บทที่ 457 ความน่ากลัวของกองทัพมังกร

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 457 ความน่ากลัวของกองทัพมังกร

ภายในรถม้า สีเป่ยเซียะมองคู่พ่อลูกด้วยความประหลาดใจ นางอดไม่ได้ที่จะเตือนหลิงตู้ฉิงว่า “นี่เจ้ารู้ตัวอยู่ใช่ไหม ว่าลูกของเจ้ากำลังจะออกไปเผชิญกับผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำ แถมยังไม่รวมกับกองทัพที่เขาพามาอีกนับหมื่น?”

*ผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำ คือ ระดับ3ของขอบเขตสวรรค์

ตามรายงานข่าวของอาณาจักรอี้จิ๋นที่นางเคยอ่านผ่าน ๆ สีเป่ยเซียะจึงเดาได้ว่ากองทัพของฝ่ายตรงข้ามน่าจะเป็นกองทัพเต่าดำของอาณาจักรมังกรทะยาน กองทัพเต่าดำ คือหนึ่งในกองทัพที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในอาณาจักรมังกรทะยาน และด้วยกำลังรบขนาดนี้ที่ฝั่งตรงข้ามขนมา มันจะไม่น่าจะเป็นไปได้ที่กองทัพของลูกชายหลิงตู้ฉิงจะรับมือไหว

หลิงตู้ฉิงโต้กลับ “เจ้ารู้จักค่ายกลรบขนาดไหน?”

“คิดจะลองภูมิข้างั้นเหรอ?” สีเป่ยเซียะหน้ามุ่ย “มันก็ไม่ใช่ว่าเป็นวิธีการประสานพลังกันของผู้คนจำนวนมากให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อสำแดงอำนาจที่เหนือกว่าตัวพวกเขาเองไม่ใช่รึไง?”

หลิงตู้ฉิงพูดเบา ๆ ว่า “ผลของค่ายกลรบก็คือการให้โอกาสผู้ที่อ่อนแอจำนวนมากสามารถสู้กับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้ และความแข็งแกร่งของค่ายกลรบนั้นผลของมันไม่ใช่แค่เอาความแข็งแกร่งของผู้คนในค่ายกลมาทำการ1+1ให้กลายเป็น 2 แต่ ค่ายกลรบที่ทรงพลังสามารถทำให้ 1+1 กลายเป็นมากกว่า 3 หรือมากกว่า 4 ได้ ซึ่งค่ายกลรบที่ลูกชายของข้าใช้นั้นไม่ใช่แค่ค่ายกลรบธรรมดา ๆ!”

ค่ายกลรบของหลิงว่านจุนนั้นพัฒนามาจากวิชามังกรศักดิ์สิทธิ์จำแลงกายของเขา

ซึ่งเมื่อนำมันมารวมกัน มันจึงกลายเป็นค่ายกลรบที่สมบูรณ์แบบ!

สีเป่ยเซียะส่ายหัวและพูดว่า “ยังไงก็ไร้ประโยชน์! แม้ว่าพวกเขาจะรวมตัวกันและใช้พลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ร้อยเท่า แต่พวกเขาก็คงไม่สามารถทะลุผ่านอาณาเขตสวรรค์ที่ผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำเป็นผู้สร้างได้อยู่ดี นอกจากนี้จากการคาดการณ์ของข้า กองทัพเต่าดำเองก็คงสามารถปลดปล่อยความแข็งแกร่งของผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำได้เช่นกัน”

“ก็เพราะว่าเป็นเช่นนั้นไงข้าถึงให้อีกกองทัพหนึ่งทำหน้าที่เป็นกองกำลังจู่โจมของพวกเขา!” หลิงตู้ฉิงยิ้ม

การสนทนาระหว่างทั้งสองไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสนใจของคนอื่น ๆ เนื่องจากตอนนี้ทุกคนต่างก็จดจ่อกับผลการรบกองทัพของพวกเขาด้วยความเป็นห่วง เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่ากองทัพของฝั่งตรงข้ามนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

หลิงยี่เทียนพูดกับลั่วหยุน “ผู้อาวุโสลั่ว โปรดคอยระวังให้พี่สี่ของข้าด้วย หากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับพวกเขา ข้าขอให้ผู้อาวุโสโปรดเข้าไปช่วยพวกเขาทีและสังหารฝั่งตรงข้ามให้หมด”

ลั่วหยุนยิ้มอย่างขมขื่นและพยักหน้าเล็กน้อย

ในทางกลับกัน หลิงตู้ฉิงที่กำลังคุยกับสีเป่ยเซียะหันกลับมา และพูดกับหลิงยี่เทียนหลังจากได้ยินคำพูดของเขา “พลังของเจตจำนงแห่งการสังหารในสนามรบนั้นจะต้องเกิดมาจากการรบที่อาจหาญ หากเจ้าสั่งให้ลั่วหยุนลงมือเช่นนี้ เจ้าจะทำลายสมดุลของสนามรบไปทั้งหมด ซึ่งเจ้าจะไม่สามารถควบแน่นพลังที่ลั่วหยุนจะสามารถนำมาใช้ในการเพิ่มระดับการบ่มเพาะของเขาได้”

หลิงยี่เทียนยิ้มและพูดว่า “ท่านพ่อ ข้าคิดว่าในอนาคตข้ายังมีโอกาสอีกมากมายที่จะรวบรวมพลังเหล่านั้นในสนามรบ ฉะนั้นสำหรับในตอนนี้ข้าเห็นว่าความปลอดภัยของพี่สี่นั้นสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ถ้ามีอะไรไม่ถูกต้องขึ้นมา เราจะต้องตัดปัญหาทุกอย่างโดยการฆ่าพวกมันทั้งหมด!”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ของลูกชายตนเองเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงก็พยักหน้าเล็กน้อยและไม่พูดอะไรอีก

ในเวลานี้ หลิงว่านจุนและกองทัพมังกรกว่าห้าหมื่น ซึ่งอยู่ข้างนอกได้ประสานค่ายกลกลายร่างเป็นมังกรยักษ์ที่มีความยาวกว่า 300 เมตรเรียบร้อยแล้ว

จากนั้นด้วยความไม่ประมาท หลิงว่านจุนจึงโคจรพลังของค่ายกลจนถึงจุดสูงสุด ซึ่งพวกเขาก็ได้ประจักษ์ว่าอันที่จริงแล้วความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นคือระดับหลุดพ้นสามัญขั้นสูงสุด

ยังไงซะนี่เป็นเพียงพลังของกองทัพมังกรเท่านั้น ซึ่งยังไม่รวมกับความแข็งแกร่งของกองทัพของหลิงฉุยฟง ที่ในขณะนี้ได้หายตัวเข้าไปอยู่ในร่างของมังกรยักษ์เรียบร้อยแล้ว

จากนั้นร่างของหลิงว่านจุนก็ปรากฏขึ้นบนหัวของมังกรยักษ์ และเขาพูดกับปู้ไป่เต๋า “ข้าคือจอมทัพหลิงว่านจุน ผู้นำกองทัพมังกรจากอาณาจักรจันทรา!”

ปู้ไป่เต๋ามองไปที่หลิงว่านจุนและพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “น่าสนใจดีจริง ๆ! ถ้าพวกเจ้าต้องการเล่นงั้นข้าก็จะเล่นกับพวกเจ้า!”

