ตอนที่ 133-1 ความรักสุดแสนทรหดของพี่ใหญ่และสาวงามอันดับหนึ่ง

จำนนรักชายาตัวร้าย

เมื่อเห็นอาหูดีใจหนักจนเข้าขั้นเอ๋อไปแล้ว หานจื่อจึงเดินอาดๆไปที่ด้านหน้าของอาหูแล้วจงใจสะบัดก้นชนใบหน้าและลำตัวของอาหูอย่างแรง จนร่างของอาหูกระเด็นปลิวออกไป 

 

 

“โลกแคบจริงๆเลยเชียว!” 

 

 

“โง่เง่าเช่นนี้ยังชื่อ อาหู (หู แปลว่า เสือ) ได้?” 

 

 

หานจื่อไม่เข้าใจหลักการอันสูงส่งพิลึกพิลั่นในการตั้งชื่อของเหล่ามนุษย์ทั้งหลายจริงๆเลย 

 

 

แต่ว่า ต่อให้เป็นเสือ ในสายตาของหานจื่อ เสือก็ยังนับว่ายังอ่อนหัด…อ่อนหัดที่สุดเลยด็ว่าได้ ดังนั้นอาหูใช้ชื่อนี้ก็ไม่เลว เพราะอย่างไรก็อ่อนหัดเหมือนกับตัวเขา เหมาะสมกันดี 

 

 

ติดตามอยู่ข้างกายซย่าโหวฉิงเทียนมานาน การกระทำและความคิดของหานจื่อแทบจะเหมือนกันกับนายของมันไปเสียแทบทุกกระเบียดนิ้วไปแล้ว 

 

 

อาหูถูกแรงมหาศาลชนจนกระเด็นออกไปไกล แต่โชคยังดีที่เขามีปฏิกริยาตอบสนองได้รวดเร็ว สุดท้ายจึงกระเด็นตกไปบนโขดหินก้อนหนึ่ง 

 

 

‘เจ้าสัตว์ดุร้ายตัวนั้นเป็นสุนัขจริงๆใช่ไหม?’ 

 

 

‘เรี่ยวแรงมหาศาลที่ป่าเถื่อนเช่นนี้ เหมือสุนัขธรรมดาๆที่ไหนกัน?’ 

 

 

“เว้ย อาหูจอมโง่!” 

 

 

หานจื่อเลียริมฝีปากแผลบๆ  

 

 

“ต่อไปต้องตั้งใจให้มากละ” 

 

 

“ติดตามแม่นางน้อย รับรองว่ามีคุณประโยชน์มากมาย เจ้าเข้าใจไหม!” 

 

 

อาหูไม่เข้าใจความหมายของหานจื่อ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ป่าที่ดุร้ายเช่นนี้ เขาจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับปากเท่านั้น 

 

 

‘แม้เจ้า เจ้าหมายักษ์นี่หมายความว่าอะไรกันแน่?’ 

 

 

‘เหตุใดต้องกักตัวเขาเอาไว้รังแกด้วยเล่า!’ 

 

 

‘หรือเป็นเพราะในหมู่มนุษย์เขาเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุด ดังนั้นจึงถูกหมารังเกียจ?’ 

 

 

โดนหานจื่อกระตุ้นเข้าให้ อาหูก็ยืนหลังตรงแน่วราวกับได้เติมพลังมาเต็มเปี่ยม 

 

 

“ข้าจะต้องขยันฝึกฝน กลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดให้จงได้!” 

 

 

‘อวดไปสิ! อวดอ้างต่อไปสิ!’ 

 

 

หานจื่อเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน 

 

 

“ผู้ที่มีวรยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดแน่นอนว่าคือนายท่านและแม่นางน้อยอยู่แล้ว!” 

 

 

“เสือแก่จอมโง่เชื่อถือไม่ได้หร้อก!” 

 

 

ว่าแล้วหานจื่อก็ไม่ไปสนใจอาหูอีกต่อไป 

 

 

เมื่อเห็นว่าเจ้าสุนัขยักษ์สีดำหันก้นมาทางตนเอง ทั้งยังเอาแต่ตด ‘ปู๊ดๆ’ ใส่เขาถึงสองครั้งสองคราโดยไม่รู้เวล่ำเวลา อาหูก็ถึงกับน้ำตาไหลพราก 

 

 

‘อย่าเอาโจมตีคนอื่นเขาเช่นนี้ได้ไหมเล่า? ข้าเองก็ตัดสินใจจะมุ่งมานะพยายามแล้วนี่นา! อย่ารังเกียจข้าเลย!’ 

