการณ์สิ้นหวัง!
ยังไม่ทันได้ขึ้นครองราชย์ก็เล่นลูกไม้ออกมามากมายขนาดนี้ จะให้นางอยู่รอดได้อย่างไร?
นิ้วมือสะท้านเพียงครั้ง ผ้าดำร่วงพื้น ปากกระบอกปืนพลันยกขึ้น เล็งไปยังจิ่งเหิงปัวอย่างแน่วแน่ยิ่งกว่าเมื่อครู่
“ด้วยพระนามแห่งเทพประทาน ด้วยพลังปฎิหาริย์ร้อยปีแห่งตระกูลกองเซ่นไหว้ วันนี้” เสียงของซังเชี่ยวหนาวเหน็บยิ่งกว่าเสียงฝน เอ่ยสืบต่อว่า “ข้าสกุลซังจะใช้อาวุธวิเศษที่สวรรค์ประทาน สังหารราชินีจิ่งเหิงปัวผู้อาศัยพลังแห่งมารร้ายทำลายหอคอยสูงศักดิ์สิทธิ์ของเรา ผู้ฝ่าฝืนต่อต้าน ผู้ขัดขวาง ผู้ขอความเมตตา ขอสวรรค์ลงโทษ อสนีบาตสังหารสิ้นชีพ!”
“ครืน” เสียงหนึ่ง ฟ้าร้องสายหนึ่งผ่าลงบนท้องฟ้าคล้ายดั่งเป็นเชิงอรรถให้วาจาของนาง ฟ้าแลบสีขาวโพลนแบ่งแยกท้องนภา
ซังเชี่ยวยืนบนหลังม้าดุจอยู่ที่ราบ ยืนตระหง่านไม่ขยับเขยื้อน ปากกระบอกปืนในมือมั่นคง น่าครั่นคร้ามดุจดวงเนตรดำทะมึนขนาดมหึมา
พอเทียบกันแล้ว จิ่งเหิงปัวที่ยืนโอนเอนอยู่บนกำแพง ถูกฝนตกหนักลมแรงกระทบจนโคลงเคลงไปมา ดูท่าทางจนตรอกและน่าตลกขบขัน
มองท่าทางขยับสองมือมั่วซั่วของนาง ดั่งจะถูกสายฝนโจมตีสายลมพัดพาไปในพริบตา
สายฝนบ้าคลั่ง บรรยากาศอึดอัดดุจมรณะ หัวใจทุกดวงล้วนถูกวางไว้ตรงคอหอย รอคอยการลอบสังหารครั้งหนึ่งซึ่งเพียงพอจะกระทบต่อสถานการณ์แคว้นทั่วทั้งต้าฮวง
แม้เพียงชั่วพริบตา ทว่าประดุจชั่วชีวิต
พลันมีเสียงสามเสียงทำลายไอสังหารยามนี้
“ลงมา!” เงาขาวกะพริบวูบพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ขวางกั้นเบื้องหน้าจิ่งเหิงปัว
“ช้าก่อน!” เงาดำดุจเหยี่ยวทุ่งแถบเหนือสายหนึ่งในสำนักเจาหมิง พุ่งทะลุออกมาสามจั้ง
“ไสหัวไป!” เงาคนสีเหลืองอ่อนปรากฏข้างหลังซังเชี่ยวปานภูตพราย ฝ่ามือหนึ่งฟาดไปทางกลางหลังของนาง
ในขณะเดียวกัน
นิ้วมือของซังเชี่ยวแนบแน่นเพียงครั้ง
จิ่งเหิงปัวโน้มกายลงข้างล่างทันที
“ปัง”
การดังขึ้นของเสียงหนึ่งนี้ยังคงทำให้คนไร้ซึ่งการตระเตรียมแม้แต่น้อย ดุเดือดแตกร้าวยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ เปี่ยมด้วยความบ้าคลั่งของการทำลายล้างและการสังหาร ฝนตกหนักทั่วท้องฟ้าคล้ายหยุดลงชั่วครู่
“อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องสั่นสะเทือนแก้วหูมนุษย์ยิ่งกว่าเสียงอสนีบาต พาให้คนกังวลว่าคอหอยที่เปล่งเสียงกรีดร้องนั้นครู่หนึ่งนี้ได้แตกร้าวแล้วหรือไม่
ควันดำกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มดอกไม้โลหิตลอยล่องขึ้น ลวดขดเกลียววงล้อมไกปืนที่ระเบิดปลิวว่อนระคนด้วยเนื้อหนังมังสาที่แหลกเหลว โปรยปรายกลายเป็นฝนเลือดเนื้อบ้าคลั่งอีกครั้งกลางสายฝนตกหนัก
เงาคนสามสายหยุดชะงักกลางอากาศ ต่างคนต่างตกตะลึงเงยหน้าอย่างเหลือเชื่อ
เหล่าขุนนางที่คุกเข่าหมอบกราบท่ามกลางฝนตกหนัก เงยใบหน้าทีมีน้ำฝนหลั่งรินขึ้น อ้าปากกว้าง กลืนสายลมสายฝนเจือโลหิตทีละอึก
องครักษ์คั่งหลงรวมทั้งองครักษ์กองเซ่นไหว้ที่ต่างคนต่างเตรียมพร้อมพุ่งออกไป ขาที่ยกขึ้นมาค้างอยู่กลางอากาศ กระบี่ออกจากฝักเพียงครึ่ง ตัวกระบี่ที่สว่างราวหิมะเปรอะเปื้อนเลือดเนื้อที่ถูกน้ำฝนซัดกระเซ็นจนสิ้น
เลือดเนื้อซึ่งเป็นของซังเชี่ยว
ท่ามกลางความเงียบสงบราวหยุดหายใจผืนหนึ่ง มีเพียงเสียงกรีดร้องของซังเชี่ยวทอดยาวไม่สิ้นสุด นางยกแขนที่เหลือเพียงข้อศอกครึ่งท่อนขึ้น ล้มลงไปข้างหลังอย่างน่าเวทนา
ดุจดั่งท่วงท่าเชื่องช้าท่วงท่าหนึ่ง นางลอยล่องลงปานใบไม้ร่วง อาภรณ์สีดำและเส้นผมสีดำย้อมโลหิตโรยราบนพื้นฝนโคลนเลน
ในขณะเดียวกันนั้นเอง จิ่งเหิงปัวที่สูญสลายสู่ข้างล่างกำแพง ปรากฏกายบนสันกำแพงอีกครั้ง
เสื้อของนางเปียกโชก ทรวดทรงพาผู้คนตื่นตะลึง เส้นผมยาวกลุ่มหนึ่งแนบตรงขมับ บดบังแววตารุ่งโรจน์แพรวพราวกลางฝนตกหนัก
นางมองดูชิ้นส่วนเศษซากทั่วพื้นนั้นด้วยความโศกเศร้า เหล็กกล้าสีดำเปล่งแสงครามคล้ำระยิบระยับ นั่นคืออาวุธยิ่งใหญ่ที่สุดที่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของยุคสมัยนี้ สูญสลายไปตลอดกาลในครู่หนึ่งนี้
บางครั้ง สิ่งของที่ไม่ควรเป็นส่วนหนึ่งของยุคสมัยนี้ สุดท้ายแล้วอยู่ได้ไม่นาน
ซังเชี่ยวไม่ควรเอ่ยวาจาท่อนใหญ่ท่อนหนึ่งขนาดนั้นเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงเกียรติยศของตระกูลก่อนยิงปืน
ช่วงระยะเวลานั้น เพียงพอให้จิ่งเหิงปัวกวัดแกว่งแขน ใช้พลังเคลื่อนย้ายควบคุมหินก้อนเล็กก้อนหนึ่งอุดลำกล้องเอาไว้
อาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยถูกทำลายด้วยหินก้อนเล็กก้อนหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวหันหน้าให้ซากปืนบนพื้น จัดแต่งจอนผม เคาะแก้มขึ้นมาดัง “เปาะ” แผ่วเบาเสียงหนึ่ง
“ลำกล้องระเบิดแล้ว” นางกล่าว