ทุกคนที่อยู่ในหอคอยจักรพรรดิลนลานมาตลอดหลายวันที่ผ่านมาทุกคนต่างทุกข์ร้อนมากกว่าชิงสุ่ย แน่นอนว่าถ้าหากพลังของชิงสุ่ยไม่พัฒนาก้าวหน้าอย่างฉับพลัน เขาเองก็คงจะอยู่แบบทุกข์ร้อนไม่ต่างจากคนอื่น
”ทุกคนอย่าได้ก้าวออกจากหอคอยจักรพรรดิเด็ดขาด”ชิงสุ่ยบอกกล่าวกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม
”พวกเราควรร่วมมือกัน”ชิงห่านอี้เป็นคนแรกที่ออกมาขัดแย้ง
”สหายสุ่ยน้องสาวอี้และข้ามีความสามารถพอจะปกป้องตัวเองได้ ให้พวกเราไปกับเจ้าเถอะ!!”ตงฟ่างจือซิ่วที่รู้จักกันในนามผู้นำเทวะตงฟ่างกล่าวเสริม
ชิงสุ่ยไตร่ตรองอยู่สักพักใหญ่ก่อนจะเผยให้เห็นรอยยิ้ม”ก็ได้ แต่ถ้าเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้น พวกเจ้าจะต้องกลับเข้าไปในหอคอยจักรพรรดิทันที ที่นี่จะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด”
หญิงสาวทั้งสองคนพยักหน้าแล้วไม่โต้เถียงใดๆอีเย่เจี้ยนเก้อเองก็อุ้มชิงซิ่วตัวน้อยพร้อมกับพยักหน้าให้ชิงสุ่ย เธอไม่พูดอะไรนอกจากส่งรอยยิ้ม ตัวของเธอเองรู้ทุกอย่างในสิ่งที่ชิงสุ่ยทำ รู้แม้กระทั่งว่าวิญญาณที่แท้จริงของชิงสุ่ยมันไม่ใช่คนของโลกนี้ รวมถึงพลังของดินแดนหยกยุพราชอมตะที่ทำให้เขากลายเป็นคนเหนือคน
นอกจากความลับบางอย่างชิงสุ่ยเลือกที่จะเปิดเผยทุกอย่างให้กับภรรยา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคืออีเย่เจี้ยนเก้อ ที่เขาบอกอย่างละเอียดโดยไม่ปิดบังแม้แต่เสี้ยวเดียว
การที่เขาเปิดเผยกับคนใกล้ตัวมันไม่ได้ส่งผลร้ายแต่การที่เขาบอกพลังของตนเองให้คนอื่นได้รู้ มันก็ไม่ได้ส่งผลประโยชน์อะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของพลังในดินแดนหยกยุพราชอมตะซึ่งอาจจะนำพาภัยพิบัติมาหาเขาแทน เมื่อกลุ่มคนเหล่านั้นเข้ามาใกล้ชิงสุ่ยก็เริ่มสามารถระบุตัวตนได้ เขาถึงกับถอนหายใจเมื่อพบว่ากลุ่มคนที่กำลังมามีทั้งหมด 30 คน แต่ละคนยืนอยู่บนสัตว์อสูรขนาดใหญ่ที่มีสีสันต่างกัน
คนทั้ง30 คนที่เขาเห็นอาจจะดูไม่มากถ้าไม่แข็งแรง แต่ถ้าทุกคนมีพลังเทียบเท่ากับผู้นำเทวะสูงสุดล่ะ แล้วถ้าหากพวกเขามีพลังมากกว่าผู้นำเทวะสูงสุด คนเพียงแค่ 30 คน ก็มากพอจะเทียบเท่าทหารนับล้าน
ทุกคนที่ยืนอยู่บนสัตว์อสูรดูมีอายุมากเกือบทั้งหมดเรียกได้ว่าเป็นคนชรา บางคนอาจจะดูเหมือนชายวัยกลางคน และมีเด็กหนุ่มแฝงตัวอยู่ในกลุ่มเพียงไม่กี่คน ซึ่งมีชายชราบางคนได้ดึงดูดสายตาของชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยสังเกตเห็นคนที่มีอายุน้อยที่สุดและคนที่มีอายุมากที่สุดในกลุ่มคนที่มีอายุน้อยที่สุดดูเหมือนจะมีศักยภาพที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้และเป็นอันตรายมากกว่าคนส่วนใหญ่ พลังของเขาน่าจะมาจากสมบัติล้ำค่าบางอย่างที่อยู่ในร่างกาย ส่วนเหตุผลที่ชิงสุ่ยจับสังเกตคนที่มีอายุมากที่สุด ก็เพราะเขาก็เป็นอีกหนึ่งคนที่มีพลังอยู่เหนือสุดของกลุ่ม และมีโอกาสที่จะเป็นผู้นำกลุ่ม
ชายชราทั้ง5 คนที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดมีผมสีขาวโพลน แต่ยังคงไว้ซึ่งร่างกายที่แข็งแกร่ง ทุกคนมาพร้อมกับเสื้อคลุมยาว มีอยู่ 2 คนที่มีร่างกายอวบอ้วน ส่วน 3 คนที่เหลือร่างกายพร้อมเพียง
รอบตัวของพวกเขาปรากฏให้เห็นเป็นลมหวนที่เกิดจากคลื่นพลังมันเป็นรูปแบบของพลังธรรมชาติที่ปลดปล่อยออกมาผ่านความสูงศักดิ์ขณะยืนอยู่กลางอากาศ มันเป็นคลื่นพลังที่มองแค่แป๊บเดียวก็รู้เลยว่ามันเป็นพลังธรรมชาติที่คอยเชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินสวรรค์และแผ่นดินโลก
ราชันย์ปราชญ์!!
นี่สินะราชันย์ปราชญ์ที่แท้จริง!!
ชิงสุ่ยแสดงสีหน้าอึดอัดเมื่อเห็นชายชราเหล่านี้เขาไม่กล้าประมาท เนื่องจากกลิ่นอายที่พวกมันปลดปล่อยออกมากดดันอย่างรุนแรงจนไม่อาจผ่อนคลายได้ มันคือพลังธรรมชาติที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วง ซึ่งพลังธรรมชาติของพวกมันเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดราวกับว่าไม่ใช่พลังธรรมชาติที่ผ่านการฝึกฝนแบบปกติ
และด้วยรัศมีของพลังธรรมชาติมันทำให้มุมมองของชิงสุ่ยที่มีต่อมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์เปลี่ยนแปลงไป อย่างน้อยจากที่เขาสัมผัสได้ มี 3 คนที่แข็งแกร่งเหนือคนอื่น ส่วนที่เหลือมีพลังเทียบเท่าหรือมากกว่าผู้นำเทวะสูงสุดอยู่เพียงเล็กน้อย
รากเงาของชิงสุ่ยหายวับไปจากพื้นดินก่อนจะไปปรากฏตัวอีกทีกลางอากาศเหนือน่านฟ้าหอคอยจักรพรรดิ
ชิงสุ่ยไม่เอ่ยคำวาจาใดๆทั้งสิ้นนอกเสียจากสายตาที่เขาจ้องมองเราชายชรา หากระบุเจาะจง ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ชายที่อยู่ตรงกลางจากหมู่คนทั้ง 5
ชายชราคนนี้มีความสูงประมาณปานกลางและมีลักษณะร่างกายอกผายไหล่ผึ่งเขามีหน้าผากกว้างเรียบเนียนเหมือนผิวกระดาษ พลังธรรมชาติรอบร่างกายของเขาแข็งแกร่งจนน่ากลัว ดวงตาที่ดูเที่ยงตรงแสดงถึงอำนาจและศักดิ์ศรี แม้ตัวของชายชราจะเป็นเพียงแค่ร่างมนุษย์ แต่พลังที่ชิงสุ่ยรับรู้ได้มันเหมือนกับภูเขาขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็น
”ข้าขอทราบเหตุผลได้หรือไม่ว่าทำไมเหล่าผู้อาวุโสถึงมาที่นี่?”ในที่สุด ชิงสุ่ยก็เริ่มเปิดปากทำลายบรรยากาศความเงียบง่ำ
น้ำเสียงของชิงสุ่ยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเคารพเขาพูดด้วยท่าทางสงบ ราวกับว่าเขาไม่รู้สึกถึงแรงกดดันจากชายชราที่อยู่เบื้องหน้า
”เจ้าหนุ่มน้อยเจ้าคือผู้นำของหอคอยจักรพรรดิใช่หรือไม่?” ชายชราที่อยู่ตรงกลางเริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน แม้คำพูดจะดูมีความเมตตา แต่ก็แฝงไปด้วยศักดิ์ศรีและพลังกดขี่ มันไม่ใช่เสียงที่เขาตั้งใจจะทำ แต่มันเป็นเสียงที่เป็นธรรมชาติของชายชรา ”ข้าเองไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสมีธุระอันใดกับข้า?”ชิงสุ่ยถามกลับไปด้วยรอยยิ้ม
”ข้ามาที่นี่เพื่อตามหาคนที่ฆ่าผู้นำเทวะของมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์เจ้าคือคนนั้นใช่หรือไม่พ่อหนุ่ม?” ชายชรายังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้จะฟังดูเป็นมิตร แต่ก็ยังคงอัดแน่นไปด้วยแรงกดดันจากฐานันดรศักดิ์ ศักดิ์ศรีที่กดขี่ให้ผู้คนต้องยอมรับฟัง พร้อมกับเชื่อและยอมทำตามคำสั่งของชายชรา
”ข้าไม่รู้เรื่องผู้นำเทวะที่พวกท่านกล่าวแต่ข้าเพิ่งสังหารคนชั่วช้าคนนึงเมื่อหลายวันก่อน ท่านผู้อาวุโส ท่านคงเข้าใจการกระทำของคนชั่วช้าใช่หรือไม่ ในเมื่อพวกมันต้องการรังแกคนอื่นด้วยพลัง ข้าก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้ามัน” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังขณะจ้องมองใบหน้าของชายชรา
”เจ้าหนูน้อยเจ้ากล้าพูดคำพูดแบบนี้ออกมาได้เยี่ยงไร ในเมื่อเจ้าเป็นคนสังหารผู้นำเทวของพวกเรามหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ ดูเหมือนเจ้าตัวเป็นคนแรกที่กล้าทำเช่นนี้”หนึ่งในกลุ่มผู้อาวุโสร่างกายอวบอ้วนที่ยืนอยู่ด้านข้างชายชราซึ่งยืนอยู่ตรงกลางกล่าวแทรก
ชายชราคนอื่นๆหัวเราะเยาะขณะที่พวกเขาหรี่ตาเล็กลง จนคล้ายกับรอยยิ้มอสรพิษ
จิตสังหารพวยพุ่งออกมาทันทีหลังจากที่รอยยิ้มปรากฏ มันยิ่งทำให้ชิงสุ่ยจดจ่อไปที่เหล่าชายชรา จนอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมชายชราที่แสนชาญฉลาดผู้ซึ่งยืนอยู่ตรงกลาง ถึงได้มีความเกี่ยวข้องกับชายชราหน้าโง่ทั้งหมด
จากชายชราทั้งหมด5 คน มีเพียง 3 คนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำของราชันย์ปราชญ์ แต่คุณสมบัติและลักษณะของอีก 2 คนที่เหลือด้อยกว่าทั้ง 3 คนเพียงแค่เล็กน้อย แต่สิ่งที่ทุกคนหลบซ่อนเอาไว้คือเจตจำนงหรือเจตนา มันไม่อาจหลุดรอดจากสายตาของชิงสุ่ยไปได้ ถ้าหากมีหนึ่งในนั้นกล่าวเรื่องโกหก คนที่เหลือจะมีปฏิกิริยาผ่านสายตา ทำให้ชิงสุ่ยรู้ได้ถึงความหมายที่แท้จริงจากการตรวจสอบดวงตา เป็นไปได้หรือไม่ที่มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์จะถูกแบ่งแยกออกเป็นกองกำลังมากมายเช่นกัน?
”ท่านผู้อาวุโสมีใครเคยบอกท่านหรือไม่ว่าตอนที่ท่านยิ้ม ภายใต้รอยยิ้มของท่านมันมีคมมีดแหลมคมคอยต้อนพร้อมจะเชือดเฉือนผู้คนที่สัมผัส?”ชิงสุ่ยเริ่มรำคาญ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากเราชายชรา มีเพียงสองคนเท่านั้นที่สมควรได้รับการนับถือจากเขา ส่วนที่เหลือไม่ควรค่าพอที่จะอยู่ในสายตา