บทที่ 723 ความตื่นตระหนกของเหล่าผู้พิทักษ์ราตร

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

ภายในแคสวิก เมืองหลวงของสหภาพแห่งดินแดนเลียบชายฝั่งทางตอนเหนือ

ณ จัตุรัสกุหลาบ สถานที่ขึ้นชื่อที่สุดของเมือง ดอกกุหลาบหิมะที่เบ่งบานอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บดูเปล่งประกายราวกับกองเพลิงลุกโชติช่วง

ทว่าราตรีนี้ ดูเหมือนมันจะไร้ความดึงดูดใจ และมิมีผู้ใดชื่นชมความงามของมัน ภายในจัตุรัส บนท้องถนน และในบ้านเรือนใกล้เคียง หรือที่ใดก็ตามที่มองเห็น ‘ม่าน’ สีดำขนาดใหญ่ยักษ์ตรงใจกลางได้ ต่างมีฝูงชนเบียดเสียดอัดแน่น ทุกคนชะเง้อศีรษะขณะเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงของ ‘ม่าน’ ด้วยสีหน้าตกตะลึงแทบจะเหมือนกันทุกคน พลางรับฟังท่องทำนองแสนสะเทือนอารมณ์ของบทเพลง ‘แสงจันทร์’

จนกระทั่ง ‘ไนติงเกล’ หรือหลุยส์เอื้อนเอ่ย พวกเขาจึงได้สติกลับมาและอุทานด้วยความอัศจรรย์ใจ ใน ‘ม่าน’ นั่นมีคนตัวเป็นๆ อาศัยอยู่เช่นนั้นรึ หรือว่ามันคือสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่าวิทยุเวทมนตร์ สิ่งที่จะเผยแพร่ทั้งเสียงและภาพได้เช่นนั้นหรือ

เมื่อท่านหญิงไนติงเกลช่วยไขข้อข้องใจให้กับพวกเขา จึงสร้างความตื่นเต้นดีใจขนานใหญ่ให้กับฝูงชน พวกเขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน บรรพบุรุษของพวกเขาก็เช่นกัน หรือนี่ก็คือแง่มุมของ ‘อารยธรรมเวทมนตร์’ ดังที่ ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ มักเอ่ยถึงอยู่บ่อยๆ กันนะ

ท่ามกลางฝูงชน ชายสวมหมวกหนังผู้หนึ่งจ้องมองหลุยส์ด้วยความหวาดกลัวพลางส่ายศีรษะอย่างเหลือเชื่อ นี่สภาเวทมนตร์สร้างความก้าวหน้าในด้านการออกอากาศอีกแล้วหรือ และไม่ว่าผู้ใด ณ แห่งหนใดก็สามารถรับชม ‘วัลคีรี’ ที่จัดแสดงในโรงละครหลวงแห่งราชสำนักเรนทาโตได้อย่างนั้นน่ะหรือ

คนอื่นๆ อาจไม่รู้ว่าเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร แต่ในฐานะผู้พิทักษ์ราตรีระดับแนวหน้า เขาเข้าใจมันดีมากทีเดียว!

นับแต่ที่ลูเซียน อีวานส์ ประดิษฐ์คิดค้นวิทยุเวทมนตร์และ ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ ก่อตั้งขึ้น ผู้คนในเมืองอันรุ่งเรืองทั้งหลายเลียบแนวชายฝั่งทางตอนเหนือก็เปลี่ยนความคิดอคติและทัศนคติที่มีต่อศาสนจักรไป ในทีแรกเขาก็มิได้คิดอะไรมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันไม่ชอบมาพากล รายละเอียดทั้งหมดก็น่าหวาดหวั่นมากแล้ว[PL1]

หลังจากที่ศาสนจักรแพ้สงครามในเรนทาโต เขาก็เปลี่ยนจากสถานะนักล่าเป็นเหยื่อที่ต้องหลบซ่อนด้วยความตื่นกลัว

บัดนี้ วิทยุเวทมนตร์ไม่เพียงแต่จะสามารถเผยแพร่เสียงเท่านั้น แต่ยังแสดงภาพได้อีกด้วย มันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอันเลวร้ายรูปแบบใดกัน!

ทว่า หลังจากได้เป็นเห็นการเตรียมการล่วงหน้า เขาก็รู้ว่ามันคงต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่วิทยุเวทมนตร์แบบใหม่จะเป็นสิ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสภาเวทมนตร์ได้วางแผนแต่ละขั้นตอนมาอย่างดี แต่ทางศาสนจักรกลับมิมีปฏิกิริยาใดๆ

‘ไม่ได้ ข้าต้องรายงานเรื่องนี้ให้กับผู้ปฏิบัติการไต่สวน’ เขาก้มหน้าลงแล้วค่อยๆ ถอยออกมาจากฝูงชน เขาต้องใช้เวลามากทีเดียวกว่าจะเบียดเสียดออกมาได้ในที่สุด

ทันทีที่เขาก้าวออกมาจากจัตุรัส ทุกอย่างก็พลันเงียบงัน ผู้พิทักษ์ราตรีรีบหามุมลับตาแล้วหยิบอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์หน้าตาเหมือนเข็มกลัดติดหน้าอกออกมา พยายามจะรายงานเรื่องนี้ไปทางศาสนจักร

ด้วยความวิตกกังวล เขาจึงติดต่อไปที่สำนักงานใหญ่ของคณะไต่สวนในนครศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับมิมีเสียงใดตอบกลับมาจาก ‘เข็มกลัดติดหน้าอก’ นอกจากเสียงดังซู่ซ่า

‘บ้าจริง! ในขณะที่ทุกๆ หนแห่งสามารถรับสัญญาณ “เสียงแห่งอาร์คานา” ของสภาเวทมนตร์ได้ และยังถึงกับเผยแพร่ภาพได้ แต่ข้ากลับทำไม่ได้แม้แต่ติดต่อไปทางนครศักดิ์สิทธิ์ เราจะรับมือกับพวกนักเวทได้อย่างไรกัน’ เขาเริ่มหัวเสียและประหม่ากลัว

เขารู้ดีว่าผู้พิทักษ์ราตรีที่อยู่คนละฝั่งของช่องแคบสตอร์มติดต่อกันได้ไม่สะดวกนักหลังจากที่แคสวิกตกอยู่ในการควบคุมของสภาเวทมนตร์และคริสตจักรหลวงถูกยึดไป และนี่ก็เป็นการกระทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น แต่เหล่านักเวทจากสภากลับยังสามารถติดต่อสื่อสารกับทางอัลลินได้ผ่านทาง ‘ดาวเคราะห์เทียม’ แม้จะอยู่ในอาณาเขตที่ศาสนจักรควบคุมก็ตาม!

ความต่างชั้นนี้ต่างหากที่เป็นเหตุผลแท้จริงที่ทำให้เขาหัวเสีย!

ดาวเคราะห์เทียม ซึ่งเป็นเพียงสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อท้าทายอำนาจของพระเจ้า ตอนนี้กลับปลดปล่อยความเจิดจ้าที่น่าเหลือเชื่อออกมายิ่งขึ้นเรื่อยๆ มันคือหนึ่งในของแปรธาตุที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!

เขาหยิบเอาซองบุหรี่ที่ซื้อจากแถวนี้แล้วใช้ปากคาบออกมามวนหนึ่ง ก่อนจะถูมือข้างขวาให้เกิดไฟ

หลังจากจุดไฟ เขาก็อัดควันเข้าปอดเพื่อสงบจิตใจ จากนั้นเขาก็ส่งพลังไปที่เข็มกลัดหน้าอกอีกครั้ง คราวนี้ติดต่อหาหัวหน้าของเขาที่อาศัยอยู่ในแคสวิกเช่นเดียวกัน

ผู้พิทักษ์ราตรีขบกรามและตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะเสนอให้ทางศาสนจักรพัฒนาดาวเคราะห์เทียมของตัวเองขึ้นมา!

แต่เขาก็รู้ดีเกินไปว่าทางศาสนจักรแทบไม่มีความสามารถในการลอกเลียนแบบผลิตภัณฑ์ล้ำสมัยพรรค์นั้นได้เลย ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงหาทางยึดครองดาวเคราะห์เทียมสักดวงหนึ่งของสภาเวทมนตร์หากสบโอกาส!

ข่าวกรองเรื่อง ‘ถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียม’ ถูกส่งไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ผ่านแต่ละระดับและแต่ละหน่วยอย่างเชื่องช้า บางที เบเนดิกต์ที่สามอาจยังไม่ได้รับข่าวนี้แม้ว่า ‘วัลคีรี’ จะแสดงจนจบไปแล้วก็ตาม

สีทองเรืองรองคือสีหลักของโรงละครหลวงแห่งราชสำนักเรนทาโต ตะเกียงเวทมนตร์ที่แขวนอยู่บนเพดานหรือผนังต่างเปล่งแสงสว่างมะลังมะเลือง ช่วยเสริมความมหัศจรรย์ให้กับสถานที่

ลูเซียนและนาตาชานั่งอยู่ในกล่องส่วนตัว รอคอยให้การแสดงวัลคีรีเริ่มขึ้น

“ข้าตั้งตาคอยโอเปร่าเรื่องนี้มาหลายปีทีเดียว คืนนี้ ความหวังของข้าจักได้รับการเติมเต็ม” โอลิเวอร์เดินเข้ามาด้วยท่าทางสุภาพอ่อนน้อม ก่อนจะจับมือทักทายกับลูเซียนด้วยใบหน้ายิ้มๆ

แม้ว่าทั้งสองจะขัดแย้งกันในประเด็นของโลกจุลภาค แต่เขาไม่เคยนึกโกรธลูเซียนในยามปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของสิ่งที่เขาโปรดปรานอย่างละครและโอเปร่า

“ข้าหวังว่าท่านจะชอบมันขอรับ” ลูเซียนตอบอย่างยิ้มแย้มและเชื้อเชิญให้โอลิเวอร์นั่ง

มีนักเวทชั้นตำนานอีกเพียงไม่กี่ท่านเท่านั้นที่มาร่วมงานฉลองเปิดเทศกาลนอกจากเขา ดักลาสนั้นยุ่งอยู่กับการเตรียมการทั้งหลายแหล่ และเขาก็มิได้สนใจในโอเปร่าสักเท่าไหร่ เขาจึงไมได้มา เหตุผลของบรูกเองก็คล้ายๆ กัน ส่วนที่วิเซนเตไม่มาก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลูเซียนยังค่อนข้างตึงเครียด เฮลเลนนั้นยิ่งไม่ยอมมาเพราะนางยอมอุทิศเวลาทั้งหมดให้กับการศึกษาอาร์คานาและเวทมนตร์มากกว่า

ส่วนนักเวทชั้นตำนานคนอื่นๆ นั้น บ้างก็ติดภารกิจ บ้างก็ยุ่งอยู่กับการวิจัยของพวกเขาเอง พวกเขาจึงไม่ได้มาเช่นกัน

“โอเปร่าไม่ค่อยจะน่าสนใจเสียเท่าไหร่” เฟอร์นันโดในชุดเสื้อคลุมสีแดงเข้มที่นั่งอยู่ข้างลูเซียน จดจ้องไปทางเวทีอย่างตั้งอกตั้งใจ

เมื่อเห็นว่าโอเปร่าเรื่องวัลคีรีกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ลูเซียนก็ถามนาตาชาผ่านทางกระแสจิต “ท่านยายแฮทธาเวย์ไม่มาหรือ”

“ท่านคงจะไม่ชอบฝูงชนน่ะ ข้าจำได้ว่าท่านสนใจในดนตรีและโอเปร่ามากๆ นะ”

ลูเซียนพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก รัสเซล รัฐมนตรีของโฮล์ม ได้เริ่มการปราศรัยและประกาศเปิดงานเทศกาลดนตรีแล้ว

“รัฐมนตรี! นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้เห็นท่านรัฐมนตรี!” บานัสตะโกนด้วยความดีใจและประหลาดใจ

อาลีดึงสหายและบอกให้เขาลดเสียงลง “รักษามารยาทหน่อย มิเช่นนั้นเจ้าอาจจะถูกตำรวจตะคอกเอาได้ หากเป็นเมื่อก่อนแล้วล่ะก็ การไม่ให้ความเคารพชนชั้นสูงจะต้องถูกลงโทษด้วยการโบยเชียวนะ”

“ข้ารู้ๆ แต่ดูพวกเขาสิ พวกเขาก็เหมือนกับข้า หากว่าพวกตำรวจจะตะคอกใส่ทุกๆ คนจริงๆ ล่ะก็ คอพวกเขาคงพังเป็นแน่”

หลังจบคำประกาศของรัสเซล การเตรียมการขั้นสุดท้ายก็เริ่มขึ้นเบื้องหลังม่าน

ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่โอเปร่าจะเริ่มขึ้น นักเวทผู้ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบการออกอากาศก็ปรับมุมกล้องเพื่อที่ผู้รับชมจะมองเห็นภาพโดยรวมของโรงละคร

“น่าประทับใจเสียจริง หากข้าสามารถไปนั่งฟังละครโอเปร่าที่ดีที่สุดในโรงละครเช่นนั้นสักครั้งหนึ่ง ข้าคงตายโดยไม่เสียดายอะไรแล้ว!” บานัสและผู้รับชมคนอื่นๆ พากันชื่นชม

ไม่นาน กล้องก็เปลี่ยนจากภาพอาคารสถานที่เป็นเหล่าชนชั้นสูง และพวกเขากได้ยินเสียงแว่วหวานของหลุยส์เอ่ยแนะนำ “นี่คือท่านลอร์ดเจมส์ ดยุกแห่งแพฟอส และภริยา ท่านหญิงสเตฟานี…”

“โอ้!”

เสียงอุทานดังกระจายไปทั่วจัตุรัสดั่งกระแสน้ำ

“นี่สินะหน้าตาของคนตระกูลขุนนางหลักๆ ภริยาและธิดาของท่านต่างก็งดงามอย่างยิ่ง…” อาลีเอ่ยชื่นชมเสียงแผ่ว ในดวงตาของเขาแฝงไว้ด้วยแรงปรารถนาอันคลุมเครือ ‘นางเคยบอกว่านางอาจมารวมงานฉลองเปิดเทศกาล…’

คำบรรยายของเขาไม่ได้เป็นไปตามความเป็นจริงเสียทีเดียว แต่มันก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เป็นเพราะการสืบทอดพลังโลหิต อัตราของชนชั้นสูงที่หน้าตาดีจึงมีมากกว่าสามัญชนทั่วไป

ในขณะที่อาลีกำลังสำรวจตรวจตราเหล่าท่านหญิงสูงศักดิ์อยู่นั้น ภาพก็เปลี่ยนไปอีกครั้งโดยหันไปที่กล่องด้านบน

“บุคคลเหล่านี้คือองค์ราชินีนาตาชา ‘ผู้บัญชาอะตอม’ อีวานส์—” หลุยส์หยุดการแนะนำไปกลางคัน เพราะนางเองก็เห็นภาพเดียวกันกับที่บานัสและผู้รับชมคนอื่นๆ เห็น ภายในกล่องที่นั่งส่วนตัวนั้น ปรากฏดาบสีเงินตัดผ่านสภาพแวดล้อม ภาพจักรวาลอันไร้ขอบเขตและหลากสีสัน พายุสายฟ้าที่โหมกระหน่ำ และภาพวันโลกาวินาศที่ที่ดวงดาวทั้งหลายพังทลายลง…

“อะ…อะไรกันนี่” ดูเหมือนว่าอาลีจะไม่สามารถรักษาอาการพูดตะกุกตะกักในวันนี้ได้

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลุยส์ก็กล่าวต่ออย่างไม่เร่งรีบ “บรรยากาศรอบกายผู้มีพลังชั้นตำนานสามารถส่งอิทธิพลต่อโลกรอบๆ ตัวพวกท่าน ดังนั้น หากพวกท่านมิได้ตั้งใจสะกดข่มพลังด้วยตนเอง กล้องก็จะบันทึกได้เพียงภาพเช่นนี้ แต่ทุกอย่างจะแตกต่างออกไปหากมองพวกท่านด้วยตาเปล่า…”

“วิเศษเหลือเกิน ช่างสมกับเป็นผู้มีพลังชั้นตำนานจริงๆ!”

“ช่างเป็นภาพที่มหัศจรรย์จริงๆ…”

ภาพนั้นสร้างความตราตรึงใจให้แก่บานัสและผู้รับชมคนอื่นๆ

ไม่นานการเตรียมการครู่สั้นๆ ก็เสร็จสิ้น และการบรรเลงเบิกโรงก็เริ่มต้นขึ้น กระแสเสียงแห่งความโศกเศร้าและตึงเครียดแฝงอยู่ภายใต้ท่วงทำนองสนุกสนานและเบาสบายอันเป็นฉากหน้า บอกเป็นนัยๆ ถึงเนื้อเรื่องของโอเปร่าและให้ทุกคนเตรียมใจไว้ให้ดี

“การแทนที่เพลงโหมโรงด้วยเพลงเบิกโรงเป็นที่นิยมในการสร้างสรรค์โอเปร่าในปัจจุบันนี้ มันสามารถนำไปใช้ก่อนเริ่มทุกองค์ละครของโอเปร่าและตามด้วยบทเพลงต่างๆ ได้เลย…” อาลีเอ่ยถึงความรู้ที่เขาได้เรียนรู้มาจากเพื่อนทางจดหมาย

ภายในโรงละคร มิมีใครพูดอะไรอีกต่อไป พวกเขาต่างรับชมกันโอเปร่าเงียบๆ

เมื่อการบรรเลงเบิกโรงใกล้จะจบลง ม่านเวทีก็ถูกยกขึ้น ตามมาด้วยเสียงของสตรีที่พูดบทเดี่ยวแบบร้องเป็นเพลง จากนั้น เด็กสาวร่างสูงแต่ดูอ่อนแอบอบบางก็ลงไปจากเวที

‘นางคือวัลคีรีเช่นนั้นหรือ’

ผู้รับชมรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเข้ากับธีมเสียเท่าไหร่ เนื้อเรื่องก็ไม่เป็นไปตามที่พวกเขาคิดเช่นกัน ท่ามกลางเสียงเพลงอันไพเราะและร่าเริง เจ้าหญิงอะแมนซาและพระราชา ราชินี ข้ารับใช้ และพระพี่เลี้ยงต่างใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

ทว่า วันดีๆ เหล่านั้นกลับมิยั่งยืน พระราชนัดดาขององค์ราชาก็ร่วมมือวางแผนร้ายกับรัฐมนตรีและหัวหน้าองครักษ์ในการสังหารองค์ราชากับองค์ราชินี แต่องค์ราชินีสามารถหลบหนีเข้าไปในป่าได้ก็ด้วยความช่วยเหลือของข้ารับใช้

ความโศกเศร้าและตึงเครียดที่แฝงเร้นอยู่ภายใต้ท่วงทำนองอันงดงามพลันระเบิดโพลง ผู้รับชมพลันถูกดึงดูดความสนใจขณะที่พวกเขาเป็นกังวลถึงความปลอดภัยของเจ้าหญิงและนึกเกลียดชังตัวร้าย

เมื่อองค์แรกจบลง โอลิเวอร์ก็หันไปมองลูเซียนด้วยความประหลาดใจในช่วงดนตรีสลับฉาก “นี่คือโอเปร่าเช่นนั้นหรือ อ้อ ข้ายอมรับว่ามันเป็นโอเปร่าที่ยอดเยี่ยม แต่จำนวนล่ะหายไปไหน ทำไมข้าจึงรู้สึกว่ามันเหมือนกับซิมโฟนีเสียมากกว่ากันเล่า”

จากอดีตถึงปัจจุบัน ละครโอเปร่าในนครเรนทาโตจะแบ่งออกตามจำนวน ซึ่งจำนวนเลขที่มีทั้งโซโล่ ดูโอ้ ทรีโอ ควอเต็ต และคอรัส จะรวมกันเป็นโอเปร่า หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ดนตรีและการขับร้องคือประเด็นหลัก ส่วนเนื้อเรื่องนั้นเป็นเพียงตัวเสริม

เมื่อเทียบกันแล้ว โอเปร่าของลูเซียนดูเหมือนละครมากกว่า ดนตรีคือตัวเสริมให้กับเนื้อเรื่อง และมันหาได้มีจำนวนที่โดดเด่น ทุกองค์ดูสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวมันเอง เหมือนกับซิมโฟนีที่ธีมเรื่อง

…………………………………

[PL1]all the details were already frightening ไม่ค่อยแน่ใจว่า detail หมายถึงอะไรค่ะ