 

 

“หานจื่อ เจ้าชักจะเริ่มดื้อแล้วนะ!” 

 

 

อวี้เฟยเหยียนลูบศีรษะหานจื่อ การที่มันหยอกเย้ากับมนุษย์แรงๆเช่นนี้ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว 

 

 

แต่ว่า อวี้เฟยเยียนก็ดูออกว่า หานจื่อชื่นชอบในตัวตัวเสิ่นถูเลี่ยและอาหูมากทีเดียว เพราะมันสามารถแยกแยะคนดีกับคนเลวได้ ดังนั้นมันถึงได้ ‘ญาติดี’ กับพวกเสิ่นถูเลี่ยอย่างไรเล่า 

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของอวี้เฟยเยียน หานจื่อก็ ‘อ๋าวบรู๊ว’ ตอบรับด้วยความลำพองใจ 

 

 

“หากมิใช่เห็นแก่หน้าแม่นางน้อยละก็ ข้าจะไม่ยอมเป็นเพื่อนกับพวกเขาหรอก!” 

 

 

ในขณะที่มันกำลังดีใจอยู่นั้น ฉับพลันหานจื่อก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามันเพิ่งจะถูกอวี้เฟยเยียนหอมแก้มมา  

 

 

“แม่เจ้า นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เดียว! ลมเพชรหึงของนายท่านมีมากเสียด้วย นายท่านจะฆ่ามันปิดปากไหมนะ?” 

 

 

“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินแม่นางน้อยเลยนะ!” 

 

 

“นายท่าน ท่านจะต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่างนะขอรับ!” 

 

 

เมื่อคิดได้ดังนั้นหานจื่อก็อดไม่ได้ที่จะต้องมองไปที่ซย่าโหวฉิงเทียนราวกับวัวสันหลังหวะ 

 

 

สิ่งที่หานจื่อกำลังคิดกลับไม่ได้เกิดขึ้น ตรงกันข้ามซย่าโหวฉิงเทียนยิ้มตอบกลับมันพร้อมกับเอ่ยชม 

 

 

“ทำได้ไม่เลว!” 

 

 

“นี่มันฝนหลงฤดู พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแน่ๆเลย นายท่านถึงได้มีท่าทีเช่นนี้” 

 

 

“เจ้านายถึงได้ผิดปกติถึงเพียงนี้?” 

 

 

“นายท่านไม่เอาเรื่องในตอนนี้ ภายหน้ามิใช่จะหวนกลับมาคิดบัญชีอีกละ?!” หานจื่ออดไม่ได้ที่เงยหน้ามองฟ้า 

 

 

“เจ้าหานจื่อจอมโง่!” 

 

 

อวี้เฟยเยียนไหนเลยจะไม่รู้ความในใจของหานจื่อ และนางก็ไม่เคยเห็นสัตว์ป่าตัวไหนเฉลียวฉลาดเท่ามันมาก่อนเลย 

 

 

“แม่นางน้อย เจ้าจะต้องปกป้องข้าน้อยนะ!” 

 

 

หานจื่อเกาะแข้งเกาะขาของอวี้เฟยเยียนเอาไว้แน่น นับวันมันก็ยิ่งรู้สึกว่า  

 

 

“หากต้องการที่จะมีชีวิตที่แสนสุขสบายละก็ จะต้องกอดขาอวี้เฟยเยียนเอาไว้ให้แน่นๆ เพราะนางต่างหากคือเจ้านายที่แท้จริง! แม่นางน้อยคือยันต์คุ้มภัยของข้า!” 

