บทที่ 773 ความแข็งแกร่งของปีกใต้

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 773 ความแข็งแกร่งของปีกใต้

แต่เธอกลับชอบ ที่เขาพูดเช่นนี้ออกมาเพราะแสดงให้เห็นว่าเขารักเธอ

ทุกคนต่างก็ไม่ยอมเป็นคนที่จากไปเป็นคนสุดท้าย เหลือเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ช่างลำบากและเงียบเหงามากเพียงใด และยังจะมีประโยชน์อะไร

หากสามารถฆ่าอีกฝ่าย แล้วค่อยตัวตายตามไป ล้วนเป็นคนที่รักมากที่สุด

“หม่อมฉันอยู่ถึงเก้าสิบเก้าปี ท่านอยู่ถึงหนึ่งร้อยสามปี เราค่อยตายไปพร้อมกันนะ เกิดใหม่ชาติหน้าท่านก็ไปเป็นคนในตระกูลที่ร่ำรวย ส่วนหม่อมฉันก็จะไปเกิดที่หน้าบ้านของท่าน จากนั้นค่อยแต่งงานกันเมื่อโตขึ้นและอยู่ด้วยกันไปตลอด”

หนานกงเย่สูดหายใจลึก “อวิ๋นอวิ๋น ข้าจะทำอย่างไรให้สามารถอยู่กับเจ้าไปได้ตลอดนะ?”

ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะ “หม่อมฉันก็มีลูกกับท่านอ๋องมากเช่นนี้แล้ว ท่านอ๋องคิดว่าหม่อมฉันจะเสียดายท่านอ๋องหรือเพคะ?”

สีหน้าของหนานกงเย่เคร่งขรึม “หึ!”

เมฆดำในใจของฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้คลายหายไป และยังคงเป็นที่กังวลใจอยู่เช่นนั้น

หนานกงเย่เข้ามาโอบเธอจากข้างหลัง เมื่อลมพัดเข้ามา กลิ่นหอมจากเส้นผมของฉีเฟยอวิ๋นก็ฟุ้งกระจาย หนานกงเย่สูดดม “หอมมากเหลือเกิน!”

ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมองหนานกงเย่ “ท่านอ๋อง หม่อมฉันต้องไปแล้วจริงๆ ท่านห้ามเอาหัวชนกำแพงเด็ดขาด แล้วหม่อมฉันจะกลับมาอย่างแน่นอนเพคะ”

“ข้าจะไปหาเจ้า”

“อย่าไปหาเพคะ หากท่านอ๋องหลงทางเข้าจะทำเช่นไร?”

“ไม่มีทาง ข้าจะต้องหาอวิ๋นอวิ๋นให้พบให้ได้”

หนานกงเย่ให้คำสัญญาว่าเขาจะไปหาฉีเฟยอวิ๋น พวกเขาจะไม่แยกจากกัน

“เช่นนั้นเรามาทำสัญญา หากหม่อมฉันไม่กลับมาภายในสามปี ท่านอ๋องจึงจะไปหาหม่อมฉันได้ ต่อให้ท่านอ๋องไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว ท่านอ๋องก็ต้องรอหม่อมฉันสามปี”

หนานกงเย่ไม่ได้ตอบตกลง และฉีเฟยอวิ๋นก็พูดต่อ “หม่อมฉันสามารถเกิดลูกสาวให้กับท่านอ๋องได้”

หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋น “เจ้าหลอกข้าอีกแล้ว ช่วงนี้ข้ามักจะคิดอยู่เสมอว่าเพราะเกิดลูกชายออกมาเสร็จแล้วก็ไม่สามารถมีลูกได้อีก นี่ก็นานมากแล้ว แต่กลับไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย”

“นั่นก็เป็นเพราะหม่อมฉันใช้วิธีการบางอย่าง จึงทำให้ไม่มีชั่วคราวเท่านั้นเพคะ” เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นไม่ต้องการพูดเรื่องนี้ เธอรู้ว่าหนานกงเย่จะไม่พอใจ แต่เพื่อปกป้องหนานกงเย่แล้ว การเสียสละสักเล็กน้อยก็เป็นเรื่องปกติทั่วไป

ในที่สุดหนานกงเย่ก็ผลักฉีเฟยอวิ๋นออกและจ้องมองด้วยความโกรธ ดวงตาคู่นั้นราวกับจะกินเธอให้ได้

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้สนใจและยังกลอกตาให้ คิดว่าเธอกลัวหรือ?

