ถ่ายรูป ไลฟ์สตรีมในบ้านผีสิง เฉินเกอให้อภัยได้ มันยังอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้ อย่างไรเสีย มันก็นับเป็นวิธีหนึ่งในการโฆษณาบ้านผีสิงของเขา

แต่ว่า ปลอมตัวมาหลอกคนของเขานั้นล้ำเส้นเกินไปแล้ว

สำหรับเฉินเกอ นี่เป็นการกระทำอันมุ่งร้ายและควรได้รับการลงโทษ บ้านผีสิงนั้นเป็นทุกอย่างที่เฉินเกอมี และเมื่อจำนวนผู้เข้าชมก็เพิ่มขึ้นก็มีคนเข้ามาสร้างปัญหา ถ้าเขาเผยจุดอ่อนออกไปเพียงสักครั้งก็คงจะเท่ากับเชื้อเชิญปัญหาเข้ามามากขึ้นในอนาคต

เมืองหลี่ว่านนั้นเป็นฉากระดับ 3.5 ดาว ตั้งอยู่ระหว่างฉากระดับสามดาวและสี่ดาว เฉินเกอนั้นเพิ่งปลดล็อกฉากนี้ และเขาก็ยังไม่ได้สำรวจมันละเอียดนัก ดังนั้นความยากจึงยังไม่ได้สูงขนาดนั้น อันที่จริง ฉากเมืองหลี่ว่านยังมีขุมสมบัติลึกลับอีกมากมายรอให้เฉินเกอสำรวจ อย่างเช่นหมอกที่ดูเหมือนจะปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าและยังภารกิจลับที่ติดมากับฉากอีก

เขาต้องการเวลาอีกมากเพื่อที่จะทำความเข้าใจกับฉากนี้ได้ครบถ้วน และเวลาก็เป็นสิ่งที่เฉินเกอขาดแคลนที่สุดตอนนี้

ถ้ามีเวลาว่างมากพอ ฉันต้องทำฉากนี้ให้สมบูรณ์ แต่ตอนนี้ ฉันต้องจัดการกับปัญหาตรงหน้าก่อน

เฉินเกอสวมชุดคุณหมอนักเจาะกะโหลกและยืนอยู่ที่ทางแยก– นั่นเป็นเส้นทางที่ผู้เข้าชมต้องใช้หากจะออกจากฉาก

เครื่องแบบหมอเปื้อนเลือดนั้นชัดเจนอยู่ในหมอก และยังเสียงครูดของโซ่ที่ลากไปบนพื้น เฉินเกอเดินออกมาจากหมอก ภายใต้หน้ากากที่ทำจากหนังมนุษย์ ดวงตาเย็นชาคู่หนึ่งจับจ้องหลี่ซางอิ๋นอย่างเงียบ ๆ มันไม่ใช่สายตาที่เป็นของคนเป็น– มันเต็มไปด้วยความเย็นเยียบที่บรรยายออกมาไม่ได้

หลายปีที่เขาทำงานอยู่ที่สถาบันฝันร้าย หลี่ซางอิ๋นเคยพบกับนักแสดงมืออาชีพมากมาย และเขาก็ยืนยันได้ว่าสายตาที่กำลังจับจ้องเขาอยู่นั้นไม่ได้เกิดจากการแสดงอันสมจริง ดวงตาคู่นั้นเหมือนเคยพบปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติและฝันร้ายมากมายมาแล้ว

เครื่องสำอางบนใบหน้าของเขานั้นเละเทะ เมื่ออยู่ในสถานการณ์นี้ หลี่ซางอิ๋นก็รู้ว่าเขาจนมุมแล้ว การวิ่งเตลิดไปอย่างไร้จุดหมายนั้นมีแต่จะท้าทายผู้ชายคนนี้ ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก็คือยอมแพ้อย่าดิ้นรน ด้วยวิธีนั้น เขาอาจจะรอดชีวิตไปโดยที่ยังเหลือเศษเสี้ยวความภาคภูมิใจเอาไว้ได้

“คุณเป็นพนักงานบ้านผีสิงใช่ไหม?” หลี่ซางอิ๋นเค้นรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า “ผมยอมแพ้ คุณช่วยพาผมกลับออกไปได้ไหม?”

