ตอนที่ 342 เผ่ามังกรตะวันตก

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

วันๆ ต้องคอยมานั่งกังวลว่าจะถูกเขาตัดหัวเช่นนี้ สมองของนางคงเติบโตอย่างไม่ค่อยสม่ำเสมอเท่าไหร่

 

 

พระองค์ส่งริมพระโอษฐ์ออกไป สัมผัสกับริมฝีปากของนางแผ่วเบาราวแมลงปอแตะผ่านผิวน้ำ

 

 

“หากโกหก เราก็จะจูบเจ้า ต่อให้ไล่ตามไปถึงขอบฟ้าจรดมหาสุมทรก็จะตามไปจูบเจ้า”

 

 

วิญญาณทมิฬรู้สึกว่ามันกำลังจะขาดใจตายอยู่แล้ว

 

 

วิชาจีบสาวของเจ้าฮ่องเต้สุนัขแตกฉานถึงขั้นไหน?

 

 

ผู้ที่สมควรจะต้องมาศึกษามากที่สุดก็คือตอไม้ซื่อมั่วผู้นั้น!

 

 

ดูฝีปากของบุรุษผู้นี้สิ หวานปานน้ำผึ้งอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็ตกตะลึงไป ยันต์สีชาดในมือเบาหวิวลงไป นางยังไม่ได้ทันตอบรับเขาแท้ๆ …. ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าเป็นคู่ที่กำลังเริ่มคบหากันอย่างไรอย่างนั้น?

 

 

เอะอะก็กอดจูบ ประเด็นสำคัญก็คือนางเองก็มิได้ปฏิเสธ

 

 

แต่ถึงจะปฎิเสธไปก็คงจะไม่มีผลอะไร…..เพราะฮ่องเต้สุนัขหน้าหนาอย่างกับอะไรดี

 

 

“อะเฮอะ อะเฮอะ” ขนาดนางยังทำหน้าไม่ถูกเสียแล้ว

 

 

“พวกเราจัดการเรื่องสำคัญให้เรียบร้อยก่อนดีหรือไม่? ท่านก็เห็นว่าขาของข้าใช้การไม่ได้แล้ว ข้ายังจะไปที่ใดได้”

 

 

“ไม่ไปแน่ๆ?” ฮ่องเต้ทรงขอคำรับรองถึงสามรอบ

 

 

“ไม่ไปหรอกเพคะ” ตู๋กูซิงหลันยิ้มอย่างว่างง่ายในใจก็ครุ่นคิดว่า หากจะไปก็ต้องรอให้มีโอกาสก่อนถึงจะหนีไปได้

 

 

คราวนี้ พระทัยของจีเฉวียนถึงได้ผ่อนคลายลง

 

 

จากนั้นก็ถึงรอบโหดแล้ว พระองค์ชักกริชสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากข้างฉลองพระบาทตวัดลงไปบนหลังพระหัตถ์ครั้งหนึ่ง โลหิตทะลักออกมามากมาย สาดกระจายลงไปบนยันต์สีชาดแผ่นนั้น

 

 

ยันต์สีชาดเรืองแสงขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้ลังเลแม้แต่น้อย นางกรีดปลายนิ้วของตนเอง หยดเลือดลงไปบนแผ่นยันต์ แล้วก็เขวี้ยงยันต์ที่อาบโลหิตของทั้งสองขึ้นไปบนภูเขาฝูซางซาน

 

 

จากนั้นนางก็ประกบมือทำปางต่างๆ ออกมา ริมฝีปากท่องคาถาชำระวิญญาณ

 

 

แสงสว่างจากยันต์สีชาดสาดส่องลงมาโอบล้อมดวงวิญญาณที่คับแค้นเอาไว้

 

 

เพียงครู่เดียวเหล่าดวงวิญญาณก็สงบเสงี่ยมลง สีแดงเลือดในดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆ จางหายไป

 

 

ไทเฮาน้อยเป็นทายาทรุ่นหลังขององค์หญิงเย่ว ในร่างมีสายโลหิตของชาวกู่เย่วไหลเวียนอยู่

 

 

วิญญาณแค้นเหล่านี้ย่อมรับรู้ได้

 

 

เสียงสวดคาถาส่งวิญญาณสู่สาขวดี [1] ดังกึกก้องไปทั่วทุกมุมของภูเขา แม้แต่ฉู่เจียงยังตะลึงงันไป

 

 

นางมีความสามารถถึงกับชำระวิญญาณแค้นจำนวนมากมายขนาดนี้?

