เสียงความเคลื่อนไหววุ่นวายไหลเข้าหูเขา และผิวของเขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ซึ่งเขาเหมือนจะไม่ได้สัมผัสมานาน มีคนจับมือเขาเอาไว้แน่น และความรู้สึกที่เหมือนกำลังตกเหวลงไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็หายไป เปลือกตาหนักเหลือเกินนั้นขยับช้า ๆ เปิดเป็นช่องเล็ก ๆ
“หมอ! เขาไม่เป็นไรใช่ไหม? มันเป็นเรื่องปกติที่พวกเราจะเป็นลมตอนที่เข้าบ้านผีสิง แต่ว่าไม่มีใครในพวกเราหมดสติไปนานขนาดนี้มาก่อน! เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว!” เสียงคุ้นเคยดังเข้าหัวเขา มันเหมือนมีคนกำลังเรียกเขาอยู่ที่ริมขอบสรวงสวรรค์ สติของเขากลับคืนมาอย่างช้า ๆ และความทรงจำของเขาก็กลับมาสู่สมอง
ฉันกำลังเข้าชมบ้านผีสิง ใช่ ฉันจำได้แล้วตอนนี้
หวังตั้นพยายามลืมตาทั้งสองข้างขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามอย่างที่สุดแล้ว สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือลืมตาขึ้นนิดเดียว
*หยางเฉิน? ประธานองค์กรนักศึกษา? รุ่นพี่ปีสี่? ทำไมถึงมีคนเยอะขนาดนี้…*หวังตั้นอยากพูด แต่ว่าริมฝีปากซีดเผือดของเขานั้นขยับไม่ไหว
“เอิ่ม… น่าจะไม่มีปัญหาอะไรนะ ไม่ต้องห่วง จากประสบการณ์ของพวกเราแล้ว เขาน่าจะตื่นขึ้นในไม่ช้าแล้ว” หมอกระแอมแห้ง ๆ “อย่ามามุงอยู่รอบ ๆ ถอยไปหน่อย! ให้มีอากาศหมุนเวียน”
หมอและพนักงานสวนสนุกขอให้คนอื่น ๆ ถอยออกไปอย่างสุภาพ หวังตั้นมองไปทางเสียงพวกนั้น ตอนนี้เขานอนอยู่ตรงด้านหน้าบ้านผีสิง และรอบ ๆ ตัวเขานั้นก็คือผู้เข้าชมที่มามุงดูเหตุการณ์ พวกเขายังพูดคุยกันเอง บางคนยังยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูป บางคนกำลังถ่ายวิดีโอ และยังมีอีกหลายคนกำลังไลฟ์ลงออนไลน์
ฉันคิดว่าหมดสติต่อไปน่าจะดีกับตัวฉันมากกว่า หวังตั้นพยายามหันหน้าหนีไปอีกข้าง เขาไม่อยากจะขึ้นหน้าหนึ่งออนไลน์จากการหมดสติอยู่ที่บ้านผีสิง ดวงตาของเขาขยับนิด ๆ แต่ที่ปลายหางตา หวังตั้นพบว่าเขาไม่ได้โดดเดี่ยวเลย
ผู้เข้าชมสิบคนถูกวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบที่ยกพื้นหน้าบ้านผีสิง และใบหน้าของพวกเขาล้วนคุ้นเคย พวกเขาเข้าไปที่นั่นด้วยกัน และตอนนี้ ก็มานอนอยู่เคียงข้างกัน บางทีนี่อาจจะเป็นการรวมพลังกันของคนในกลุ่ม เห็นเพื่อนร่วมทีมแล้ว หวังตั้นก็ไม่รู้สึกแย่กับตัวเองอีกต่อไป และเขาก็หลับตาลงช้า ๆ อย่างน้อยที่สุด ฉันก็ได้เป็นวีรบุรุษอยู่หลายนาที…
คลื่นความร้อนรุนแรง แต่ว่าก็ไม่พอที่จะขัดขวางความต้องการของผู้เข้าชม ฉากระดับ 3.5 ดาวเปิดสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก และผู้เข้าชมทั้งสิบคนก็หมดสติ นี่อธิบายได้แค่ว่า ยอดเยี่ยมไปเลย
“เชี่ย! ขอบคุณที่ฉันไม่บ้าทำตามแรงกระตุ้นของตัวเองแล้วพุ่งตัวเข้าไป นั่นน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตฉันแล้ว!”
“ฉากใหม่นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว! ฉันได้ยินบอสเฉินบอกว่านี่เป็นแค่ขั้นเริ่มต้นสู่ฉากระดับสี่ดาว และความยากของมันก็อยู่ระหว่างฉากระดับสามดาวและสี่ดาวเองนะ!”
“ถ้าปิศาจมีชื่อแซ่ มันต้องแซ่เฉินแน่ ๆ!”
“บอสเฉิน เพื่อน! มีคุณอยู่ตรงนี้ สวนสนุกนิวเซนจูรี่ก็เรียกได้ว่าได้ฟื้นฟูสู่ยุคที่สอง คุณอยากจะพูดคุยแบ่งปันไหมว่าคุณทำอย่างนี้ได้อย่างไร?”
เฉินเกอผลักรถเข็นออกมาแล้วถูกผู้เข้าชมล้อมเอาไว้ เขาไม่คิดว่าการจัดการกับผู้เข้าชมทั้งสิบคนเลยจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้
“อย่างแรกเลย ผมยินดีที่บ้านผีสิงได้รับการต้อนรับจากทุก ๆ คน บ้านผีสิงนี่เป็นทุกอย่างที่พ่อกับแม่ของผมเหลือเอาไว้ให้ผม และนี่ก็เป็นโครงการตลอดชีวิตของผม ผมพูดได้เท่านี้แหละครับ”
เฉินเกอหาลุงซูเจอในฝูงชน เขาตัดสินใจใช้โอกาสนี้เผยแพร่ชื่อเสียงของฉากระดับ 3.5 ดาวออกไป และในเวลาเดียวกัน ยังโฆษณาถึงฉากระดับสี่ดาวที่กำลังจะเปิดตัว แต่ว่า เขาก็ต้องประหลาดใจ ผลลัพธ์นั้นดีกว่าที่เขาคาดเอาไว้ ผู้เข้าชมนั้นตื่นเต้นที่เขาถูกล้อมเอาไว้ได้
“บอสเฉิน! พวกเรารู้ว่าการสร้างบ้านผีสิงมันไม่ง่าย การตามหาแรงบันดาลใจ เขียนเรื่องราว ออกแบบอุปกรณ์ประกอบฉาก… คุณต้องเผชิญหน้ากับเรื่องยุ่งยากมากมายใช่ไหม? ความเชื่อแบบไหนกันที่ทำให้คุณผ่านทั้งหมดนี้มาได้?”
เห็นประกายตาของเหล่าผู้เข้าชมแล้วเฉินเกอก็พบว่ามันยากที่จะปฏิเสธพวกเขา “ผมทุ่มเทให้กับบ้านผีสิงมาก ตั้งแต่การสร้างฉากต้อนรับผู้เข้าชม ความคาดหวังและความสนุกนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนอื่น ๆ จะสามารถมองเห็นได้ ดังนั้น ความยากที่คุณพูดถึงนั้นก็เทียบกับอะไรไม่ได้จริง ๆ ความรู้สึกรับผิดชอบวางลงมาบนบ่าของผม และผมก็บอกตัวเองว่า ผมต้องทำบ้านผีสิงให้ดีที่สุดเท่าที่ผมทำได้ ดังนั้นไม่ว่าจะไปที่ไหน ผมก็จะคิดเรื่องนี้ในใจเสมอ เพราะอย่างนั้น มันจึงกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมไปแล้ว”
ได้ยินคำตอบของเฉินเกอ ผู้เข้าชมบางคนก็อดพยักหน้าไม่ได้ มีแค่คนที่ทุ่มเททุกอย่างลงไปในสิ่งที่ทำที่จะสามารถสร้างฉากมหัศจรรย์มากมายเช่นนี้ได้
“ทางนี้หน่อยครับ! บอสเฉิน! ผมเป็นผู้เข้าชมจากซินไห่! เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน สถาบันฝันร้ายที่มีชื่อเสียงที่สุดของซินไห่บอกว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อเรียนรู้และพูดคุยเรื่องการเข้าชมฉากกับคุณ คุณมีความเห็นเรื่องนี้อย่างไรครับ?”
“สถาบันฝันร้าย?” บอสเฉินให้สัญญาณขอทางจากคนรอบ ๆ และเขาก็ชี้ไปยังหลายคนที่นอนอยู่ “พวกเขามา แต่ว่าไม่ได้มาเพื่อพูดคุยอย่างเป็นมิตรแน่นอน ในเรื่องนั้น ผมเองก็รู้สึกเสียดายเช่นกัน ต่อไปถ้ามีโอกาส ผมจะลองไปเยี่ยมชมสถาบันฝันร้ายด้วยตนเอง พูดคุยเรื่องพวกนั้นกับพวกเขา”
“บอสเฉิน! ผมเห็นจากบนแพลตฟอร์มหนึ่งว่าหวงหลางนั้นไลฟ์สตรีมอยู่ในบ้านผีสิง และผมก็เห็นคุณในไลฟ์ด้วย! คุณบอกพวกเราโดยละเอียดได้ไหมว่าอันที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น? ครอบครัวผมเก้าคนและแมวอีกหนึ่งอยากรู้เรื่องนี้จะตายแล้ว!”
“คุณสามารถติดตามในสตรีมของผมได้ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร ผมจะพูดเรื่องนั้นในอนาคต”
“บอสเฉิน ยังมีข่าวลือบนออนไลน์ว่าบ้านผีสิงของคุณมีผีสิงจริง ๆ นั่นจริงหรือเปล่าครับ?”
