ตอนที่ 224 งามซึ้งใจ

รักเล่ห์เร้นใจ

เซียวจิ่งสือพอฟังคำถามของอินเสี่ยวเสี่ยวแล้ว ก็นิ่งงันไปวูบ แล้วคิดว่า ที่อินเสี่ยวเสี่ยวพูดว่าสองคนที่หน้าเหมือนกันเปี๊ยบนั้นคงไม่ได้หมายถึงเธอกับหลินหว่านตัวปลอมนั่นกระมัง เซียวจิ่งสือจึงรู้สึกใจเต้นระทึกขึ้นมา หรือว่าอินเสี่ยวเสี่ยวนึกอะไรออกแล้ว?

 

 

“งั้นที่คุณบอกว่าคนสำคัญนั้นสำคัญแค่ไหนกันล่ะ?” เซียวจิ่งสือถาม

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวกระพริบตา พูดว่า “บ…แบบว่าสำคัญมากๆ เลยไง สรุปก็คือ เซียวจิ่งสือ ถ้าหากมีสองคนที่หน้าเหมือนกันเปี๊ยบจริงๆ คุณจะจำผิดไหมคะ”

 

 

เซียวจิ่งสือฟังแล้วใจเต้นระทึก เขามองตาอินเสี่ยวเสี่ยว แล้วตอบอย่างตั้งใจว่า “ไม่หรอก คนที่สำคัญกับผมคนนั้น ถ้าผมเป็นคนที่ผมรัก ผมไม่มีทางจำผิดเด็ดขาด”

 

 

“งั้นหรือคะ?” อินเสี่ยวเสี่ยวฟังแล้วกลับรู้สึกติดใจอยู่บ้าง งั้นเซียวจิ่งสือจำเธอกับหลินหว่านผิดไปหรือเปล่ากันแน่ ยังมีอีก ที่เขาบอกว่าคนที่รักก็น่าจะเป็น ‘หลินหว่าน’ สิ งั้นเธอ…

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว หว่านว่าน คุณไม่เชื่อหรือ?” เซียจิ่งสือมองอินเสี่ยวเสี่ยวแล้วพูดขึ้น

 

 

เพียงแต่ พอเขาเห็นท่าทีห่อเ**่ยวลงไปอย่างเห็นได้ชัดของอินเสี่ยวเสี่ยวแล้ว เซียวจิ่งสือก็เข้าใจความในใจของอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างทะลุปรุโปร่ง

 

 

เซียวจิ่งสือรู้สึกสงสารเธออยู่บ้าง จู่ๆ เขาก็อยากบอกความจริงทั้งหมดกับอินเสี่ยวเสี่ยว แต่เขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็มีเสียงของผู้กำกับดังมาไกลๆ

 

 

“หลินหว่าน! หลินหว่านล่ะ? ฉากต่อไปจะเริ่มถ่ายแล้ว ทำไมยังหาตัวเธอไม่เจอนะ?”

 

 

เนื่องจากก่อนหน้านี้ทางกองถ่ายเสียเวลาไปไม่น้อย พอผู้กำกับเห็นว่าวันนี้หลินหว่านมีความพร้อมไม่เลว จึงคิดจะเร่งถ่ายชดเชยเวลาที่เสียไป เขาจึงออกตามหาตัวหลินหว่านไปทั่วกองถ่าย

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวนั้นแน่นอนว่าได้ยินเสียงผู้กำกับ เธอรีบโยนความคิดสับสนอลหม่านที่อยู่ในหัวทิ้งไป พูดกับเซียวจิ่งสือว่า “เอาล่ะคะ เซียวจิ่งสือ ขอบคุณนะคะที่ตอบคำถามเมื่อครู่ของฉัน ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้ว ฉันจะไปเข้ากล้องแล้วค่ะ”

 

 

พูดจบ อินเสี่ยวเสี่ยวก็หมุนตัวจะจากไป เพียงแต่ วินาทีที่เธอหมุนตัวไปนั้น อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกฝาดขมในคออยู่บ้าง คนที่เซียวจิ่งสือพูดว่า ‘ถ้าเป็นคนที่รัก’ นั้นเป็นใครกันแน่? เป็นหลินหว่านหรือเปล่า?

 

 

งั้นเขาจำเธอกับ ‘หลินหว่าน’ ผิดไปหรือเปล่ากันแน่นะ?

 

 

ระหว่างเข้ากล้อง อินเสี่ยวเสี่ยวมองไปทางทิศที่เมื่อครู่เธอกับเซียวจิ่งสืออยู่ด้วยกัน พอเห็นว่าที่ตรงนั้นไม่มีเงาร่างของเซียวจิ่งสือ หัวใจเธอก็เกิดความรู้สึกขมฝาดจนพูดไม่ออก

 

 

ผู้กำกับเห็นแล้วก็เตือนให้อินเสี่ยวเสี่ยวตั้งใจแสดง อินเสี่ยวเสี่ยวจึงได้แต่โยนอารมณ์พวกนี้ทิ้งไป หันมาทุ่มเทให้กับการแสดง

 

 

เซียวจิ่งสือยังคิดจะอยู่จนอินเสี่ยวเสี่ยวแสดงเสร็จ แต่คาดไม่ถึงว่า เลขาจะโทรมาด้วยเรื่องสำคัญ เขาจึงจำต้องรีบกลับบริษัทไปโดยด่วน

 

 

หลังจากนั้นอีกหลายวัน พอเซียวจิ่งสือมีเวลาก็จะมาเยี่ยมอินเสี่ยวเสี่ยว แต่เขาหาโอกาสเหมาะที่จะบอกความจริงกับอินเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้เสียที

 

 

จนกระทั่งวันนี้ อี้อวิ๋นฉังมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง

 

 

อี้อวิ๋นฉังกลับมาเพื่อจะดูว่าหนังถ่ายทำเป็นอย่างไรบ้าง แม้ว่าเธอจะให้คนในกองถ่ายรายงานความคืบหน้าในกองถ่ายกับเธอทุกวัน รวมทั้งความเคลื่อนไหวของอินเสี่ยวเสี่ยว แต่พร้อมกันนั้นเธอก็มักจะได้รับรายงานว่าเซียวจิ่งสือสนิทสนมกับอินเสี่ยวเสี่ยวมาก เป็นข่าวที่หวานชื่นมาก

 

 

เธอเพิ่งไปจากกองถ่าย อินเสี่ยวเสี่ยวก็คิดจะเข้ามาคว้าตัวเซียวจิ่งสือหรือยังไง? อี้อวิ๋นฉังโมโหซะไม่มี จึงกลับมาที่กองถ่ายอีก

 

 

วันนี้อินเสี่ยวเสี่ยวถ่ายเสร็จแล้ว เตรียมจะออกไปทานข้าวกับเซียวจิ่งสือ แต่คิดไม่ถึงว่าก่อนที่จะออกไปนั้น มือถือของเซียวจิ่งสือดังขึ้น

 

 

เซียวจิ่งสือหยิบมือถือขึ้น พอเห็นสัญญาณที่หน้าจอ อินเสี่ยวเสี่ยวก็พบว่าเซียวจิ่งสือสีหน้าไม่ดีนัก เซียวจิ่งสือพูดกับอินเสี่ยวเสี่ยวว่า “ผมขอไปรับสายก่อนนะครับ”

 

 

“อื้อ” อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกขมขื่นอยู่บ้าง เมื่อครู่เธอปรายตาแวบหนึ่งไปที่มือถือของเซียวจิ่งสือ เห็นชื่อ ‘หลินหว่าน’ เข้าโดยไม่ตั้งใจ ดูท่าว่าข้าวมื้อนี้พวกเขาคงไม่ได้ทานแล้ว

 

 

แล้วก็จริงซะด้วย ผ่านไปไม่นาน เซียวจิ่งสือรับสายกลับมา ก็พูดกับอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างลำบากใจว่า “หว่านหว่าน ผมมีธุระด่วนน่ะ วันนี้คงไปทานข้าวกับคุณไม่ได้แล้ว เอาไว้คราวหน้าเราค่อยทานข้าวด้วยกันนะครับ”

 

 

“ค่ะ คุณมีธุระก็รีบไปก่อนเถอะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” อินเสี่ยวเสี่ยวพูดอย่างใจกว้าง

 

 

เซียวจิ่งสือพูดจบก็ขมวดคิ้วหมุนตัวจากไป อินเสี่ยวเสี่ยวมองดูเงาร่างของเซียวจิ่งสือที่ค่อยๆ เลือนหายไป รู้สึกอับจนสิ้นหนทาง ทั้งยังขมขื่นใจอยู่บ้าง เธอถอนใจยาวเตรียมจะกลับไปกองถ่าย แต่คาดไม่ถึงว่าจะมีเงาร่างหนึ่งขวางทางเธอเอาไว้

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวมองดูผู้หญิงที่ขวางเธอไว้ เธอสวมแว่นดำ สีหน้าหยิ่งยโส ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ

 

 

ถึงแม้จะไม่เห็นหน้าตาของเธอแต่ความรู้สึกของอินเสี่ยวเสี่ยวบอกเธอว่าคนตรงหน้านี้ก็คือ ‘หลินหว่าน’

 

 

แล้วก็จริงซะด้วย อี้อวิ๋นฉังถอดแว่นดำออก พูดกับอินเสี่ยวเสี่ยวด้วยท่าทางถือดีว่า “ทำไม จำฉันไม่ได้แล้วรึ อินเสี่ยวเสี่ยว?”

 

 

“หลินหว่าน ทำไมเธอมาอยู่นี่?” อินเสี่ยวเสี่ยวถาม ในใจนึกถึงโทรศัพท์เมื่อครู่ของเซียวจิ่งสือ

 

 

“ฉันมาอยู่นี่ไม่ได้หรือไง?” อี้อวิ๋นฉังย้อมถาม แล้วพูดอย่างโมโหว่า “เฮอะ ฉันไม่กลับมา จะรู้ได้ยังไงว่าเธอเกาะติดเซียวจิ่งสือได้เร็วขนาดนี้!”

 

 

“ธ…เธออย่ามาพูดจาใส่ร้ายฉันนะ! ฉันกับเซียวจิ่งสือไม่ได้มีอะไรกันแบบที่เธอคิดหรอก!” อินเสี่ยวเสี่ยวอธิบายแก้ต่างให้ตัวเอง

 

 

“ไม่ใช่ก็ดี!” อี้อวิ๋นฉังพูดเสียงเย็น จากนั้นเธอก็เดินเข้ามาที่ข้างกายอินเสี่ยวเสี่ยว พูดที่ข้างหูเธอว่า “อินเสี่ยวเสี่ยว ฉันจะบอกให้นะ ฉันต่างหากที่เป็นหลินหว่าน เซียวจิ่งสือเป็นของฉัน เธอมันแค่ตัวสำรอง อย่าคิดนะว่าแสดงแทนฉันแค่ไม่กี่วันก็จะลืมสถานะของตัวเอง! บอกเธอไว้เลยว่าชาตินี้ทั้งชาติเซียวจิ่งสือก็เป็นของเธอไปไม่ได้หรอก!”

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวฟังแล้วรู้สึกเศร้าเสียใจอย่างประหลาด เธอแกล้งทำเป็นเข้มแข็ง พูดว่า “ฉันทราบแล้วค่ะ คุณหลิน ถ้าคุณไม่มีธุระอะไรแล้ว ฉันจะกลับไปกองถ่ายแล้วค่ะ”

 

 

อี้อวิ๋นฉังไม่สนใจคำพูดของอินเสี่ยวเสี่ยว เธอพูดต่อว่า “เมื่อกี้เธออยู่กับเซียวจิ่งสือ คงจะรู้แล้วสินะว่าฉันเป็นคนโทรหาเขาเอง”

 

 

“บอกเธอก็ได้ เซียวจิ่งสือรับสายฉัน พอได้ยินว่าฉันจะทานข้าวกับเขาก็รีบตอบตกลงทันทีเลย” สีหน้าของอี้อวิ๋นฉังบอกว่าโอ้อวดเต็มที่

 

 

“เป็นยังไงบ้าง ความรู้สึกที่เพิ่งถูกเซียวจิ่งสือทอดทิ้งน่ะ?” อี้อวิ๋นฉังถามอย่างถือดีไม่มีเกรงใจ

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวฟังแล้วเจ็บแปลบเหมือนคมมีดกรีด เธอเจ็บปวดจนพูดไม่ออก

 

 

“เอาล่ะ ไม่คุยกับเธอแล้ว ฉันยังต้องไปทานข้าวกับเซียวจิ่งสืออีกแน่ะ” สุดท้าย อี้อวิ๋นฉังเหมือนกับผู้หญิงที่ชนะศึกคนหนึ่ง เธอเงยหน้าเชิดอกเดินออกไปจากที่นี่ ทิ้งอินเสี่ยวเสี่ยวให้อยู่ที่นี่ตามลำพังอย่างโดดเดี่ยว

 

 

ภายในห้องอาหารของโรงแรมแห่งหนึ่ง เซียวจิ่งสือนั่งประจันหน้ากับอี้อวิ๋นฉัง บรรยากาศทั้งเย็นชาและอึดอัดกระจายอยู่โดยรอบคนทั้งสอง

 

 

เซียวจิ่งสือมอง ‘หลินหว่าน’ ที่ตรงหน้าอย่างเย็นชา พูดว่า “หว่านหว่าน คุณไม่คิดจะอธิบายอะไรกับผมสักหน่อยรึ?”