 

 

นี่ใช่ความฝันหรือไม่

 

 

วิญญาณแค้นนับแสนดวง แค่พลังแค้นที่มีอยู่ก็แทรกซึมอยู่ในทุกดอกไม้ใบหญ้าของภูเขาฝูซางซานแล้ว อาศัยเพียงแค่ยันต์แผ่นเดียวก็คิดจะชำระวิญญาณแค้นทั้งหมดให้หมดจรด คิดช่วยปลดปล่อยพวกเขา?

 

 

ใต้หล้านี้กลับมีคนที่ไม่รู้จักประมาณตนมากเกินไปเสียแล้ว

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

 

 

เขากำกุญแจตรวนขังวิญญาณเอาไว้ในมือ ดวงตาหรี่ลงจนเป็นเส้นเดียว จับตาดูอยู่จากมุมหนึ่ง

 

 

คาถาชำระวิญญาณดังอยู่ที่ริมหูของเขา น้ำเสียงของสาวน้อยเรียบลื่นนุ่มนวลน่าฟังดุจสายน้ำรินไหล แม้แต่ฉู่เจียงเองฟังแล้วก็ยังพลอยรู้สึกดื่มด่ำไปด้วย

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงไร สายตาของเหล่าวิญญาณแค้นทั้งหลายต่างก็พากันสงบเรียบลงในร่างวิญญาณของพวกเขาบังเกิดแสงสว่างน้อยๆ ส่องประกายวาบขึ้นมา

 

 

พลังของยันต์สีชาดกระจายเข้าสู่วิญญาณของพวกเขา ขับไล่แรงแค้นที่อยู่ภายในดวงวิญญาณออกไป

 

 

ดวงวิญญาณแค้นแต่ละดวงค่อยๆ กลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมที่เคยเป็นของตน

 

 

แคว้นกู่เย่วครั้งหนึ่งเคยเป็นชนเผ่าที่มีราชวงค์สูงศักดิ์ พรั่งพร้อมไปด้วยขุนนางบุ๋นบู๊ พสกนิกรทั้งหลาย ยามนี้ทั้งหมดต่างก็มองดูตู๋กูซิงหลันด้วยความสงบเสงี่ยมเรียบร้อย

 

 

คาถาชำระวิญญาณท่องจบไปรอบหนึ่ง หน้าผากของตู๋กูซิงหลันก็เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ

 

 

ตอนนี้นางไม่อาจทำพิธีส่งวิญญาณทั้งหมดในที่นี้ได้ ได้แต่ใช้ความพยายามอย่างที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้สลายไอแค้นในดวงวิญญาณของพวกเขาออกไป

 

 

ในส่วนของการส่งวิญญาณนั้น…..คงจะต้องมอบให้พวกอู๋เจินรับต่อแล้ว

 

 

ในเมื่อดวงวิญญาณมิได้ติดอยู่ในความแค้นอีกต่อไป การส่งวิญญาณก็คงจะไม่ยากสักเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าจำนวนผู้คนค่อนข้างมาก จะต้องทำหลายรอบสักหน่อยเท่านั้น

 

 

ฮ่องเต้ทรงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาบนพระหัตถ์ ช่วยซับเหงื่อให้กับนาง เส้นผมตรงกรอบหน้าของนางเปียกชื้นจนลู่ติดใบหน้า ดูแล้วช่างเหนื่อยยากนัก

 

 

ในพระทัยของพระองค์มีคำพูดมากมายคิดจะตรัสกับนาง แต่พอมาถึงริมพระโอษฐ์กลับมิได้ตรัสสิ่งใดออกมา

 

 

แค่ได้ทอดพระเนตรดูนาง ได้สัมผัสนาง ก็เพียงพอแล้ว

 

 

………………………..

 

 

คืนสิบห้าค่ำ ดวงจันทร์กลมดั่งถาดเงินยวง ส่องจนทั่วทั้งเมืองกู่เย่วคล้ายดั่งมีแสงสีเงินสว่างจางๆ

 

 

ตู๋กูซิงหลันถูกจีเฉวียน ‘ใช้พิษขับพิษ’ ติดต่อกันมาหลายวันแล้ว ไอหยินที่ค้างอยู่ในเส้นชีพจรถูกกำจัดออกไปจนหมด

 

 

เพียงแต่ว่าพอถึงตอนนี้ เจียงชวี่ปิ้งกลับหายหัวไปไหนก็ไม่รู้

 

 

ตู๋กูซิงหลันเขย่ากระดิ่งใบน้อยที่เขาให้เอาไว้จนพังก็ยังไม่เห็นเจียงชวี่ปิ้งออกมาพบ

 

 

“จะต้องเป็นเพราะว่าไอ้เฒ่านั่นไม่ยอมรักษาคำพูด ตั้งใจจะกลั่นแกล้งเจ้า” ชือหลีโกรธเคืองราวกับเป็นเด็กๆ “ข้าผู้เป็นเทพเองก็ตามหาเขามาหลายวันแล้ว ขนาดกวาดศาลเจ้าผุพังของเขาจนราบเรียบแล้วก็ยังไม่เจอคน ข้าว่าคงจะหนีไปเสียแล้ว”

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูกระดิ่งน้อยในมือ ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา

 

 

“ทีนี้จะทำอย่างไร เจ้าจะติดตามฮ่องเต้ต้าโจวผู้นั้นกลับไปใช่ไหม?” ชือหลีพันร่างครึ่งหนึ่งอยู่บนต้นไม้ด้วยท่าทางเกียจคร้านราวกับไม่มีกระดูก “ข้าว่าฮ่องเต้แคว้นโจวผู้นั้นมีใจผูกพันลึกล้ำให้กับเจ้านะ เขาพาเจ้ากลับไปแล้ว คงจะต้องเสาะหาหนทางมารักษาเจ้าอย่างแน่นอน”

 

 

หากว่ารักใครสักคนอย่างแท้จริง มีหรือจะทนดูนางต้องทุกข์ทรมานได้?

 

 

จีเฉวียนย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่กล่าวอะไร เรื่องของเมืองกู่เย่วถือว่ามาถึงจุดคลี่คลายแล้ว ต่อไปนางต้องกลับวังไปเผชิญหน้ากับเรื่องที่ทั้งน่าหวาดกลัวและซับซ้อนวุ่นวาย

 

 

ยังดีที่ไอหยินนั่นถูกกำจัดออกไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแต่เส้นเอ็นยังไม่ได้รับการเชื่อมต่อ นางจึงไม่อาจยืนขึ้นมาได้ ขาก็เริ่มมีความรู้สึกขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

ถึงแม้ว่าจะหาเจียงชวี่ปิ้งไม่เจอ แต่กลับไปค่อยๆ ทำการรักษาเอาก็ได้

 

 

นางเก็บกระดิ่งของเจียงชวี่ปิ้งลงไป หันไปมองดูชือหลี “เจ้าล่ะ ยินดีจะไปเมืองหลวงกับข้าหรือไม่?”

 

 

ชือหลีช่วยเหลือนาง ทั้งยังคอยดูแลนางอยู่นาน ตู๋กูซิงหลันย่อมสำนึกในบุญคุณอยู่แล้ว

 

 

“ข้าคือเทพธิดาแห่งสายน้ำลี่เหอ วันๆ จะเอาแต่ไปโน่นมานี่อยู่ได้อย่างไร” ชือหลีส่ายปลายหางน้อยๆ “ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อข้าเสาะหาสิ่งของที่ต้องการเจอแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องติดตามเจ้าไปเมืองหลวงอีก”

 

 

ตู๋กูซิงหลันประหลาดใจขึ้นมา นี่นางกำลังค้นหาสิ่งใดอยู่

 

 

“เจ้าประหลาดใจมากหรือ?” ชือหลีเท้าคาง “บอกความจริงกับเจ้าก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร….”

 

 

นางใช้ปลายนิ้วข้างหนึ่งลูบไล้กลุ่มผมสีแดงของตนเอง เงยหน้าขึ้นไปมองดูท้องฟ้า “เจ้าเองก็รู้ ว่าข้ากับน้องสาวที่ชอบก่อเรื่องของข้า……ที่จริงแล้วข้าน่ะใจดีมีเมตตา ไม่อาจหักใจทำลายให้เด็ดขาดไป เพียงแต่คิดจะส่งดวงวิญญาณของนางกลับไปเกิดใหม่ที่เผ่ามังกรทะเลตะวันตกเท่านั้น”

 

 

พูดกันตามจริงแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าคำว่า ‘เมตตา’ สองคำนี้ไม่ค่อยจะเหมาะกับชือหลีสักเท่าไหร่

 

 

เพียงแต่คำพูดของนางทำเอาตนเองตกตะลึงไปอยู่บ้าง

 

 

“เผ่ามังกร?” ตู๋กูซิงหลันหันไปมองดูนาง “เจ้าไม่ใช่งูตัวหนึ่งหรอกหรือ?”

 

 

“เจ้าดูถูกข้าหรืออย่างไร! งูบ้านเจ้าสามารถเป็นเทพได้หรือ?” ชือหลีกรอกตาขาวมองบน “เป็นเพราะว่าตอนนั้นครอบครัวของข้ากระทำความผิด ถูกตระกูลลงทัณฑ์ให้จุติลงมาบนโลกมนุษย์ ข้ากับน้องสาวต่างก็ถูกถอดกระดูกมังกรออกไปจึงได้กลายร่างเป็นงูก็เท่านั้น”

 

 

ตู๋กูซิงหลันนับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว มิน่าเล่านางถึงได้ดูไม่ออก ที่แท้ฐานะของชือหลีก็มีที่มาเช่นนี้เอง

 

 

“ในขุมสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือมีตราบัญชาวารีอยู่ แคว้นกู่เย่วก็มีกุญแจไขตรา สิ่งของทั้งสองอย่างนี้ข้าหาพบแล้ว สมควรจะกลับไปจัดการเรื่องที่เผ่ามังกรตะวันตกได้แล้ว”

 

 

เผ่ามังกรตะวันตก…..สถานที่แห่งนั้นตู๋กูซิงหลันไม่เคยได้ยินมาก่อน

 

 

โลกในมิตินี้ เกรงว่าคงจะวุ่นวายมากกว่าที่นางเคยคาดคิดเอาไว้มาก

 

 

สิ่งที่ได้พบได้เห็นมาในตอนนี้คงจะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น

 

 

“เจ้าเองก็เคยได้เห็นใต้หล้ามามาก คงจะไม่แปลกใจเพราะเรื่องนี้หรอกนะ” ชือหลีพูดพลาง เด็ดดอกไห่ถางมาเป่าใส่นาง

 

 

 

 

——

 

 

ตอนต่อไป “เขาบอกว่าข้าน่าเกลียด ไม่ให้ข้าเข้าวัง”

 

 

ไรท์: เดาออกกันเอ่ยมั๊ย ใครคือ “เขา” ใครคือ “ข้า”

 

 

——

 

 

[1] 往生咒=อุบัติสุขาวดีคาถา ใช้คู่กับยันต์ชื่อเดียวกันเพื่อเปิดทางนำวิญญาณไปสู่วิสุทธิภูมิ ยันต์จะมีรูปเงินอีแปะจีนอยู่ตรงกลาง มักเผายันต์นี้ก่อนที่เราจะเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ญาติผู้ล่วงลับ