“แน่นอนว่าไม่จริง โลกนี้ไม่มีผีเสียหน่อย ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ข่าวลือ ถ้าคุณไม่เชื่อผม คุณสามารถบอกมาได้เลยว่าใครบอกข่าวลือนั่นกับคุณ ผมจะไปคุยกับเขาด้วยตัวเอง” รอยยิ้มของเฉินเกอยังคงอบอุ่นเหมือนเคย เขาปฏิบัติกับทุกคนด้วยท่าทางแบบเดียวกัน “เอาละครับ ผมยังต้องกลับไปทำงานต่อ ถึงแม้ว่าผมจะเป็นเจ้าของบ้านผีสิง แต่ผมก็เป็นหนึ่งในพนักงาน และนี่ก็ยังเป็นเวลาทำงานอยู่”
ด้วยข้ออ้างนั้น ในที่สุดเฉินเกอก็หลุดออกจากวงล้อมผู้เข้าชม เขาถอนหายใจโล่งอกหลังจากเข้าไปในบ้านผีสิงได้ “หลอกผู้เข้าชมสิบคนจนหมดสติ นั่นน่าจะเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนสนใจและได้รับความนิยมบ้าง หวังว่าผู้อำนวยการลั่วจะสามารถกดความเห็นด้านลบจากเรื่องคราวนี้ได้ไม่ให้มันถูกคนอื่นเอาไปใช้ผิด ๆ”
เฉินเกอนั้นเตรียมวิธีการอันเฉียบขาดในการโฆษณาบ้านผีสิงและสวนสนุกเอาไว้อย่างหนึ่ง ถ้ามันไปได้สวย มันก็จะตัดปัญหาเรื่องสวนสนุกแห่งอนาคตที่กำลังจะเปิดไปได้ แต่ว่า ถ้ามันถูกใช้ผิด ๆ ก็จะกลายเป็นปัญหาของตนเองแทน
เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉากใหม่เปิดขึ้น ก็จะเกิดความวุ่นวาย และนั่นก็เป็นผลลัพธ์ที่เฉินเกอต้องการ เพราะอย่างนั้น เขาถึงได้นำเอาวิญญาณสีเลือดสองตนกลับมาจากเมืองหลี่ว่าน เฉินเกอวิ่งเหยาะ ๆ กลับไปที่ฉาก ไปหาหญิงไร้หัวเพื่อปลอบประโลมเธอก่อนที่จะไปยังโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่านหารองเท้าส้นสูงสีแดง
อันที่จริง โชคของรองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นก็ไม่ดีนัก แรกเลยเธอสูญเสียพลังทั้งหมดไประหว่างการต่อสู้กับหญิงหิวโหย จากนั้นเธอก็ได้รับบาดเจ็บเพราะการต่อสู้ของเงา จางหยา และคุณหมอเกา การบาดเจ็บทับซ้อนกัน ตอนนี้เธอแทบจะเหลือแต่เปลือกนอกแล้ว
“ดูเหมือนว่าคุณจะอารมณ์ดีทีเดียว” เฉินเกอนั่งลงที่หน้าห้องเก็บศพแล้วพิจารณารองเท้าส้นสูงสีแดงในมือ “คุณทำได้ดีมากเลยคราวนี้ ถ้าคุณชอบ คุณจะกลับมาที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้นะ บ้านผีสิงของผมเปิดรับคุณเสมอ”
พลังพิเศษของรองเท้าส้นสูงสีแดงคือคำสาป และนั่นก็คล้ายกับเงา หลังจากนำเธอกลับมาที่บ้านผีสิง เขา ร่วมกับพนักงานคนอื่น ๆ ของที่นี่ก็ทำสัญญากับเธอ หลังจากเธอช่วยพนักงานทั้งหมดกำจัดคำสาปแล้ว เฉินเกอก็จะปล่อยให้เธอจากไป
รองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อในตัวเฉินเกอ และทุกวันเธอก็พยายามหาทางเปลี่ยนคำสาปของเงา คำสาปส่วนใหญ่ในตัวจางจิงจิ่วและมือกรรไกรนั้นถูกชำระล้างไปแล้ว แต่ความยากที่แท้จริงนั้นก็คือคำสาปในร่างของซู่อิน เขาต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่เพราะเขาได้พัฒนาไปเป็นวิญญาณสีเลือด เขาก็คงจะหายตัวไปแล้วด้วยความทรมานจากคำสาป
ผลักเปิดประตูห้องเก็บศพเข้าไป เฉินเกอก็เดินไปที่เตียงผู้ป่วยที่อยู่ลึกที่สุดในห้อง บนเตียงนั้นมีตลับเทปที่ปกคลุมไปด้วยจุดสีเทาเข้มที่ดูราวกับแผลถลอก
“พักผ่อนให้ดี ทุกอย่างไม่เป็นไร ฉันอยู่ตรงนี้” เฉินเกอวางรองเท้าส้นสูงข้าง ๆ ตลับเทปแล้วนั่งลงข้างเตียงอยู่สิบนาทีก่อนจะกลับออกไป