“คุณเป็นหนึ่งในผู้เข้าชมเหรอ?” เสียงของเฉินเกอดังมาจากใต้หน้ากาก เสียงของเขาแหบราวกับกำลังเคี้ยวบางอย่างที่แข็ง ๆ อยู่ในปาก

“ใช่ ผมลงชื่อในใบยินยอมก่อนที่จะเข้ามา ชื่อของผมคือ…”

ก่อนที่หลี่ซางอิ๋นจะทันพูดจบ เฉินเกอก็ตัดบทเขา “ผู้เข้าชมวันนี้ไม่มีคนท้อง กล้องวงจรปิดของพวกเรามองเห็นทุกอย่างชัดเจน พวกเราไม่อนุญาตให้คนท้องเข้าบ้านผีสิง ดังนั้นคุณย่อมไม่ใช่หนึ่งในผู้เข้าชมของพวกเรา” เฉินเกอพูดอย่างมั่นใจเหมือนกำลังพูดความจริง

“คนท้อง? ใครท้อง? ผมเป็นผู้เข้าชม ผมยอมแพ้แล้ว ดังนั้นช่วยนำผมออกไปเดี๋ยวนี้” หลี่ซางอิ๋นเริ่มตื่นตระหนก ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ เขาเอาแต่บอกว่าหลี่ซางอิ๋นเป็นคนท้อง และนั่นก็เป็นข้ออ้างที่จะใช้บีบให้เขาอยู่ที่นี่ต่อ

“คุณไม่ใช่คนท้อง? ผมเห็นทุกอย่างชัดเจนกับตาตัวเอง คุณสวมชุดคลุมท้องและยังมีเสียงสูงกับใบหน้าสวย ๆ นั่น ไม่มีผู้เข้าชมคนไหนที่พวกเราต้อนรับให้เข้าฉากที่หน้าตาเหมือนคุณ” เฉินเกอเดินเข้าไปหาหลี่ซางอิ๋นช้า ๆ ลากค้อนไปด้วย “พูด อันที่จริงแล้วคุณเป็นใคร?”

“ผมชื่อหลี่ซางอิ๋น! ผมลงชื่อในใบยินยอม และใช่ เมื่อกี้นี้ผมแกล้งทำเป็นคนท้อง!” หลี่ซางอิ๋นสัมผัสได้ว่าเรื่องราวนั้นหลุดจากการควบคุมไปแล้ว เขารีบพูดความจริง กลัวว่าผู้ชายคนนี้จะลงมือกับเขาถ้าเขาอธิบายตัวเองช้าเกินไป

เฉินเกอหยุด และจากนั้นก็ถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ยอมพูดความจริง ถ้าอย่างนั้น ก็มีวิธีการโน้มน้าวอันดับถัดไป”

ได้ยินคำพูดของเฉินเกอ หลี่ซางอิ๋นก็สติหลุด “แต่ว่าผมกำลังบอกความจริงกับคุณนะ! ผมเป็นผู้เข้าชม! ปล่อยผมออกไป!”

“ผมไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล ถ้าคุณบอกความจริงผม ผมก็จะไม่ทำให้คุณยุ่งยากเกินไป แต่ถ้าคุณยังยืนกรานที่จะโกหกผม อย่างนั้นผมก็ต้องจัดการกับคุณเหมือนที่ผมจัดการกับพวกหัวขโมยน่าสงสารพวกนั้น” จู่ ๆ เฉินเกอก็เร่งฝีเท้า เขายกค้อนขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่หลี่ซางอิ๋น “พูด! คุณเป็นใคร!”

ค้อนที่ปกคลุมไปด้วยหนามขยายใหญ่ขึ้นในสายตาของหลี่ซางอิ๋น เขาไม่ได้อยากยืนอยู่ที่นี่ตอบคำถามเฉินเกอ แต่ว่า คำถามหนึ่งผุดขึ้นในใจเขา– ทำไมค้อนเหล็กนี่ถึงเต็มไปด้วยหนามและรางเลือด?

ค้อนกระแทกเข้ากับหน้าต่างที่อยู่ข้างตัวหลี่ซางอิ๋น ปูนแตกออก หลี่ซางอิ๋นผงะถอยไป เทียบกับ ‘หมอ’ ที่ขวางทางเขาอยู่นั้น ตอนนี้เขารู้สึกว่าชายแปลกหน้าในชุดคลุมยาวด้านหลังเขานั้นน่ารักขึ้นมาทันที

สมองของหลี่ซางอินนั้นทำงานต่างไปจากคนทั่วไป กระทั่งในเวลานี้ เขาก็ยังคงมีจิตใจกระจ่าง เขาหันกลับ และก่อนที่มือกรรไกรจะจับตัวเขาทัน เขาก็กระแทกผ่านประตูข้างตัวไปแล้ว เขาตั้งใจจะหนีออกไปทางหน้าต่างด้านหลัง

เฉินเกอย่อมไม่ปล่อยให้เขาหนีไปได้ เขาสั่งให้เขาขวางหน้าต่างนั่นไว้แล้วและให้มือกรรไกรคุมประตูด้านหลัง เขาเรียกพนักงานที่ว่างอยู่ทั้งหมดมาแล้วก้าวเข้าไปในตึกพร้อมกัน

“พวกเขาไปไหนแล้ว? ทำไมโทรศัพท์ถึงใช้การไม่ได้?” ชายลามกที่ชอบโชว์ร่างกายตัวเองเดินออกมาจากห้องตรงมุมหนึ่ง เขาถือโทรศัพท์เอาไว้แล้วบ่นอย่างโกรธ ๆ “บ้านผีสิงนี่มันบ้าอะไรกัน? ไม่มีพนักงานสักคน ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันคาดหวังไว้ตั้งขนาดไหนก่อนจะมาที่นี่”

ผลักประตูเปิดแล้วเขาก็ก้าวเท้าลงไปที่ถนน เมืองเต็มไปด้วยหมอก

“หมอกนี่มาตั้งแต่ตอนไหน?” ผู้ชายคนนั้นเหลือบมองนาฬิหา “การเข้าชมกำลังจะจบลงในหนึ่งหรือสองนาที ฉันกำลังจะเสียค่าเข้าชมห้าสิบไปเปล่า ๆ”

เขาก้มหน้าลง เริ่มค้นหาเป้าหมาย เขาแอบเห็นเงาในหมอกวูบวาบผ่านไป แต่ว่าเขาสนใจเฉพาะที่มีรูปร่างเหมือนผู้หญิง

“ในตึกนี่มีแสงออกมา ดังนั้นน่าจะมีคนอยู่ข้างใน” ผู้ชายคนนั้นเล็งเป้าหมายได้ในไม่ช้า ตอนที่เขาเดินผ่านห้องหนึ่ง เขาก็เห็นคนผู้หนึ่งในชุดคลุมท้องนั่งอยู่บนโซฟา

“ผีท้อง? นั่นจะต้องเป็นอะไรที่แปลกใหม่” ผู้ชายคนนั้นหัวเราะลามก เขากระโดดเข้าไปทางหน้าต่างและเริ่มปลดกระดุมเสื้อโค้ตของเขา ดึงเสื้อโค้ตออก เขารอให้นักแสดงกรีดร้อง แต่ว่าผ่านไปหลายวินาที ห้องก็ยังคงเงียบ

“เกิดอะไรขึ้น?” เขาก้มหน้าลงไปและเห็นหลี่ซางอิ๋นในชุดคลุมท้องไถลลงไปกับโซฟาช้า ๆ เขามีน้ำลายฟูมปาก และร่างกายของเขากระตุกเรื่อย ๆ เขาดูเหมือนกำลังจะลาโลกแล้ว

“หลี่ซางอิ๋น?” ผู้ชายคนนั้นใบหน้าซีดเผือด แต่ก่อนที่เขาจะตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เงาบิดเบี้ยวแขนขาขาดก็เริ่มปรากฏขึ้นจากตรงมุมห้อง “นี่มันอะไรกัน? นี่มันเชี่ยอะไร? หยุด! อย่าเข้ามาใกล้นะ!”

ตอนที่ทุกอย่างเงียบลงไปอีกครั้ง เฉินเกอก็หยุดบันทึกวิดีโอบนโทรศัพท์ของเขาและเดินออกมาจากห้องนอน

“พนักงานบ้านผีสิงพุ่งเข้าไปเพื่อช่วยตอนที่ไอ้คนทุเรศนี่กำลังจะจู่โจมผู้เข้าชม” หลังจากบันทึก ‘หลักฐาน’ เรียบร้อยแล้ว เฉินเกอก็เดินออกจากห้อง เขาออกจากฉากไปหารถเข็นมา

“พอมีฉากใหม่แล้วก็เหมือนว่ารถเข็นสองสามคันนี่จะไม่พอแฮะ” เฉินเกอให้ถงถงบอกให้พนักงานคนอื่น ๆ ส่งผู้เข้าชมออกมาที่ทางเข้าฉาก