ตอนที่ 132-5 ต่อให้ตาย ข้าก็จะลากเจ้าไปลงนรกกับข้าด้วย

จำนนรักชายาตัวร้าย

ตี้อู่เยียนเอ๋อร์… 

 

 

ไม่มีใครคุ้นเคยกับชื่อนี้ไปกว่าตี้อู่หยวนอีกแล้ว 

 

 

อดีตเทพธิดาแห่งเผ่าตัน รูปโฉมงาดงามเป็นหนึ่งในใต้หล้า เกือบที่จะได้เป็นทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าเผ่าตัน 

 

 

สาวน้อยที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขานี่มีส่วนคล้ายตี้อู่หยวนเยียนเอ๋อร์อยู่เจ็ดแปดส่วน นางคือลูกสาวของตี้อู่เยียนเอ๋อร์จริงหรือนี่ 

 

 

“เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน ข้าไม่รู้เรื่อง” 

 

 

ตี้อู่หยวนส่ายหน้าปฏิเสธ 

 

 

ตี้อู่เยียนเอ๋อร์ไปยังแผ่นดินหลัวอวี่แล้วหรือ? การที่ตี้อู่หยวนเงียบปาก ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกอวี้เฟยเยียนทำอะไรเขาไม่ได้นะ 

 

 

“ไม่ต้องเสียเวลาฟังมันพล่าม!” ซย่าโหวฉิงเทียนเดินเข้ามา มือใหญ่ของเขากุมที่ศีรษะของตี้อู่หยวน แสงสีม่วงปรากฏขึ้น ร่างของตี้อู่หยวนเริ่มบิดเบี้ยวร้องเสียงโหยหวนออกมา 

 

 

จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้หยุดมือ ตี้อู่หยวนทรุดลงที่พื้น ร่างอ่อนยวบราวกับเนื้อบดอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

“ได้ความว่าอย่างไร?” ซย่าโหวฉิงเทียนขมวดคิ้ว 

 

 

ตี้อู่หยวนและตี้อู่เฉินล้วนแต่เป็นผู้เฒ่าแห่งตันขวา ตามหลักแล้วบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งระดับผู้เฒ่านี้ ควรจะได้สัมผัสรับรู้ล่วงรู้เรื่องราวสำคัญๆที่เป็นความลับบ้างสิ แล้วเพราะอะไรในหัวสมองของตี้อู่หยวนกลับว่างเปล่าไม่มีความทรงจำใดๆเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นอยู่เลยละ? 

 

 

คำตอบของซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้อวี้เฟยเยียนผิดหวังเล็กน้อย 

 

 

เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนแสดงอาการเช่นนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนจึงเอื้อมมือออกไปยีหัวของนางอย่างเอ็นดูเอ่ยว่า 

 

 

“แต่ว่ายังมีข่าวดีอยู่บ้าง หลิงเอ๋อร์ยังอยู่ในจวนสกุลหนานกง” 

 

 

หนานกงหลิงเอ๋อร์ตายไปแล้วมิใช่หรือ? 

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน? 

 

 

อวี้เฟยเยียนกำลังจะเอ่ยปากถาม แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็กวักมือเรียกนางเสียก่อน 

 

 

“ตามพี่มา! ทางด้านนี้!” 

 

 

เรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลในวันนี้เกิดขึ้นเพราะหนานกงจื่อหลิงคนนี้ทั้งสิ้น นั่นทำให้เสิ่นถูเลี่ยรู้สึกสนใจในตัวสาวน้อยผู้นี้ยิ่งนัก 

 

 

จากการคาดการณ์ของเขา หนานกงจื่อหลิงคงจะเป็นลูกสาวแท้ๆของหนานกงอ๋าวและซย่าจื่ออวี้ เมื่อได้เห็นจิตใจที่วิกลจริตของหนานกงเช่อแล้ว เสิ่นถูเลี่ยก็มิได้คาดหวังว่าสาวน้อยที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้จะมีจิตใจที่เป็นปกติได้มากสักเท่าไหร่ 

 

 

แต่ว่า ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนกลับให้ความสำคัญกับหนานกงจื่อหลิงยิ่งนัก สามารถได้รับการยอมรับจากพวกเขา หนานกงจื่อหลิงก็น่าจะเป็นคนดีคนหนึ่ง 

 

 

คราวนี้ เสิ่นถูเลี่ยก็ยิ่งสงสัยใครรู้มากยิ่งขึ้น  

 

 

ขณะที่อวี้เฟยเยียนเดินผ่านเสิ่นถูเลี่ยไปนั้น จู่ๆนางก็ชะงักฝีเท้า 

 

 

“เสี่ยวเลี่ย วันนี้เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ถึงสองครั้ง!” อวี้เฟยเยียนยิ้มกว้าง คิ้วและดวงตาของนางโค้งมนราวกับพระจันทร์เสี้ยวไม่มีผิดเพี้ยน 

 

 

“ไม่ ไม่เป็นไร…” 

 

 

ได้รับคำขอบคุณ เสิ่นถูเลี่ยเลี่ยก็รู้สึกเคอะเขินไม่น้อย 

 

 

จริงๆแล้วต้องขอบคุณ——” 

 

 

เสิ่นถูเลี่ยชี้ไปที่หานจื่อ 

 

 

ตอนท้ายในครั้งแรก ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นคนช่วยชีวิตอวี้เฟยเยียน ส่วนครั้งที่สอง หานจื่อต่างหากคือผู้ที่หยุดยั้งซย่าโหวฉิงเทียนตัวจริง 

 

 

“เสี่ยวเลี่ยเลี่ย คนจริง!” 

 

 

หานจื่อได้ยุบร่างให้เท่ากับขนาดของมันในเวลาปกติเรียบร้อยแล้ว 

 

 

มันแกว่งหางไปมาเดินเข้ามาหาเสิ่นถูเลี่ยแล้วยกอุ้งเท้าของมันไปสะกิดเท้าของเสิ่นถูเลี่ยสองสามครั้ง 

 

 

“แม่นางน้อยไม่ทันได้สังเกตเห็นข้า ยังดีที่มีเสี่ยวเลี่ยเลี่ย!” 

 

 

“หานจื่อ ชอบคุณนะ!” อวี้เฟยเยียนก้มหน้าลงมา ลูกหัวหานจื่อเบาๆ 

 

 

“รอให้ข้าพักผ่อนจนหายดีเสียก่อนจะย่างแกะทั้งตัวเป็นการตอบแทนและขอบคุณเจ้า เจ้าเห็นว่าเป็นอย่างไร?” 

 

 

“เอาสิ!” 

 

 

เพียงแค่ได้ยินถึงเรื่องของกิน หานจื่อก็ถึงกับน้ำลายไหล ดวงตาแป๋วราวกระดิ่งของมันกำลังเปล่งประกายวาววับ 

 

 

“ตัวเดียวคงไม่พอยาไส้ ข้าต้องการสองตัว! ไม่สิ สามตัวต่างหาก!” 

 

 

“ตัวหนึ่งขอเป็นรสชาติหอมละมุนลิ้น ตัวที่สองขอรสเผ็ด อีกตัวเอารสชาติเหมือนกินที่บ้านนะแม่นางน้อย!” 

 

 

หานจื่อยื่นอุ้งมือออกมาแบไปตรงหน้าอวี้เฟยเยียนเพื่อต่อรองของรางวัล 

 

 

“ได้ สามตัวก็สามตัว!” ทันใดนั้นอวี้เฟยเยียนก็ ‘จุ๊บ’ หอมหัวที่เต็มไปด้วยขนปุกปุยของหานจื่อ 

 

 

“ขอบคุณเจ้าจริงๆหานจื่อ! วันนี้เจ้าคือวีรบุรุษ!” 

 

 

ถูกมนุษย์ต่างเพศกอดจูบเข้าให้ นี่เป็นครั้งแรกสำหรับหานจื่อ ยิ่งกว่านั้นอีกฝ่ายยังเป็นแม่นางน้อยอีกด้วย 

 

 

ทันใดนั้นหานจื่อก็รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วร่าง ขนของมันลุกชันขึ้นราวกับถูกไฟชอตอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

“แม่นางน้อยถึงกับหอมแก้มข้า?” 

 

 

“นี่ข้ามิได้กำลังฝันไปใช่ไหม!” 

 

 

“วีรุบุรุษ เจ้ากำลังหมายถึงข้าใช่ไหม?” 

 

 

หานจื่อยังคงไม่แน่ใจว่า มันกำลังอยู่ในความฝันใช่หรือไม่ ดังนั้นจึงยกอุ้งมือตบหน้าอาหูที่อยู่ข้างตัวมัน จนกระทั่งอาหูร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด หานจื่อถึงได้รู้ว่า นี่เป็นเรื่องจริง 

 

 

“แม่นางน้อยหอมแก้มมัน!” 

 

 

“อ๋าว——บรู๊ว——” 

 

 

หานจื่อร้องขึ้นมาด้วยความเขินอาย เสียงของมันมิได้ห้าวหาญเหมือนดั่งที่ผ่านมา ตรงกันข้ามกลับนุ่มนวลราวกับลูกสุนัขที่เพิ่งจะลืมตาดูโลกอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

“แม่นางน้อย อย่าอบอุ่นเช่นนี้ได้ไหมเล่า?” 

 

 

“แม้ว่าข้าจะชื่นชอบ แต่นายท่านอาจจะเชือดข้าเอาได้!” 

 

 

“จริงๆนะ!” 

 

 

หานจื่อแกว่งหางไปมา แววตาที่มองดูอวี้เฟยเยียนวาววับเป็นประกาย 

 

 

“หานจื่อ เจ้ากำลังเขินอาย?” 

 

 

อวี้เฟยเยียนหัวเราะร่วน เมื่อครู่นางได้รับผลกระทบจากสภาพอารมณ์ของซย่าโหวฉิงเทียนจึงเศร้าซึมลงไปอยู่เป็นนาน คราวนี้ในที่สุดนางก็ได้ผ่อนคลายบ้างแล้ว 

 

 

“แม่นางน้อย อย่าหัวเราะข้านะ!” 

 

 

“แล้วอย่างนี้ข้าจะยังสามารถเล่นกับแม่นางน้อยได้อย่างมีความสุขไหม?” 

 

 

“เอาละ ไม่แกล้งเจ้าแล้ว! สรุปก็คือ เจ้าคือวีรุบุรุษในใจของข้า! ข้ารู้สึกภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก!” 

 

 

อวี้เฟยเยียนลูบหัวหานจื่ออีกครั้ง แล้วจึงยืนขึ้นหันไปหาเสิ่นถูเลี่ย 

 

 

เมื่อครู่เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนหอมหัวหานจื่อเป็นการขอบคุณ ทำให้เสิ่นถูเลี่ยคิดเลยเถิดไปไกล ‘นางคงจะไม่ใช้วิธีการเดียวกันมาขอบคุณเขากระมัง? นางจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน!’ 

 

 

“เสี่ยวเลี่ย รอให้ข้าหลอมอาวุธได้เสียก่อน ข้าจะต้องหลอมกระบี่ดีๆสักเล่มหนึ่งมอบให้กับเจ้า!” 

 

 

คำพูดของอวี้เฟยเยียน ทำให้เสิ่นถูเลี่ยอึ้งเงียบลงไป 

 

 

ในตอนนั้นเองเขาถึงคิดขึ้นมาได้ เมื่อครู่คล้ายกับว่าเขาเห็นดวงไฟสีน้ำเงินเข้าสู่ร่างของอวี้เฟยเยียน 

 

 

ไฟนั่นคงจะไม่ใช่เทพอัคคีกระมัง! 

 

 

โอ้ว! 

 

 

จวบจนกระทั่งเข้าใจอะไรได้บางส่วน เสิ่นถูเลี่ยถึงกับอุทานออกมา 

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนเป็นมนุษย์จริงๆใช่ไหม? เพราะอะไรเขาถึงได้รู้สึกว่าพวกเขาสองคนคือปีศาจน้อยๆเลยเล่า? 

 

 

คนหนึ่งเทพอาวุโส คนหนึ่งเทพอัคคี  

 

 

คนสองคนนี้จะต้องเป็นดาวดวงใหม่ที่เจิดจรัสที่สุดแห่งเมืองอู๋โยวอย่างแน่นอน! 

 

 

“เจ้าหลอมอาวุธเป็นด้วย? เจ้าเป็นช่างหลอมอาวุธหรือ?” เสิ่นถูเลี่ยเอ่ยถาม 

 

 

อวี้เฟยเยียนเป็นหมอ นางย่อมต้องปรุงยาได้เป็นเรื่องปกติ แต่เรื่องหลอมอาวุธ นั่นมิใช่ช่างหลอมอาวุธที่จะสามารถทำเป็นอย่างนั้นหรือ? หรือว่าอวี้เฟยเยียนยังเป็นช่างหลอมอาวุธอีกด้วย? 

 

 

อย่าทำร้ายหัวใจคนอื่นอย่างนี้ได้ไหมเล่า! 

 

 

ทั่วทั้งเมืองอู๋โยว เทพอาวุโสแทบจะนับจำนวนได้ เบื้องหน้าเขามีหนึ่งคน 

 

 

ทั่วทั้งเมืองอู๋โยว ผู้ที่ครอบครองเทพอัคคีและยังสามารถควบคุมมันได้ น้อยนิดจนแทบเรียกได้ว่าไม่มีเห็นจะได้ แต่ตรงหน้าเขาก็มีอยู่อีกหนึ่งคน 

 

 

แม่เจ้า สองคนนี้จะเหนือมนุษย์เกินไปแล้ว? 

 

 

เสิ่นถูเลี่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า หัวใจของเขาเริ่มจะรับไม่ไหวแล้ว 

 

 

ยังมีหน้ามายกย่องเขาว่าเป็นยอดคนอันดับหนึ่งผู้เปี่ยมด้วยความสามารถแห่งเมืองอู๋โยวอีก เขาควรจะให้คนพวกนั้นแหกตาดูบุคคลสองคนเบื้องหน้าเขาเสียให้ชัดเจน! 

 

 

“หลอมอาวุธข้าทำไม่เป็นหรอก แต่ว่า ข้าก็เรียนได้นี่นา!” 

 

 

อวี้เฟยเยียนยิ้มบางๆ  

 

 

“คงจะไม่ยากเท่าไหร่กระมัง! ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะลองคลำทางดูก่อนก็แล้ว รอให้ข้าสามารถหลอมอาวุธได้ และสามารถหาวัตถุดิบชั้นดีได้แล้ว ข้าจะต้องมอบสุดยอดกระบี่ให้ท่านอย่างแน่นอน!” 

 

 

กล่าวจบอวี้เฟยเยียนก็เหลือบมองไปที่อาหู 

 

 

“ยังมีเจ้าอีกคน อาหู ข้าก็จะมอบสุดยอดดาบให้เจ้าอย่างแน่นอน!” 

 

 

“อะ อวี้ แม่นางอวี้ เจ้าเกรงใจไปแล้ว! ขอบคุณเจ้ามากนะ!” 

 

 

อาหูตกตะลึงจนไม่รู้เหนือรู้ใต้ หัวใจของเขาไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับเสิ่นถูเลี่ย ดังนั้นจึงถูกคำพูดของอวี้เฟยเยียนทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปตั้งแต่แรกแล้ลว 

 

 

เทพอัคคี! 

 

 

นั่นคือเทพอัคคีเชียวนะ! 

 

 

ใช้เทพอัคคีหลอมอาวุธ อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องเป็นระดับทองคำ! 

 

 

ดาบล้ำค่าที่ระดับทองคำทีเดียวเชียว… 

 

 

อาหูถึงกับกลืนน้ำลาย เขาไม่เสียใจเลยที่ร่วมสู้ศึกครั้งนี้พร้อมกับเสิ่นถูเลี่ย ยิ่งใหญ่สะเทือนเลือนลั่น! 

 

 

น่าขนลุกขนพองยิ่งนัก! ว่าไหมเล่า!