หนานกงเย่ไม่ได้โกรธจริงๆ เมื่อจ้องมองไปยังดวงตาที่ยั่วยุคู่นั้นของฉีเฟยอวิ๋น ความโกรธของเขาก็หายไป

“ข้าอยากจะมีลูกสาวมาโดยตลอด อวิ๋นอวิ๋นทำเช่นนี้ก็เป็นการหลอกลวงข้า” สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดตะคอกเสียงดัง เพียงแค่บ่นออกมาเท่านั้น

ฉีเฟยอวิ๋นมีคำอธิบายต่อสิ่งนี้ “เดิมทีร่างกายของหม่อมฉันก็ไม่ค่อยจะดีนัก อีกทั้งเจ้าห้าและคนอื่นๆ ก็ยังเล็กมาก หากจะเกิดออกมาอีกคนตอนนี้ก็คงไม่เหมาะสม หม่อมฉันอยากจะรอให้พวกเขาสามารถเดินได้ก่อนแล้วค่อยให้กำเนิดลูกสาว เช่นนั้นเวลาก็จะเหมาะสมกำลังดีเพคะ

แต่ท่านอ๋องรีบร้อน บางครั้งการมีลูกก็ต้องรอโอกาสและโชควาสนา หากเป็นของท่านต่อให้ท่านหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น หากไม่ใช่ ต่อให้ท่านอ๋องพยายามมากเพียงไรก็ไร้ประโยชน์ หลักการนี้ท่านอ๋องก็รู้ดีเพคะ”

“แล้วตอนนี้ล่ะ?” หนานกงเย่มีสีหน้าโศกเศร้าลำบากใจ การให้กำเนิดลูกช่างเป็นเรื่องที่ยากลำบากเช่นนี้ ความรู้สึกที่ถูกควบคุมเช่นนี้ไม่ดีเอาเสียเลย

ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะ “ท่านอ๋องบอกว่าจะไม่มีลูกแล้วไม่ใช่หรือเพคะ?”

“ข้าก็แค่เป็นห่วง แต่หากไม่มีอะไรเช่นนั้นก็เกิดอีกจะเป็นไรไป”

“เพคะ”

หนานกงเย่ขมวดคิ้ว “เช่นนั้นแล้วเมื่อไรดีล่ะ?”

“กลับไปเพคะ กลับไปเราก็จะมีลูก ท่านอ๋องสัญญากับหม่อมฉันเรื่องที่ให้รอสามปี”

“หากข้าไม่ตอบตกลงล่ะ?”

“เช่นนั้นก็ไม่ต้องมีลูก เพื่อท่านอ๋องจะได้ไม่ต้องเอาหัวชนกำแพง หากลูกสาวไม่มีคนคอยดูแลก็คงเป็นเหมือนเจ้าของร่างเดิมเช่นนั้นที่โดนคนอื่นรังแก

ท่านอ๋อง ท่านไม่เข้าใจความรู้สึกของเจ้าของร่างเดิม ท่านไม่เคยคิดเลยหรือว่า อันที่จริงท่านก็ไม่ต่างไปจากท่านพ่อของหม่อมฉันเลย ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถอยู่กับลูกสาวได้เป็นเวลานาน หากไม่มีหม่อมฉัน หากไม่มีท่าน ลูกสาวของเราจะต่างอะไรกับเจ้าของร่างเดิมเพคะ?”

หนานกงเย่ไม่พูด ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่พระที่นั่งของจักรพรรดิปีกใต้ จากนั้นจึงจูงมือของหนานกงเย่ไปรับประทานอาหาร

เรื่องของเด็กๆ ยังไม่คุยกันก่อนในเวลานี้ ทั้งสองพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นซูมู๋หรงก็ติดตามจักรพรรดิปีกใต้มาหาพวกเขา

หนานกงเย่รู้ว่าได้ว่ามีคนมาที่หน้าประตูจึงลุกขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นตกใจจากนั้นจึงลุกขึ้นตามมา

“ฝ่าบาทเสด็จแล้ว” ขันทีเดินเข้ามาจากข้างนอก ตอนนี้ตำหนักเฉียนคุนก็เป็นที่พักอาศัยของฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ ขันทีรออยู่อย่างตั้งใจเพราะรู้ว่าทั้งสองกำลังพักผ่อน ต่อให้เป็นจักรพรรดิปีกใต้เสด็จมาก็ตาม ขันทีก็ต้องเข้ามารายงานอย่างระมัดระวัง

หลังจากนั้นหนานกงเย่ก็ลุกจากเตียงและปลดม่านที่มุ้งลง จากนั้นจึงสั่งให้คนเปิดประตู อย่างไรเสียก็ยังต้องสร้างสัมพันธไมตรีแลกเปลี่ยนระหว่างอาณาจักร ตามมารยาทแล้ว หนานกงเย่จึงต้องออกไป

“คารวะฝ่าบาท”

หนานกงเย่พูดขึ้น จักรพรรดิปีกใต้ไม่คุ้นชินนักและเหลือบมองหนานกงเย่ จากนั้นจึงโบกมือขึ้น “ไม่ต้องพิธีรีตองหรอก”

จากนั้นหนานกงเย่จึงเชิญจักรพรรดิปีกใต้นั่งลง จักรพรรดิปีกใต้มองไปยังผ้าม่านที่มุ้งทางนั้นและเหม่อลอยเล็กน้อย

“ยังไม่ตื่นหรือ?”

“ยังพ่ะย่ะค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นขยับตัวเล็กน้อยและห่มผ้าให้ดี จากนั้นจึงหลับตาลง

จักรพรรดิปีกใต้เดินไปที่เก้าอี้สั้นและนั่งลง หลังจากไตร่ตรองดูแล้วจึงพูดขึ้นมา “อาการป่วยของข้าไม่มีทางรักษาให้หายแล้วใช่หรือไม่?”

“เรื่องนี้กระหม่อมไม่รู้พ่ะย่ะค่ะ รักษาได้หรือไม่ได้นั้นต้องถามอวิ๋นอวิ๋น รอให้นางตื่นขึ้นมา ฝ่าบาทค่อยถามนางเองพ่ะย่ะค่ะ” หนานกงเย่พูดไปตามจริง

จักรพรรดิปีกใต้มองไปที่เขา ในใจรู้สึกรำคาญหนานกงเย่คนนี้อย่างเหลืออด เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้แล้วจึงทำให้นึกถึงซูอู๋ซินตอนยังเป็นวัยรุ่น เขาเป็นคนที่สมควรที่จะถูกทุบตีรังแกเสียจริง

มักจะทำตัวขัดขวางเขาอยู่ตลอด ไม่มีเรื่องไหนเลยที่จะให้เขาสบายใจได้เลย

เห็นได้ชัดว่าเป็นพี่น้องกัน แต่เขากลับทำตัวเหมือนศัตรู เกิดมาก็ไม่ทำอะไรเอาแต่ขัดขวางเขาอยู่ตลอดเวลา

แม้ปากจะพูดเกรงใจ แต่ในใจกลับไม่เป็นเช่นนั้น

“ซูมู่หรงบอกกับข้าว่าพวกเจ้าต้องการหาตัวของหนานกงเซวียนเหอ และยังต้องการให้ซูมู่หรงช่วยกำจัดหนานกงเซวียนเหอ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?”

จักรพรรดิปีกใต้พูดจาตรงไปตรงมา

หนานกงเย่เลิกคิ้วขึ้น “เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีความคิดเช่นนั้น”

“หนานกงเซวียนเหอเคยมาที่ปีกใต้จริง และข้าก็ได้เคยร่วมมือกับเขา แต่การร่วมมือกันนี้เป็นเขาเองที่ริเริ่มเสนอให้ข้า ตอนนั้นที่เขามาพบข้าและบอกกับข้าว่าต้องการเมืองต้าเหลียง หากข้าสามารถยื่นมือเข้าช่วย เขาก็จะให้คำมั่นสัญญากับข้าว่าหลังจากสำเร็จ เขาจะตอบแทนข้าอย่างงดงาม อีกทั้งยังยอมที่จะส่งส่วยและมอบผู้หญิงเข้ามายังวังหลังให้ข้าทุกปี

ข้าไม่ได้ตอบตกลง เดิมทีปีกใต้ก็ไม่ได้ต้องการทำเรื่องเช่นนี้ อีกทั้งข้าก็ไม่พึงพอใจต่อเงื่อนไขของหนานกงเซวียนเหอ หากเมืองต้าเหลียงเป็นเมืองที่คงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยในระดับหนึ่ง เช่นนั้นข้าก็จะตอบตกลง

แต่หนานกงเซวียนเหอกลับไม่ยินยอม เขาบอกว่าเมืองต้าเหลียงไม่สามารถเป็นเมืองที่คงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยในระดับหนึ่งได้ เขาก็ไม่อยากเป็นที่ก่นด่าไปหลายพันหมื่นปี

จุดประสงค์ของเขาเพียงแค่ต้องการให้ตระกูลจงชินสามารถมีหน้ามีตาและมีเกียรติขึ้นมาได้ ส่วนเรื่องนอกเหนือจากนี้ยังไม่แน่ชัด

ฟังดูแล้วเขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ซื่อตรง แต่เมืองต้าเหลียงเป็นดินแดนที่แห้งแล้ง ข้าไม่ชอบ

เพื่อแสดงออกถึงความจริงใจของเขา จึงตั้งใจช่วยมู่หรง แต่นั่นไม่ใช่การร่วมมือแน่นอน เป็นเพียงแค่ความหวังดีของเขาเท่านั้น

หลังจากนั้นเขาก็เคยอาศัยอยู่ที่ปีกใต้จริง แต่ความร่วมมือของเรากลับไม่เป็นผล

อันที่จริงเจ้าก็ควรรู้ว่าเขาอาจจะหลบซ่อนอยู่ในปีกใต้ หรืออาจจะอยู่ที่อื่น ก็เหมือนกับที่เจ้ามีสายลับที่คอยสอดแนมในปีกใต้จำนวนมาก อีกทั้งสายลับเหล่านี้ก็ยังมีอยู่รอบตัวของข้า

ข้าไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของคนอื่นได้ จึงต้องให้พวกเขาอยู่ไปด้วยกันกับข้า

และข้าก็สามารถรู้ได้ว่าใครกำลังนึกถึงข้า นึกถึงปีกใต้ อีกทั้งข้าก็อยากจะบอกกับพวกเจ้าว่าข้าไม่กลัวพวกเจ้า”

ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจอยู่ในมุ้ง จักรพรรดิปีกใต้นับว่ายิ่งใหญ่ทรงพลังอย่างมาก

เขารู้ทุกอย่าง แต่เขากลับไม่ทำอะไรเลย

เขารู้อย่างชัดเจนว่าคนที่เข้ามาสอดแนมอยู่รอบตัวเขาหมายความว่าอย่างไร

ฉะนั้นเขาจึงไม่สนใจ

เพราะว่าต่อให้ฆ่าไปแล้วก็ยังจะมีมาอีก และการตีหญ้าให้งูตื่นก็ไม่ใช่จะเป็นเรื่องดีสักเท่าไร