 

 

อวี้เฟยเยียนลูบหัวหานจื่ออีกครั้ง แล้วค่อยเดินไปหาซย่าโหวฉิงเทียน 

 

 

“พวกเราไปดูหลิงเอ๋อร์กันเถอะ!” อวี้เฟยเยียนเป็นฝ่ายจับมือซย่าโหวฉิงเทียน ฝ่ามือของนางอุ่นร้อน เมื่อฝ่ามือของเขาและนางสัมผัสกันความอบอุ่นนั้นก็แล่นพล่านเข้ามาที่หัวใจของซย่าโหวฉิงเทียน 

 

 

“ไปสิ!” ซย่าโหวฉิงเทียนพยักหน้า 

 

 

บัดนี้บ้านสกุลหนานกงกลายเป็นเศษซากปรักหักพังไปจนหมด ซย่าโหวฉิงเทียนจึงใช้ความทรงจำของตี้อู่หยวนที่เขาดูดมันออกมาเมื่อครู่นำทาง จนกระทั่งมาถึงยังสถานที่หนึ่ง 

 

 

จากนั้นเขาจึงสั่งการให้หานจื่อใช้อุ้งเท้าของมันตะกุยเอาเศษซากหิน อิฐ ดินออกไป จนปรากฏเป็นทางเข้าซึ่งเป็นเส้นทางยาว ที่นี่คือคลังสมบัติของสกุลหนานกงนั่นเอง 

 

 

เดินเข้าไปด้านใน อวี้เฟยเหยียนก็เหลือบเห็นร่างของหนานกงจื่อหลิงที่นอนอยู่บนเตียงน้ำแข็งทันที 

 

 

“หลิงเอ๋อร์!” 

 

 

อวี้เฟยเยียนวิ่งถลาเข้าไปที่ร่างของหนานกงจื่อหลิงบนเตียงน้ำแข็งนั้นทันที เรื่องแรกที่ทำก็คือจับชีพจรตรวจอาการของหนานกงจื่อหลิง 

 

 

หากมิใช่หนานกงจื่อหลิงไม่มีชีพจรอยู่แล้ว อวี้เฟยเยียนคงคิดว่านางเพียงแค่หลับไปเท่านั้น จนกระทั่งเห็นรอยบาดแผลที่ถูกเย็บปิดบริเวณหน้าอกของหนานกงจื่อหลิงเท่านั้น อวี้เฟยเยียนถึงกับร้องไห้ออกมา 

 

 

หลิงเอ๋อร์ ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่า สิ่งที่หนานกงเช่อพูดมาก่อนหน้านี้หมายความว่าอย่างไร 

 

 

คนพวกนี้ตามหาซย่าโหวฉิงเทียนไม่เจอ จึงเลือกที่จะลงมือกับหนานกงจื่อหลิงแทน 

 

 

จิตใจโหดเ**้ยมเลวทรามเหลือเกิน! 

 

 

พวกเขาทำร้ายเด็กสาวที่น่ารักแสนดีคนนี้ลงคอได้อย่างไรกัน! 

 

 

“ฉิงเทียน ใครกันที่ทำ? ใครกันที่ทำ?!” อวี้เฟยเยียนสนิทสนมกับหนานกงจื่อหลิงยิ่งนัก นางเอ็นดูสาวน้อยที่ไร้เดียงสาร่าเริงแจ่มใสคนนี้เป็นอย่างมาก 

 

 

เพราะอะไรคนดีถึงไม่ได้รับสิ่งดีๆตอบแทน 

 

 

“ฆาตกรเป็นใครกัน?!” 

 

 

“ซย่าจื่ออวี้! นางทำเพื่อช่วยหนานกงเช่อ ถึงได้สังหารหลิงเอ๋อร์!” ซย่าโหวฉิงเทียนโอบไหล่อวี้เฟยเยียน กล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา 

 

 

จากความทรงจำของตี้อู่หยวน ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนได้รับรู้เหตุกาณ์ที่หนานกงจื่อหลิงถูกสังหารได้ทั้งหมด ซึ่งเขาเองเองก็เจ็บปวดยิ่งนัก 

 

 

เมื่อครู่ซย่าโหวฉิงเทียนยกโทษให้กับซย่าจื่ออวี้ แต่วินาทีนี้ เขาเสียใจภายหลังเสียแล้ว หากรู้ว่าคนที่ฆ่าหนานกงจื่อหลิงคือแม่บังเกิดเกล้าของนางเองละก็ ไม่ว่าอย่างไรซย่าโหวฉิงเทียนก็จะไม่มีทางให้อภัยซย่าจื่ออวี้เป็นอันขาด 

 

 

เสือร้ายยังไม่กินลูก! 

 

 

แล้วซย่าจื่ออวี้กระทำเรื่องนี้ได้ลงคอได้อย่างไรกัน! 

 

 

เสิ่นถูเลี่ยเองก็พอจะคาดเดาที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมดได้ หนานกงเช่อจะต้องจิตวิปลาสเพียงไหนกัน! 

 

 

นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์จะกระทำออกมาได้อย่างนั้นหรือ? 

 

 

ยิ่งเมื่อคิดถึงว่าสุดท้ายเป็นซย่าจื่ออวี้นั่นเองที่สังหารหนานกงเช่อ เสิ่นถูเลี่ยก็รู้สึกว่าความรู้สึกนึกคิดของคนวิปลาสคนปกติอย่างเราๆไม่มีทางเข้าใจได้ 

 

 

ก่อนหน้านี้ฆ่าบุตรสาวเพื่อจะช่วยชีวิตลูกชาย ตอนหลังก็ฆ่าลูกชายเพื่อแก้แค้น… 

 

 

บ้าไปแล้ว! บ้าไปแล้วจริงๆ! 

 

 

ซย่าจื่ออวี้และหนานกงอ๋าวช่างเป็นคู่สร้างคู่สมผีเน่ากับโลงผุจริงๆ! 

 

 

คนทั้งสองเหมาะสมกับยิ่งนัก! 

 

 

“คุณชายใหญ่ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าหวาดกลัวนัก!” อาหูกล่าวพลางลูบเนื้อลูบตัวด้วยความชนลุกขนพอง เรื่องที่ได้เผชิญที่สกุลหนานกงในวันนี้ทำให้อาหูถึงกับหัวหมุนคิดตามไม่ทันทีเดียว 

 

 

อาหูอาศัยอยู่ที่จวนสกุลเสิ่นถูที่แสนสงบราบเรียบมาเป็นเวลานาน จึงไม่เข้าใจความหมายพฤติกรรมของพวกคนโรคจิตพวกนี้เลยแม้แต่น้อย 

 

 

เสิ่นถูเลี่ยตบไหล่อาหูเบาๆ แล้วมองไปที่อวี้เฟยเยียนที่ร้องไห้จนตาแดงจมูกแดง 

 

 

“เสี่ยวอวี้ เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับชาวเผ่าตัน?” 

 

 

แม้คำถามของเสิ่นถูเลี่ยออกจะผิดที่ผิดเวลาไปเสียหน่อยแต่อวี้เฟยเยียนก็ไม่ถือสา นางมองมายังเสิ่นถูเลี่ย 

 

 

“ท่านแม่ของข้าคืออดีตเทพธิดาแห่งเผ่าตัน ญาติพี่น้องของข้าล้วนแต่อยู่ที่ตันซ้าย” 

 

 

เมื่อได้ยินอวี้เฟยเยียนกล่าวเช่นนั้น ฉับพลันดวงตาของเสิ่นถูเลี่ยก็เป็นประกายวาบวับ 

 

 

“ฉิงเทียน เสี่ยวอวี้ พวกเจ้าอย่าเพิ่งเสียใจไป! ข้าคิดว่าบางทีอาจจะมีวิธีช่วยชีวิตแม่นางหลิงเอ๋อร์ให้ฟื้นคืนมาได้!” 

 

 

“วิธีการอะไร?” ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนถามขึ้นพร้อมๆกัน 

 

 

“ตามตำนานเล่าว่า ชาวเผ่าตันมีวิชาชุบชีวิตคนให้ฟื้นจากความตายได้ และหัวใจของตำราแพทย์อยู่ในความครอบครองของชาวเผ่าตันสายตรง ซึ่งก็คือชาวตันซ้ายนั่นเอง” 

 

 

เสิ่นถูเลี่ยกล่าว 

 

 

“แม้ว่าจะเป็นเพียงตำนานที่เขาเล่าลือกันเท่านั้นทั้งไม่มีหลักฐานใดมาพิสูจน์ แต่หากว่าเป็นเรื่องจริง แม่นางหลิงเอ๋อร์ก็อาจจะมีทางรอด” 

 

 

“วิชาชุบชีวิตให้ฟื้นจากความตาย?!” อวี้เฟยเยียนตกตะลึง 

 

 

ตอนที่อยู่ด้วยกันกับตี้อู่เฮ่ออี้นั้น ไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน  

 

 

ตอนนี้ไม่ต้องสนใจว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องลองดูสักครั้ง! 

 

 

“ขอบคุณนะ เสี่ยวเลี่ย! หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็เยี่ยมไปเลย!” อวี้เฟยเยียนรีบเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว