บทที่ 456 เหยียบเข้าแดนศัตรู

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 456 เหยียบเข้าแดนศัตรู

ที่อาณาจักรมังกรทะยาน หยูไท่ฉวนกำลังจมอยู่ในวังวนแห่งความเดือดดาล

ตอนนี้เขาได้รับข่าวแล้วว่า หยูเจิ้งหมิง ลูกชายคนหนึ่งของเขาเสียชีวิตในทะเลชางหมาง

ลูกชายของเขาไม่เพียงแต่ตายเท่านั้น แม้แต่อาณาจักรหลงซานที่พวกเขาลงทุนสร้างไว้ในทะเลชางหมางก็ถูกทำลายไปแล้ว

แล้วยิ่งเห็นลูกชายอีกคนของเขาที่หลบหนีมาอย่างหัวซุกหัวซุนพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญเพียงหยิบมือ ความโกรธในใจของเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

ในฐานะคนของภูเขาเอ้อหลง พวกเขากลายเป็นผู้ถูกไล่ล่าเหมือนสุนัขจนตรอกตั้งแต่เมื่อไหร่?

และกองกำลังที่ทำให้ลูกชายของเขาอยู่ในสภาพอนาถขนาดนี้ไม่ใช่ขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่มาจากไหน แต่กลับเป็นกองกำลังอันอ่อนด้อยที่อยู่ในทะเลชางหมาง แถมสมบัติลับของทะเลชางหมางกลับตกไปอยู่ในมือของคนเหล่านั้นอีกต่างหาก

“พวกมันกล้าดียังไงที่สังหารลูกชายของข้าแบบนี้!” หยูไท่ฉวนคำรามด้วยความโกรธ “รอก่อนเถอะ เมื่อไหร่ที่ทะเลชางหมางเปิดขึ้น เมื่อนั้นข้าจะทำให้พวกมันตายโดยไม่มีศพที่สมบูรณ์!”

แม้ว่าเขาจะโกรธ แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าไม่สามารถทำอะไรได้ในตอนนี้

เนื่องจากในปัจจุบันทะเลชางหมางยังเป็นสถานที่ที่ผู้เชี่ยวชาญในระดับที่สูงกว่าระดับสวรรค์สามัญไม่สามารถเข้าไปได้ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะใช้ความได้เปรียบของความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าของอาณาจักรมังกรทะยานของเขาบุกเข้าไปแก้แค้น

ส่วนเรื่องการส่งผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญเข้าไปอีกครั้งนั้นเขาได้ล้มเลิกความคิดนี้ไปแล้ว เพราะขนาดส่งเข้าไปเป็นร้อยยังทำอะไรไม่ได้ หากส่งเข้าไปอีกก็มีแต่จะส่งเข้าไปตายเปล่า

“หยูเฉิงจุน เจ้าจงนำกองกำลังของเจ้าแอบเข้าไปในทะเลชางหมาง เข้ายึดครองเกาะสัก 4-5 เกาะและพยายามสืบข่าวความลับของทะเลชางหมางมาเพิ่มเติมให้ได้” หยูไท่ฉวนสั่งลูกชายอีกคนของเขา

แม้ว่าอาณาจักรหลงซานของเขาจะถูกล้มล้างไปและความลับของทะเลชางหมางจะถูกผู้อื่นครอบครอง แต่เขาแน่ใจว่าในทะเลชางหมางน่าจะยังมีสมบัติอื่น ๆ เหลืออยู่และนอกจากเรื่องสมบัติแล้ว เขายังวางแผนที่จะส่งคนไปที่ทะเลชางหมางเพื่อสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับอาณาจักรจันทราเพิ่มเติม และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมพวกเขาจะได้ทำลายอาณาจักรจันทราและแย่งสมบัติลับของทะเลชางหมางมาให้ได้

“รับทราบ เสด็จพ่อ!” หยูเฉิงจุนตอบกลับ

สำหรับเขา การได้เข้าสู่ทะเลชางหมางนับว่าเป็นโอกาสที่ดี

เนื่องจากถ้าเขาหาสมบัติลับที่เหลืออยู่ในทะเลชางหมางเจอ เขาก็จะเป็นคนแรกที่มีโอกาสใช้มันก่อน

ในขณะที่หยูเฉิงจุนกำลังวางแผนการต่าง ๆ อยู่ในหัวก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นและพูดกับหยูไท่ฉวน “ฝ่าบาท มีกองทัพจากอาณาจักรอี้จิ๋นกำลังมุ่งหน้ามาที่อาณาจักรมังกรทะยานของเรา!”

หยูไท่ฉวนถามอย่างรวดเร็ว “หืม? กองทัพที่มามีกำลังพลเท่าไหร่?”

