ด้วยเหตุนั้น แผนการเดินทางไปยังจักรวรรดิเมฆาตะวันออกจึงถูกร่างขึ้น การเดินทางครั้งนี้ไม่อาจเพิกเฉย การต่อสู้นี้จะเป็นสิ่งตัดสินชะตากรรมของทั้งทวีป เวลานี้แผ่นดินกำลังปั่นป่วนวุ่นวาย ปัญหาจะถาโถมเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง และหากว่าจัดการได้ไม่ดี ทวีปแห่งนี้คงถึงกาลล่มสลายแล้ว เพื่อไม่เป็นการสร้างความตื่นตระหนกแก่ผู้คน พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่เผยแพร่ข้อมูลออกสู่สาธาราณะ และนั่นก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พวกเขาต้องใส่ใจกับการเดินทางไปยังจักรวรรดิเมฆาครั้งนี้ เมื่อไร้ซึ่งเอกวินน์คอยพิทักษ์ หน้าที่ปกป้องทวีปแห่งนี้จึงตกเป็นของพวกเขา เนื่องเพราะเวลานี้ ทุกคนจำต้องร่วมใจกันปกป้องผืนทวีป การเผยแพร่เรื่องราวของเอกวินน์ออกไปได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเหล่านักผจญภัยหนุ่มจำนวนมาก เมื่อทวีปแห่งนี้เผชิญหน้ากับวิกฤต มันก็ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะลุกขึ้นสู้ การปกป้องทวีปนั้นดูเป็นเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ มันใหญ่เกินจินตการของคนธรรมดาจนดูราวกับไม่มีสิ่งใดข้องเกี่ยวกัน ทวีปแห่งนี้กำลังจะถูกทำลายงั้นหรือ? แต่เรื่องนี้ดูจะไกลตัวพวกเขาเกินไป ในเวลาเช่นนี้ ต้องมีผู้นำที่จะนำพาผู้คนลุกขึ้นสู้ และจ้าวมนตราทั้งสามก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อหน้าที่นี้ ในคราแรก ตระกูลเอิร์นของนิโคลัส ตระกูลช็อคของลีโอนาโด ตระกูลเคเนดี้ละอื่นๆนั้นถูกพิจาณาให้รับหน้าที่นี้ แม้ว่าเฟอร์กูสันจะเป็นผู้พิทักษ์ของราชวงศ์พยัคฆ์เมฆา แต่เขาก็ทราบดีว่าหากต้องการปกป้องทวีป เขาจำต้องมีความช่วยเหลือจากตระกูลใหญ่ มีเพียงตระกูลใหญ่เหล่านี้ที่มีพลังมากพอต่อกรกับกองทัพชั่วร้าย อย่างไรก็ตาม หลังจากตรวจสอบอยู่นาน พวกเขาก็พบว่าตระกูลใหญ่เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เห็นแก่ตัว แต่โลกใบนี้ยังจะมีผู้ใดที่ไม่เห็นแก่ตัวอีกหรือ? กระทั่งพวกเขาเองก็ยังมีความเห็นแก่ตัว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องทำให้แน่ใจว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง ตระกูลใหญ่เหล่านี้จะลุกขึ้นสู้ และตอนนี้ ในรายชื่อเหล่านั้นก็มีชื่อของเซียวอวี๋เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง ผู้ที่สามารถอัญเชิญเหล่าวีรชนจากยุคโบราณและสามารถรวบรวมเผ่าพันธุ์ทั้งมวลให้เป็นหนึ่งได้ คนผู้นั้นจะกลายเป็นราชาแห่งราชัน ไม่มีผู้ใดที่ไม่ทราบคำพยากรณ์นี้ และตอนนี้ ดูเหมือนว่าผู้ที่อยู่ในคำพยากรณ์นั้นจะไม่แคล้วเป็นเซียวอวี๋ผู้นี้เอง แล้วพวกเขาทั้งสามยังจะเพิกเฉยได้อย่างไร? ที่ครั้งนี้พวกเขาปรากฏตัวขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อสำรวจดูว่าเซียวอวี๋เป็นคนเช่นไร เขาจะสามารถแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ได้หรือไม่ แม้จะมีข้อบกพร่องอยู่มากมาย แต่เซียวอวี๋ก็มีสิ่งสำคัญที่พวกเขาต้องการเห็นอยู่ นั่นคือ คุณธรรม หากคนผู้นั้นมีคุณธรรม เช่นนั้น เขาก็สามารถไว้ใจได้ อันที่จริง ธีโอดอร์ได้จับตาดูเซียวอวี๋มาตั้งนานแล้ว และเขาก็รู้สึกว่าเซียวอวี๋นั้นเชื่อใจได้ ซึ่งเฟอร์กูสันและชัคหลุนก็ไม่มีข้อคิดเห็นเป็นอื่น แต่แม้พวกเขาจะชื่นชมเซียวอวี๋ พวกเขาย่อมไม่ทุ่มแทงหมดหน้าตักไว้ที่เซียวอวี๋ หากว่าคำพยากรณ์นั้นเป็นความจริง เซียวอวี๋ย่อมสามารถปกป้องทวีปและกลายเป็นราชาแห่งราชันย์ ที่พวกเขาต้องทำก็แค่เพียงผลักเรือตามน้ำ รุ่งขึ้น กองทัพของเซียวอวี๋ก็เคลื่อนพลไปยังจักรวรรดิเมฆาตะวันออก ครั้งนี้ เซียวอวี๋ทุ่มกำลังออกไปแทบทั้งหมด เหลือไว้ป้องกันดินแดนเพียงบางส่วน เหตุผลที่เซียวอวี๋กล้าทุ่มกำลังทหารออกไปอย่างเอิกเกริกขนาดนี้ก็เพราะจ้าวมนตราทั้งสามได้ทิ้งประกาศเวทมนตร์เอาไว้ ในประกาศฉับบนั้นกล่าวไว้ว่า เวลานี้ดินแดนไลอ้อนกำลังเคลื่อนกำลังไปพิชิตอัลคีราฟเพื่อปกป้องทวีป ผู้ใดกล้าฉกฉวยโอกาสนี้เข้าโจมตีดินแดนไลอ้อนจะถือว่าเป็นศัตรูกับจ้าวมนตราทั้งสาม แน่นอนว่าย่อมไม่มีขุมกำลังใดกล้ากระตุ้นโทสะของสามจ้าวมนตรา และด้วยประกาศเวทมนตร์ฉบับนี้เอง เซียวอวี๋จึงวางใจได้ในที่สุด “มารดามันเถอะ มีคนใหญ่คนโตหนุนหลังเช่นนี้ ผู้ใดยังจะกล้าเขย่าภูเขาไท่ซาน? ครั้งนี้กระทั่งพวกศาสนจักรก็ยังไม่กล้าลงมือ มิเช่นนั้นศาสนจักรคงเหลือเพียงซาก ฮ่าฮ่าฮ่า” เซียวอวี๋กระหยิ่มใจ “ท่านธีโอดอร์ ท่านพอจะทราบความเป็นมาของสันตะปาปาบ้างหรือไม่?” เซียวอวี๋กล่าวถามขณะที่กำลังดื่มไวน์อยู่ภายในรถม้ากับผู้อาวุโสทั้งสาม อย่างไรระหว่างทางก็ว่างอยู่แล้ว เขาจึงต้องการทราบข้อมูลของศัตรู “ศาสนจักรเป็นขุมกำลังที่ลึกลับเสมอมา พวกเราจึงไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพวกเขานัก กระนั้นพวกเราก็ต้องยอมรับเรื่องหนึ่ง ต่อให้เป็นพวกเราทั้งสามก็ไม่กล้าดูแคลนศาสนจักร ขุมกำลังของพวกเขาแข็งแกร่ง โดยเฉพาะตัวพระสันตะปาปา พวกเรายิ่งไม่อาจหยั่งตื้นลึกหนาบางของเขา แต่ข้าเดาว่าความแข็งแกร่งของตาแก่นั่นคงไม่ด้อยไปกว่าพวกเรา” ธีโอดอร์ตอบก่อนยกไวน์ขึ้นจิบ “ศาสนจักร…พวกเขามีตัวตนขั้นที่หกระดับสุดยอดอยู่หรือไม่?” เซียวอวี๋ถามอย่างกังวล คิดไม่ถึงว่าสันตะปาปาจะน่ากลัวเช่นนี้ “ข้ารู้แต่ว่า หากศาสนจักรไม่มีขุมกำลังเช่นนั้น ศาสนจักรคงไม่ใช่ศาสนจักรเช่นทุกวันนี้” ชัคหลุนกล่าวขึ้น อยู่กับเซียวอวี๋มาสักพัก เซียวอวี๋ได้ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี นั่นจึงทำให้ความประทับใจของพวกเขาที่มีต่อเซียวอวี๋เพิ่มขึ้นจากเดิมมาก เมื่อเซียวอวี๋ถามถึงศัตรูที่น่ากลัวอย่างศาสนจักร พวกเขาก็ยินดีตอบคำถามให้ อย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่เรื่องเหลือบากกว่าแรงอะไร “หากตาแก่นั่นแข็งแกร่งขนาดนั้น ใยเขาจึงไม่ออกมาถล่มดินแดนไลอ้อนของข้าให้พินาศไปเลยล่ะ?” เซียวอวี๋อดถามออกมาไม่ได้ ตอนนี้เขาถือเป็นหนามตำตาของอีกฝ่าย ในเมื่อเขามีพลังถึงขนาดนั้น ใยจึงไม่ลงมือ? “นี่เจ้าคิดว่าเวทต้องห้ามสามารถใช้สุ่มสี่สุ่มห้าได้หรือ? เหตุที่เรียกเวทต้องห้ามว่าเวทต้องห้ามก็เพราะความร้ายแรงของมัน หากมันใช้ออกได้ง่ายปานนั้น โลกคงพินาศไปหลายรอบแล้ว” เห็นท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวของเซียวอวี๋ ธีโอดอร์ก็อธิบาย “สรุปว่ามันก็คือระเบิดนิวเคลียร์ดีๆนี่เอง แล้วหากว่ามีคนเปิดฉากใช้มันใส่ผู้อื่นเล่า?” เซียวอวี๋เข้าใจแล้วว่าการใช้เวทต้องห้ามนั้นมีเงื่อนไขและข้อจำกัดการใช้อยู่ “ระเบิดนิวเคลียร์? มันคืออะไร?” ธีโอดอร์เอ่ยถามอย่างงุนงง “อ่า…ไม่มีอะไร มันก็คืออาวุธที่ทรงพลังมากๆ คล้ายกับคำสาปหรือเวทต้องห้ามนั่นล่ะ” เซียวอวี๋ตอบกลบเกลื่อน “อย่างไรก็ตาม เวทต้องห้ามนั้นทรงพลังอย่างมาก หากว่าไม่จำเป็นก็จะไม่ใช้กัน ประการแรก ขณะที่ใช้เวทต้องห้าม มันจำเป็นต้องใช้พลังเวทมหาศาล การใช้มันย่อมส่งผลเสียต่อพลังชีวิตของผู้ร่าย ประการที่สอง การจะปลดปล่อยเวทต้องห้ามออกไปก็ยังต้องใช้วัตถุดิบเวทมนตร์จำนวนมาก ไม่เหมือนกับการใช้เวทมนตร์ทั่วไป ประการที่สาม ทวีปนี้ยังมีสมาพันธ์จอมเวทดำรงอยู่ หากมีผู้ใดใช้เวทต้องห้ามโดยไม่ผ่านการยินยอมจากสมาพันธ์ก่อน สมาพันธ์จอมเวทจะกระทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดคนผู้นั้น” ชัคหลุนกล่าวอธิบาย แม้ชัคหลุนจะรู้จักกับเซียวอวี๋ได้ไม่นาน แต่เขาก็มีความรู้สึกที่ดีต่อเซียวอวี๋ เปรียบเทียบกันแล้ว เฟอร์กูสันยังไม่ดีเท่า นั่นก็เพราะว่าเฟอร์กูสันนั้นมีศักดิ์ศรีของจ้าวมนตราแห่งราชวงศ์ค้ำคออยู่ หากว่าเซียวอวี๋เป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งผืนทวีป เช่นนั้น ไม่ช้าก็เร็ว ราชวงศ์พยัคฆ์เมฆาที่เขาเฝ้าปกปักรักษาอยู่ก็คงไม่แคล้วต้องจบสิ้นลง ดังนั้นตัวเขาจึงไม่ทราบสมควรวางตัวอย่างไร ยิ่งอยู่นาน เขาก็ยิ่งได้ทำความเข้าใจกับเซียวอวี๋มากขึ้น และดูคำพยากรณ์นั่นดูจะเข้าเค้าเข้าไปทุกที แน่นอนว่าเรื่องภาพพจน์นั้นเป็นข้อยกเว้น เซียวอวี๋ดูคล้ายกับอันธพาลร้านถิ่นมากกว่าจะเป็นขุนนางผู้สูงส่ง อย่างไรก็ตาม ในฐานะจ้าวมนตราประจำราชวงศ์ เฟอร์กูสันทราบว่าเรื่องภาพพจน์ของกษัตริย์มักจะถูกแต่งเติม ดังนั้น ไม่ว่าเซียวอวี๋จะใช่อันธพาลหรือไม่ ตัวเขาย่อมสามารถแต่งเติมได้ตามต้องการ เฟอร์กูสันมองเห็นบางสิ่งที่พิเศษในตัวของเซียวอวี๋ นั่นก็คือ ทัศนคติที่มีต่อเผ่าพันธ์ุอื่นๆ เขามองและปฏิบัติต่อเผ่าพันธ์ุอื่นอย่างเท่าเทียม ทั้งยังค่อยๆกำจัดระบบทาสภายในดินแดนให้หมดไป สำหรับตัวเขาแล้ว สิ่งเหล่านี้นั้นเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เกิดขึ้นจริงได้ แต่เมื่อมองดูดินแดนไลอ้อนแล้ว มันก็ทำให้เขาต้องตะลึง นโยบายที่ดูเปะปะมั่วซั่วเหล่านั้นและการปฎิรูปที่ดูขบถต่อธรรมเนียมประเพณีกลับทรงพลังจนทำให้ผู้คนได้แต่ปากอ้าตาค้าง การไหลบ่าเข้ามาของผู้คนจากทั่วทุกสารทิศนับเป็นข้อพิสูจน์อย่างดี ดินแดนไลอ้อนที่จากเดิมมีประชากรเพียงหลักแสน มาตอนนี้มีมากถึงหลักล้านแล้ว ผู้คนต่างสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุข นี่นับเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ว่าผู้ใดก็สามารถกระทำได้ นี่เป็นสิ่งที่จักรพรรดิพึงมี มันคือคุณสมบัติของผู้ปกครองที่แท้…..