ตามคำสั่งของเขา กองทัพเต่าดำ 30,000 คนก็รวมตัวกันกลายเป็นเต่าสีดำขนาดมหึมา

และเช่นเดียวกับที่สีเป่ยเซียะได้พูดไว้ ความแข็งแกร่งของกองทัพเต่าดำนั้นเมื่อเปิดใช้ค่ายกลแล้วระดับความแข็งแกร่งของพวกเขาก็พุ่งไปถึงระดับระดับเหนือล้ำขั้นต้นเลยทีเดียว ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่เนื่องจากระดับการบ่มเพาะของบรรดาทหารในกองทัพเต่าดำแต่ละคนล้วนแต่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราขึ้นไปทั้งสิ้น และเมื่อเทียบกับทหารภายในกองทัพมังกรที่บางคนยังคงอยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณอยู่เลย ดังนั้นต่อให้แม้ว่ากองทัพมังกรจะมีคนมากกว่าแต่ความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาก็ยังคงด้อยกว่าอยู่ดี

เมื่อกองทัพเต่าดำแห่งอาณาจักรมังกรทะยานแปรค่ายกลรบของพวกเขาเสร็จ พวกเขาก็พุ่งตรงเข้าไปปะทะกับกองทัพมังกรของหลิงว่านจุนทันที

สำหรับปู้ไป่เต๋า เขายังไม่ได้เข้าร่วมการปะทะของกองทัพทั้งสอง เนื่องจากกองทัพของศัตรูนั้นมีระดับความแข็งแกร่งแค่เพียงระดับหลุดพ้นสามัญ ซึ่งถ้าเทียบกับกองทัพเต่าดำของเขาที่อยู่ในระดับเหนือล้ำแล้ว เขาจึงแน่ใจว่าตัวเองคงไม่จำเป็นต้องลงมืออะไรกับกองทัพมังกรแน่นอน

และด้วยอารมณ์ที่เขาขี้เกียจรอให้การต่อสู้ของทั้งสองกองทัพจบลง ดังนั้นเขาจึงพุ่งเข้าหารถม้าและตะโกนขึ้น “พวกเจ้าที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใน จงโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!”

เขาสัมผัสได้ว่า ‘รถม้า’ คันนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมากและเดาว่ามันน่าจะยังมีคนอยู่ข้างใน ดังนั้นเขาจึงโคจรพลังวิญญาณของเขาและตั้งใจว่าจะยิงลำแสงดัชนีเข้าใส่รถม้าเพื่อทำลายมันและเปิดเผยคนที่อยู่ด้านใน

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังจะปล่อยลำแสง โม่เอ๋อก็ออกมาจากรถม้าและยกมือขึ้นเพื่อหยุดปู้ไป่เต๋า

“ถ้าเจ้าอยากจะสู้ ข้าก็จะเล่นกับเจ้า!” โม่เอ๋อยิ้ม “แต่ถ้าเจ้ายังไม่ต้องการที่จะสู้ในตอนนี้ เจ้าก็จงยืนดูทุกอย่างอยู่เฉย ๆ ไปซะ!”

เนื่องจากระดับการบ่มเพาะของนางตอนนี้คือระดับเหนือล้ำ ซึ่งเป็นระดับเดียวกับปู้ไป่เต๋า ดังนั้นหลิงตู้ฉิงจึงสั่งให้นางออกมาปรามปู้ไป่เต๋าเอาไว้ก่อน

เมื่อปู้ไป่เต๋าเห็นว่ามีผู้เชี่ยวชาญระดับเหลือล้ำโผล่ออกมาจากในรถม้า คิ้วของเขาก็เริ่มขมวดเข้าหากัน

ดูจากสถานการณ์แล้ว กลุ่มคนที่มาเยือนนั้นไม่ใช่กลุ่มคนธรรมดาอย่างแน่นอน เนื่องจากพวกเขากลับมีผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังติดตามมาด้วย

“พวกเจ้าต้องการทำอะไรกันแน่?” ปู้ไป่เต๋าถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

โม่เอ๋อเหลือบมองไปที่ปู้ไป่เต๋า แล้วพูดว่า “เดี๋ยวเจ้าก็รู้ว่าพวกข้าต้องการทำอะไร แต่ตอนนี้เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่ยืนดูเฉย ๆ ก็พอถ้าไม่อยากเจ็บตัว!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ปู้ไป่เต๋าก็ไม่ได้เคลื่อนไหวและพูดตอบโต้อะไรต่อ เนื่องจากในตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์ทุกอย่างมันเริ่มจะแปลกมากเกินไปแล้ว

แต่ถึงเขาจะรู้สึกว่าทุกอย่างมันดูไม่ถูกต้องมากยังไง เขาก็อยู่ในสภาวะพร้อมทุกเมื่อหากโม่เอ๋อยื่นมือเข้าแทรกแซงการต่อสู้ของกองทัพทั้งสอง

นี่เป็นเพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กองทัพเต่าดำก็ควรจะเป็นฝ่ายชนะการต่อสู้ระหว่างสองกองทัพด้านล่าง

ยังไงซะ ในขณะที่กองทัพทั้งสองกำลังต่อสู้กัน แสงสีแดงเลือดก็สว่างวาบไปทั่วร่างของมังกรยาว 300 เมตร ซึ่งส่งผลให้ความแข็งแกร่งดั้งเดิมของมังกรที่อยู่ในระดับหลุดพ้นสามัญขั้นสูงสุดได้ทะลวงผ่านไปยังระดับเหนือล้ำทันที

แต่ปรากฏการณ์ความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นก็ยังคงไม่หมด เนื่องจากในพริบตาถัดมาแสงสีน้ำตาลอีกดวงหนึ่งก็ส่องสว่างขึ้นบนร่างของมังกร ซึ่งทำให้พลังป้องกันของมันเพิ่มขึ้นทันที 7-8 เท่า และจากนั้นแสงสีเขียวก็สว่างขึ้นอีกครั้งและตามมาติด ๆ ด้วยแสงสีเหลือง ซึ่งทั้งสองสีนี้เป็นตัวแทนพลังแห่งพิษและพลังชีวิตเข้าไปหลอมรวมกับร่างของมังกรยักษ์ ต่อจากนั้นแสงแห่งกฎโลหะ แสงแห่งกฎแห่งโลก… จนท้ายที่สุดแล้วกฎที่แตกต่างกันทั้งหมดถึง 17 ชนิดต่างหลอมรวมเข้าไปในร่างของมังกรขนาดมหึมา

จากนั้นเมื่อหลอมรวมพลังอำนาจแห่งกฎทุกอย่างเข้าไปในร่างเรียบร้อยแล้ว มังกรยักษ์ ก็พุ่งเข้าหากองทัพเต่าดำ และใช้เล็บสีแดงอมดำของมันที่อัดแน่นไปด้วยกฎแห่งเพลิงและกฎแห่งพิษ เข้าฉีกกระชากเต่าดำยักษ์ที่เกิดขึ้นจากค่ายกลรบของกองทัพเต่าดำ จนค่ายกลรบของพวกเขาแตกกระจุย บรรดาทหารต่างกระเด็นกระดอนไปคนละทิศคนละทางอย่างน่าสังเวช

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ สีเป่ยเซียะมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอาการตกตะลึง

แต่หลิงตู้ฉิงที่เห็นภาพเช่นนี้กลับทำหน้ามุ่ยและพูดว่า “น่าเบื่อจริง ๆ! ข้าก็นึกว่าไอ้ผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำผู้นั้นมันจะเป็นผู้นำการรบด้วยตัวเอง แต่นี่มันกลับยืนเฉย ๆ ซะอย่างนั้น แล้วแบบนี้จุนเอ๋อจะไปมีโอกาสได้แสดงอำนาจที่แท้จริงของค่ายกลรบได้ยังไง? เฮ้อช่างเถอะ รีบจับไอ้คนพวกนี้เอาไว้แล้วรีบไปต่อกันจะดีกว่า!”