“กองทัพที่มุ่งหน้าเข้ามามีจำนวนทหารราวห้าหมื่นนาย แต่สายข่าวของเรายังแจ้งว่าเขาได้เห็นหลงเฉินเป็นผู้ลากรถม้านำขบวนของฝั่งตรงข้ามมาด้วยฝ่าบาท!” บุคคลผู้นั้นตอบกลับ

เมื่อได้ยินรายงานเช่นนี้ สีหน้าของบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่กลับมากับหยูเฉิงฮุยก็ถึงกับเปลี่ยนสี พวกเขาต่างรีบพูดขึ้นทันทีว่า “ฝ่าบาท เป็นพวกมัน! พวกมันคือคนของอาณาจักรจันทราอย่างแน่นอน! ไอ้พวกนี้แหละที่เป็นคนสังหารองค์ชายหยูเจิ้งหมิง!”

ใบหน้าของหยูไท่ฉวนดุดันขึ้นทันที เขายิ้มอย่างเย็นชาและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอาฆาต “ดี! ดีมาก! ถ้ามันอยู่ในทะเลชางหมางข้าก็คงยังไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้ ไม่คิดเลย ไม่คิดเลยว่าโชคจะเข้าข้างข้าให้พวกมันออกมาจากทะเลชางหมาง แถมยังมาหาข้าเองโดยที่ข้าไม่ต้องเสียแรงตามหาพวกมันสักนิด ฮึ่ม! ตาย พวกมันต้องตายแน่นอน บังอาจสังหารลูกชายข้าไม่พอยังจับเอาเผ่ามังกรไปเป็นสัตว์เทียมรถม้าอีกงั้นเหรอ! ปู้ไป่เต๋า เจ้าจงนำกองทัพเต่าดำออกไปจับพวกมันทั้งหมดมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะเอาเลือดพวกมันทุกคนมาทำพิธีบูชายัญให้กับลูกชายข้า!”

เมื่อได้ยินคำสั่ง ปู้ไป่เต๋าจึงก้าวออกมาข้างหน้าและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ฝ่าบาท ไอ้คนพวกนี้มันก็เป็นเพียงแค่กลุ่มคนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า ที่มาจากพื้นที่ล้าหลังอย่างทะเลชางหมางก็แค่นั้น กระหม่อมไม่จำเป็นต้องพึ่งกองทัพเต่าดำในการจัดการกับพวกมันหรอก เพียงแค่ใช้ระดับการบ่มเพาะของกระหม่อมเพียงคนเดียวก็สามารถกำหราบพวกมันได้ทั้งหมดแล้ว!”

หยูไท่ฉวนส่ายหัวและพูดอย่างใจเย็น “เจ้าสามารถกำจัดพวกมันด้วยตัวเองได้ก็จริง แต่เจ้าสามารถนำคนนับหมื่นกลับมาได้ด้วยตัวคนเดียวหมดงั้นเหรอ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ปู้ไป่เต๋าก็ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนและพูดว่า “ข้าจะทำตามคำสั่งของฝ่าบาท และนำกองทัพเต่าดำไปกุมตัวพวกมันกลับมาให้ฝ่าบาทเดี๋ยวนี้!”

“จงรีบไป!” หยูไท่ฉวนพยักหน้า

ปู้ไป่เต๋าประสานมือโค้งคำนับ จากนั้นเขาก็ออกไปรวบรวมกำลังทหารและออกจากเมืองหลวงทันที ซึ่งกองกำลังทั้งหมดที่เขานำไปนั้นมีจำนวนทั้งหมดกว่าสามหมื่นนาย

ในเวลานี้ทางด้านของหลิงตู้ฉิงและคนของเขาก็กำลังมุ่งหน้ามาที่อาณาจักรมังกรทะยานด้วยความเร็วสม่ำเสมอ

ครึ่งเดือนต่อมา ในที่สุดหลิงตู้ฉิงและคนของเขาก็ผ่านเขตแดนของอาณาจักรอี้จิ๋นและมาถึงชายแดนของอาณาจักรมังกรทะยาน จากนั้นเขาก็เพิกเฉยต่อความจริงที่ว่ากำลังข้ามพรมแดนและบุกเข้าไปในอาณาจักรมังกรทะยานโดยตรง

ในขณะที่เขาเข้าสู่เขตของอาณาจักรมังกรทะยาน ร่างของปู้ไป่เต๋าก็ปรากฏตัวขึ้นและตะโกนว่า “หยุด!”

เมื่อเห็นว่ามีคนออกมาขวางทาง หลงเฉินก็หยุดรถม้าลงพร้อมกับกองทัพที่ตามมาทั้งหมดก็หยุดลงเช่นกัน

“หลงเฉิน ในฐานะที่เจ้าเป็นคนของอาณาจักรมังกรทะยานเช่นกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่เจ้ามาลากรถม้าให้ศัตรูเช่นนี้เจ้ามีความผิดสถานใด!” ปู้ไป่เต๋าตะโกนใส่หลงเฉิน “ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ที่มีสายเลือดมังกรที่แท้จริงไหลเวียนอยู่ในร่างกาย เจ้าไม่ละอายบ้างหรือไงที่มาทำหน้าที่ชั้นต่ำเช่นนี้ ไม่ใช่แค่เจ้าทำตัวเป็นคนทรยศเพียงอย่างเดียวแต่นี่เจ้ากลับทำให้บรรพชนในตระกูลที่ตายไปต้องเสียหน้าอีกต่างหาก!”

หลงเฉินกลอกตา และสาปแช่งปู้ไป่เต๋าในใจ ‘เจ้าคิดว่าข้าต้องการอยู่ในสภาพแบบนี้นักเหรอไงไอ้บ้าเอ๊ย!?’

แม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา แต่สำหรับในความคิดของเขามันก็ยังไม่ใช่มีเกียรติสักเท่าไหร่ที่จะต้องมาทำหน้าที่ลากรถม้าให้กับมนุษย์ปกติ แต่ถึงแม้ในใจของเขาจะไม่ยินยอมสักเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับชะตากรรมโดยที่ไม่สามารถเถียงอะไรได้

เมื่อปู้ไป่เต๋าตำหนิหลงเฉินจนจบ จากนั้นเขาก็ตะโกนใส่กองทัพมังกรและถามว่า “พวกเจ้าเป็นใครกัน? พวกเจ้ากล้าดียังไงถึงบุกเข้ามาในอาณาจักรมังกรทะยานของข้าเช่นนี้?”

อันที่จริงปู้ไป่เต๋ามีแผนอยู่ในใจ เขาตั้งใจว่าเขาจะลงมือกำหราบคนเหล่านี้ด้วยความแข็งแกร่งของตัวเองเพียงคนเดียวเพื่อประกาศศักดาความแข็งแกร่งของเขา ซึ่งเขาเองไม่ได้ตั้งใจจะใช้กองทัพเต่าดำในการต่อสู้เลยด้วยซ้ำ เหตุผลที่เขานำกองทัพเต่าดำมานั้นเพียงแค่เพราะว่าเขาต้องการมีคนมาทำหน้าที่คุ้มกันเชลยพวกนี้กลับไปหาองค์จักรพรรดิของเขา

ขณะนี้ทางด้านของคนที่อยู่ภายในรถม้าต่างมองไปที่ปู้ไป่เต๋า และกองทัพเต่าดำด้านนอกด้วยดวงตาเป็นประกาย โดยเฉพาะหลิงว่านจุนที่ในตอนนี้ในใจของเขานั้นลุกโชนไปด้วยความกระตือรือร้น

ด้วยความร้อนรุ่มในใจที่เขาทนไม่ไหว หลิงว่านจุนจึงหันไปมองที่หลิงตู้ฉิง และพูดว่า “ท่านพ่อข้าต้องการทดสอบว่า กองทัพมังกรของข้าจะแข็งแกร่งพอเอาชนะพวกเขาได้หรือไม่!”

เหตุผลที่พวกเขานำกองทัพมังกรมาที่อาณาจักรมังกรทะยานด้วยนั้นคือการทดสอบว่ากองทัพมังกรมีความแข็งแกร่งสูงสุดมากเพียงใด

เนื่องจากภายในอาณาเขตทะเลชางหมางนั้นระดับพลังของพวกเขาถูกจำกัดให้สำแดงได้แค่ระดับสวรรค์สามัญ ดังนั้นกองทัพมังกรจึงหมดหนทางที่จะได้พิสูจน์ถึงอำนาจความแข็งแกร่งของตัวเองอย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลิงว่านจุนจะต้องการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของกองทัพตนเองมากเพียงใด เขาก็ไม่กล้าที่จะประมาทความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ โดยการขอความเห็นของหลิงตู้ฉิงก่อนเพื่อเป็นการบอกอย่างอ้อม ๆ ให้พ่อของเขาประเมินความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ หากพ่อของเขาตกลงนั่นก็แปลว่าพวกเขานั้นพอที่จะสู้ได้ แต่ถ้าหากพ่อของเขาไม่ตกลงนั่นก็แสดงว่าพวกเขายังไม่พร้อมและควรอยู่เฉย ๆ

หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปยังปู้ไป่เต๋าและกองทัพเต่าดำที่อยู่ด้านนอก จากนั้นเขาหันกลับมาและพยักหน้าเล็กน้อยให้กับหลิงว่านจุน “เจ้าสามารถใช้อำนาจของธงรบโลหิตจักรพรรดิบวกกับประสานกองทัพของปู่สามของเจ้าไว้ในค่ายกลรบของเจ้าและให้ปู่สามของเจ้าทำหน้าที่เป็นกองกำลังหลักในการโจมตี หากเจ้าทำทุกอย่างได้ถูกต้องเจ้าก็สามารถที่จะต่อกรกับพวกเขาได้”

“ข้าจะทำให้ดีที่สุด ท่านพ่อ!” หลิงว่านจุนตอบกลับด้วยความตื่นเต้นทันทีเมื่อเขาได้รับอนุญาต จากนั้นเขาจึงหันไปพูดกับหลิงฉุยฟงที่อยู่ข้าง ๆ เขา “ปู่สาม ครั้งนี้ข้าต้องขอรบกวนท่านแล้ว!”

จากนั้นเขาก็หยิบธงรบโลหิตจักรพรรดิออกมา พร้อมกับกระโดดออกจากรถม้าและตะโกนใส่กองทัพมังกรทั้งหมดว่า “ทหารของข้าจงตั้งค่ายกล! วันนี้เราจะทำให้คนภายนอกได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของกองทัพมังกรของเรา!”