เมื่อเห็นอาหูดีใจหนักจนเข้าขั้นเอ๋อไปแล้ว หานจื่อจึงเดินอาดๆไปที่ด้านหน้าของอาหูแล้วจงใจสะบัดก้นชนใบหน้าและลำตัวของอาหูอย่างแรง จนร่างของอาหูกระเด็นปลิวออกไป
“โลกแคบจริงๆเลยเชียว!”
“โง่เง่าเช่นนี้ยังชื่อ อาหู (หู แปลว่า เสือ) ได้?”
หานจื่อไม่เข้าใจหลักการอันสูงส่งพิลึกพิลั่นในการตั้งชื่อของเหล่ามนุษย์ทั้งหลายจริงๆเลย
แต่ว่า ต่อให้เป็นเสือ ในสายตาของหานจื่อ เสือก็ยังนับว่ายังอ่อนหัด…อ่อนหัดที่สุดเลยด็ว่าได้ ดังนั้นอาหูใช้ชื่อนี้ก็ไม่เลว เพราะอย่างไรก็อ่อนหัดเหมือนกับตัวเขา เหมาะสมกันดี
ติดตามอยู่ข้างกายซย่าโหวฉิงเทียนมานาน การกระทำและความคิดของหานจื่อแทบจะเหมือนกันกับนายของมันไปเสียแทบทุกกระเบียดนิ้วไปแล้ว
อาหูถูกแรงมหาศาลชนจนกระเด็นออกไปไกล แต่โชคยังดีที่เขามีปฏิกริยาตอบสนองได้รวดเร็ว สุดท้ายจึงกระเด็นตกไปบนโขดหินก้อนหนึ่ง
‘เจ้าสัตว์ดุร้ายตัวนั้นเป็นสุนัขจริงๆใช่ไหม?’
‘เรี่ยวแรงมหาศาลที่ป่าเถื่อนเช่นนี้ เหมือสุนัขธรรมดาๆที่ไหนกัน?’
“เว้ย อาหูจอมโง่!”
หานจื่อเลียริมฝีปากแผลบๆ
“ต่อไปต้องตั้งใจให้มากละ”
“ติดตามแม่นางน้อย รับรองว่ามีคุณประโยชน์มากมาย เจ้าเข้าใจไหม!”
อาหูไม่เข้าใจความหมายของหานจื่อ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ป่าที่ดุร้ายเช่นนี้ เขาจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับปากเท่านั้น
‘แม้เจ้า เจ้าหมายักษ์นี่หมายความว่าอะไรกันแน่?’
‘เหตุใดต้องกักตัวเขาเอาไว้รังแกด้วยเล่า!’
‘หรือเป็นเพราะในหมู่มนุษย์เขาเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุด ดังนั้นจึงถูกหมารังเกียจ?’
โดนหานจื่อกระตุ้นเข้าให้ อาหูก็ยืนหลังตรงแน่วราวกับได้เติมพลังมาเต็มเปี่ยม
“ข้าจะต้องขยันฝึกฝน กลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดให้จงได้!”
‘อวดไปสิ! อวดอ้างต่อไปสิ!’
หานจื่อเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ผู้ที่มีวรยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดแน่นอนว่าคือนายท่านและแม่นางน้อยอยู่แล้ว!”
“เสือแก่จอมโง่เชื่อถือไม่ได้หร้อก!”
ว่าแล้วหานจื่อก็ไม่ไปสนใจอาหูอีกต่อไป
เมื่อเห็นว่าเจ้าสุนัขยักษ์สีดำหันก้นมาทางตนเอง ทั้งยังเอาแต่ตด ‘ปู๊ดๆ’ ใส่เขาถึงสองครั้งสองคราโดยไม่รู้เวล่ำเวลา อาหูก็ถึงกับน้ำตาไหลพราก
‘อย่าเอาโจมตีคนอื่นเขาเช่นนี้ได้ไหมเล่า? ข้าเองก็ตัดสินใจจะมุ่งมานะพยายามแล้วนี่นา! อย่ารังเกียจข้าเลย!’
“หานจื่อ เจ้าชักจะเริ่มดื้อแล้วนะ!”
อวี้เฟยเหยียนลูบศีรษะหานจื่อ การที่มันหยอกเย้ากับมนุษย์แรงๆเช่นนี้ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว
แต่ว่า อวี้เฟยเยียนก็ดูออกว่า หานจื่อชื่นชอบในตัวตัวเสิ่นถูเลี่ยและอาหูมากทีเดียว เพราะมันสามารถแยกแยะคนดีกับคนเลวได้ ดังนั้นมันถึงได้ ‘ญาติดี’ กับพวกเสิ่นถูเลี่ยอย่างไรเล่า
เมื่อได้ยินคำพูดของอวี้เฟยเยียน หานจื่อก็ ‘อ๋าวบรู๊ว’ ตอบรับด้วยความลำพองใจ
“หากมิใช่เห็นแก่หน้าแม่นางน้อยละก็ ข้าจะไม่ยอมเป็นเพื่อนกับพวกเขาหรอก!”
ในขณะที่มันกำลังดีใจอยู่นั้น ฉับพลันหานจื่อก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามันเพิ่งจะถูกอวี้เฟยเยียนหอมแก้มมา
“แม่เจ้า นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เดียว! ลมเพชรหึงของนายท่านมีมากเสียด้วย นายท่านจะฆ่ามันปิดปากไหมนะ?”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินแม่นางน้อยเลยนะ!”
“นายท่าน ท่านจะต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่างนะขอรับ!”
เมื่อคิดได้ดังนั้นหานจื่อก็อดไม่ได้ที่จะต้องมองไปที่ซย่าโหวฉิงเทียนราวกับวัวสันหลังหวะ
สิ่งที่หานจื่อกำลังคิดกลับไม่ได้เกิดขึ้น ตรงกันข้ามซย่าโหวฉิงเทียนยิ้มตอบกลับมันพร้อมกับเอ่ยชม
“ทำได้ไม่เลว!”
“นี่มันฝนหลงฤดู พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแน่ๆเลย นายท่านถึงได้มีท่าทีเช่นนี้”
“เจ้านายถึงได้ผิดปกติถึงเพียงนี้?”
“นายท่านไม่เอาเรื่องในตอนนี้ ภายหน้ามิใช่จะหวนกลับมาคิดบัญชีอีกละ?!” หานจื่ออดไม่ได้ที่เงยหน้ามองฟ้า
“เจ้าหานจื่อจอมโง่!”
อวี้เฟยเยียนไหนเลยจะไม่รู้ความในใจของหานจื่อ และนางก็ไม่เคยเห็นสัตว์ป่าตัวไหนเฉลียวฉลาดเท่ามันมาก่อนเลย
“แม่นางน้อย เจ้าจะต้องปกป้องข้าน้อยนะ!”
หานจื่อเกาะแข้งเกาะขาของอวี้เฟยเยียนเอาไว้แน่น นับวันมันก็ยิ่งรู้สึกว่า
“หากต้องการที่จะมีชีวิตที่แสนสุขสบายละก็ จะต้องกอดขาอวี้เฟยเยียนเอาไว้ให้แน่นๆ เพราะนางต่างหากคือเจ้านายที่แท้จริง! แม่นางน้อยคือยันต์คุ้มภัยของข้า!”
อวี้เฟยเยียนลูบหัวหานจื่ออีกครั้ง แล้วค่อยเดินไปหาซย่าโหวฉิงเทียน
“พวกเราไปดูหลิงเอ๋อร์กันเถอะ!” อวี้เฟยเยียนเป็นฝ่ายจับมือซย่าโหวฉิงเทียน ฝ่ามือของนางอุ่นร้อน เมื่อฝ่ามือของเขาและนางสัมผัสกันความอบอุ่นนั้นก็แล่นพล่านเข้ามาที่หัวใจของซย่าโหวฉิงเทียน
“ไปสิ!” ซย่าโหวฉิงเทียนพยักหน้า
บัดนี้บ้านสกุลหนานกงกลายเป็นเศษซากปรักหักพังไปจนหมด ซย่าโหวฉิงเทียนจึงใช้ความทรงจำของตี้อู่หยวนที่เขาดูดมันออกมาเมื่อครู่นำทาง จนกระทั่งมาถึงยังสถานที่หนึ่ง
จากนั้นเขาจึงสั่งการให้หานจื่อใช้อุ้งเท้าของมันตะกุยเอาเศษซากหิน อิฐ ดินออกไป จนปรากฏเป็นทางเข้าซึ่งเป็นเส้นทางยาว ที่นี่คือคลังสมบัติของสกุลหนานกงนั่นเอง
เดินเข้าไปด้านใน อวี้เฟยเหยียนก็เหลือบเห็นร่างของหนานกงจื่อหลิงที่นอนอยู่บนเตียงน้ำแข็งทันที
“หลิงเอ๋อร์!”
อวี้เฟยเยียนวิ่งถลาเข้าไปที่ร่างของหนานกงจื่อหลิงบนเตียงน้ำแข็งนั้นทันที เรื่องแรกที่ทำก็คือจับชีพจรตรวจอาการของหนานกงจื่อหลิง
หากมิใช่หนานกงจื่อหลิงไม่มีชีพจรอยู่แล้ว อวี้เฟยเยียนคงคิดว่านางเพียงแค่หลับไปเท่านั้น จนกระทั่งเห็นรอยบาดแผลที่ถูกเย็บปิดบริเวณหน้าอกของหนานกงจื่อหลิงเท่านั้น อวี้เฟยเยียนถึงกับร้องไห้ออกมา
หลิงเอ๋อร์ ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่า สิ่งที่หนานกงเช่อพูดมาก่อนหน้านี้หมายความว่าอย่างไร
คนพวกนี้ตามหาซย่าโหวฉิงเทียนไม่เจอ จึงเลือกที่จะลงมือกับหนานกงจื่อหลิงแทน
จิตใจโหดเ**้ยมเลวทรามเหลือเกิน!
พวกเขาทำร้ายเด็กสาวที่น่ารักแสนดีคนนี้ลงคอได้อย่างไรกัน!
“ฉิงเทียน ใครกันที่ทำ? ใครกันที่ทำ?!” อวี้เฟยเยียนสนิทสนมกับหนานกงจื่อหลิงยิ่งนัก นางเอ็นดูสาวน้อยที่ไร้เดียงสาร่าเริงแจ่มใสคนนี้เป็นอย่างมาก
เพราะอะไรคนดีถึงไม่ได้รับสิ่งดีๆตอบแทน
“ฆาตกรเป็นใครกัน?!”
“ซย่าจื่ออวี้! นางทำเพื่อช่วยหนานกงเช่อ ถึงได้สังหารหลิงเอ๋อร์!” ซย่าโหวฉิงเทียนโอบไหล่อวี้เฟยเยียน กล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา
จากความทรงจำของตี้อู่หยวน ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนได้รับรู้เหตุกาณ์ที่หนานกงจื่อหลิงถูกสังหารได้ทั้งหมด ซึ่งเขาเองเองก็เจ็บปวดยิ่งนัก
เมื่อครู่ซย่าโหวฉิงเทียนยกโทษให้กับซย่าจื่ออวี้ แต่วินาทีนี้ เขาเสียใจภายหลังเสียแล้ว หากรู้ว่าคนที่ฆ่าหนานกงจื่อหลิงคือแม่บังเกิดเกล้าของนางเองละก็ ไม่ว่าอย่างไรซย่าโหวฉิงเทียนก็จะไม่มีทางให้อภัยซย่าจื่ออวี้เป็นอันขาด
เสือร้ายยังไม่กินลูก!
แล้วซย่าจื่ออวี้กระทำเรื่องนี้ได้ลงคอได้อย่างไรกัน!
เสิ่นถูเลี่ยเองก็พอจะคาดเดาที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมดได้ หนานกงเช่อจะต้องจิตวิปลาสเพียงไหนกัน!
นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์จะกระทำออกมาได้อย่างนั้นหรือ?
ยิ่งเมื่อคิดถึงว่าสุดท้ายเป็นซย่าจื่ออวี้นั่นเองที่สังหารหนานกงเช่อ เสิ่นถูเลี่ยก็รู้สึกว่าความรู้สึกนึกคิดของคนวิปลาสคนปกติอย่างเราๆไม่มีทางเข้าใจได้
ก่อนหน้านี้ฆ่าบุตรสาวเพื่อจะช่วยชีวิตลูกชาย ตอนหลังก็ฆ่าลูกชายเพื่อแก้แค้น…
บ้าไปแล้ว! บ้าไปแล้วจริงๆ!
ซย่าจื่ออวี้และหนานกงอ๋าวช่างเป็นคู่สร้างคู่สมผีเน่ากับโลงผุจริงๆ!
คนทั้งสองเหมาะสมกับยิ่งนัก!
“คุณชายใหญ่ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าหวาดกลัวนัก!” อาหูกล่าวพลางลูบเนื้อลูบตัวด้วยความชนลุกขนพอง เรื่องที่ได้เผชิญที่สกุลหนานกงในวันนี้ทำให้อาหูถึงกับหัวหมุนคิดตามไม่ทันทีเดียว
อาหูอาศัยอยู่ที่จวนสกุลเสิ่นถูที่แสนสงบราบเรียบมาเป็นเวลานาน จึงไม่เข้าใจความหมายพฤติกรรมของพวกคนโรคจิตพวกนี้เลยแม้แต่น้อย
เสิ่นถูเลี่ยตบไหล่อาหูเบาๆ แล้วมองไปที่อวี้เฟยเยียนที่ร้องไห้จนตาแดงจมูกแดง
“เสี่ยวอวี้ เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับชาวเผ่าตัน?”
แม้คำถามของเสิ่นถูเลี่ยออกจะผิดที่ผิดเวลาไปเสียหน่อยแต่อวี้เฟยเยียนก็ไม่ถือสา นางมองมายังเสิ่นถูเลี่ย
“ท่านแม่ของข้าคืออดีตเทพธิดาแห่งเผ่าตัน ญาติพี่น้องของข้าล้วนแต่อยู่ที่ตันซ้าย”
เมื่อได้ยินอวี้เฟยเยียนกล่าวเช่นนั้น ฉับพลันดวงตาของเสิ่นถูเลี่ยก็เป็นประกายวาบวับ
“ฉิงเทียน เสี่ยวอวี้ พวกเจ้าอย่าเพิ่งเสียใจไป! ข้าคิดว่าบางทีอาจจะมีวิธีช่วยชีวิตแม่นางหลิงเอ๋อร์ให้ฟื้นคืนมาได้!”
“วิธีการอะไร?” ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนถามขึ้นพร้อมๆกัน
“ตามตำนานเล่าว่า ชาวเผ่าตันมีวิชาชุบชีวิตคนให้ฟื้นจากความตายได้ และหัวใจของตำราแพทย์อยู่ในความครอบครองของชาวเผ่าตันสายตรง ซึ่งก็คือชาวตันซ้ายนั่นเอง”
เสิ่นถูเลี่ยกล่าว
“แม้ว่าจะเป็นเพียงตำนานที่เขาเล่าลือกันเท่านั้นทั้งไม่มีหลักฐานใดมาพิสูจน์ แต่หากว่าเป็นเรื่องจริง แม่นางหลิงเอ๋อร์ก็อาจจะมีทางรอด”
“วิชาชุบชีวิตให้ฟื้นจากความตาย?!” อวี้เฟยเยียนตกตะลึง
ตอนที่อยู่ด้วยกันกับตี้อู่เฮ่ออี้นั้น ไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน
ตอนนี้ไม่ต้องสนใจว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องลองดูสักครั้ง!
“ขอบคุณนะ เสี่ยวเลี่ย! หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็เยี่ยมไปเลย!” อวี้เฟยเยียนรีบเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว