ขณะที่นอนอยู่บนรถม้า เชือกห้อยอยู่บนหลังม้า วั่งไฉรู้ว่าจะต้องไปที่ไหน เวลานี้ของทุกวันคือเวลาที่อวิ๋นเยี่ยกลับบ้าน อะไรก็ห้ามไว้ไม่ได้
รถม้าแล่นไปอย่างช้าๆ บนถนน วั่งไฉพาอวิ๋นเยี่ยกลับบ้านด้วยจังหวะฝีเท้าที่สบายๆ มีใบไม้แห้งร่วงลงมาบ้างเป็นครั้งคราว ดึงดูดให้มันต้องหยุดดู
เดินๆ หยุดๆ คนหนึ่งคนกับม้าหนึ่งตัวท่ามกลางแสงพระอาทิตย์ตก ท่าทีเกียจคร้าน ในบรรยากาศราวกับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเกียจคร้าน
จู่ๆ วั่งไฉก็หยุดเดิน หันหัวไปที่อวิ๋นเยี่ย บอกเขาว่ามีใครบางคนอยู่ข้างหน้า
เงยหน้าขึ้นมอง เขาก็รีบกระโดดลุกขึ้นมาราวกับถูกต่อต่อย
หลี่ซื่อหมินยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนถนน ข้างๆ เขาคือเว่ยเจิงที่มีเคราทั่วใบหน้า มองไปที่อวิ๋นเยี่ยด้วยรอยยิ้มที่แปลกๆ
“ไสหัวลงมา ไปนำทาง ทำตัวไร้สาระ ข้ายุ่งทั้งวัน แต่เจ้ากลับพักผ่อนอย่างสบายใจ”
หนวดเคราของหลี่ซื่อหมินหนาขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับหวีจัดทรงอย่างเรียบร้อยและเป็นประกายแวววาว บนตัวมีกลิ่นหอมของอำพันทะเลลอยมากับสายลม สวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ที่เอวกลับห้อยจี้หยกอันใหญ่ เผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา สามัญชนที่ไหนจะกล้าใช้จี้หยกขนาดห้านิ้ว
“เสื้อผ้าของฝ่าบาทไม่ค่อยเข้าท่านักขอรับ หากเกิดความความผิดพลาดสักเล็กน้อย ก็คงจะเป็นความผิดของเว่ยเจิง กระหม่อมคิดว่าเว่ยเจิงไม่จงรักภักดี ทำให้ฝ่าบาทต้องมาตกอยู่ในอันตราย ต้องลงโทษอย่างหนักเท่านั้นถึงจะทำให้ความโกรธในใจของกระหม่อมสงบลงได้”
หลี่ซื่อหมินเดินขึ้นรถม้า นอนอยู่บนรถม้าเหมือนกับที่อวิ๋นเยี่ยนอนเมื่อกี้ เหล่ตาและพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่เจ้าทำตัวเหมือนพวกขุนนางมันน่ารังเกียจมากเพียงใด หนึ่งคือเจ้าไม่มีความเป็นขุนนาง สองคือเจ้าไม่มีอำนาจ ตั้งแต่หัวจรดเท้ามีแต่คำว่าผลประโยชน์ มีแต่เรื่องของเงินทอง อยู่ยงคงกระพันเสียจริง พูดได้ว่าเจอพระฆ่าพระ เจอมารฆ่ามาร ภายใต้การปกครองของข้ามีคนอย่างเจ้าได้เช่นไร คนอื่นเขาห้าร้อยปีมีนักบุญ แต่เมื่อเป็นข้า พระเจ้ากลับประทานคนอย่างเจ้าให้ข้า ไม่รู้ว่าข้าไปทำกรรมอันใดไว้ พระเจ้าถึงได้ลงโทษข้าเช่นนี้”
ถอนหายใจด้วยสีหน้าที่ทุกข์ยาก หลี่ซื่อหมินเตะที่ก้นของวั่งไฉ บอกให้มันเดินไปข้างหน้าได้แล้ว
อวิ๋นเยี่ยมองไปที่เว่ยเจิงที่ดูไร้เดียงสาด้วยสายตาโกรธเคือง หากสายตาฆ่าคนได้ เว่ยเจิงคงจะตายไปนานแล้ว
“อย่ามองข้าเช่นนั้น ครั้งนี้เป็นความต้องการของฝ่าบาท ข้าถูกจับมาเป็นเพื่อนร่วมทาง ฝ่าบาทต้องการจะมาพักผ่อนหย่อนใจที่เขาอวี้ซันสักสองวัน ผ่านช่วงเวลานี้ไป ถ้าอยากจะพักผ่อนหย่อนใจอีก ก็คงจะไม่มีโอกาส”
มีเสียงดังออกมาจากพุ่มไม้สองข้างทาง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีองครักษ์คอยติดตามอยู่ หลี่ซื่อหมินออกมาข้างนอกจะไม่มีองครักษ์คอยปกป้องได้เช่นไร
“ท่านอวิ๋นโหวไม่พอใจคนแก่อย่างข้ามากถึงเพียงไหนกัน เจอหน้าก็อยากจะให้ฝ่าบาทลงโทษข้า เหตุใดกัน”
เว่ยเจิงกับอวิ๋นเยี่ยเดินอยู่ทางซ้ายและทางขวาของรถม้า เว่ยเจิงจงใจถามอวิ๋นเยี่ยทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แล้ว
“ผู้ตรวจสอบชาญฉลาดมากขอรับ ข้าน้อยไม่พอใจท่านจริงๆ คนที่ติดหนี้ก้อนโต แล้วยังสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระเช่นนี้ ช่างเป็นแบบอย่างของพวกเราเสียจริง พรุ่งนี้ขอให้หลูกั๋วกงไปเก็บหนี้ที่บ้านของท่านดีไหม”
“เจ้าเอาชื่อเสียงของข้าไปขาย ข้ายังไม่ทันได้คิดบัญชีกับเจ้า เจ้ายังกล้าพูดถึงเรื่องนี้ ตอนนี้ลูกชายที่น่าสงสารของข้า ได้รับอิทธิพลกลิ่นอายของทองแดงจากพวกพ่อค้าทุกวัน สองสามวันก่อนยังรู้จักยืมเงินข้าไปทำธุรกิจ เขาบอกว่า แร่เหล็กในเหอเป่ยมีราคาถูก เตรียมที่จะขนส่งกลับมา เจ้าจะอธิบายเช่นไร”
“ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าพี่กุ้ยหยู้แตกต่างจากคนธรรมดา คิดไม่ถึงว่าจะมีความกล้าหาญถึงเพียงนี้ ข้าขอนับถือ หากพี่กุ้ยหยู้ขนแร่เหล็กกลับมาฉางอันในราคาต่ำกว่าราคาตลาด มีเท่าไหร่ข้าจะเอาเท่านั้น มิเช่นนั้นข้าวางเงินมัดจำไว้ก่อน สักหนึ่งแสนดีหรือไม่”
ก็มีเพียงเว่ยกุ้ยหยู้ที่สมองมีปัญหาเท่านั้น ถึงคิดที่จะขนแร่เหล็กจากเหอเป่ยมาฉางอัน เขาคงจะลืมคิดถึงค่าขนส่งของพวกนั้น
เว่ยเจิงมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความโมโห ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินฝ่าบาทที่อยู่บนรถม้าเอ่ยขึ้น
“ซวนเฉิง เจ้าให้กุ้ยหยู่อยู่ห่างจากเจ้านี่หน่อย ลูกชายของข้าก็เสียผู้เสียคนด้วยน้ำมือเขา คนบ้าที่เอาแต่ก่อเรื่องแปลกๆ วันทั้งวันพวกนั้นไม่สนใจระบบศักดินาของบ้านเมือง ในสายตามีแต่เงินทอง ใครก็ไม่สามารถพาออกมาได้ แค่อ้าปาก ก็ได้กลิ่นอายของเงินทองที่รุนแรงจนทำให้คนอยากจะอ้วก ดีที่ข้าเป็นคนเลี้ยงรัชทายาทมากับมือ เขาถึงไม่ถูกชักจูงไป เด็กซื่อบื้ออย่างกู้ยหยู้ อย่าได้ถูกเขาชักจูงไปทำเรื่องไม่ดีเชียวล่ะ”
คำพูดล้อเลียนของหลี่ซื่อหมินดังออกมาจากรถม้า ตอนนี้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ลูกทั้งสามของเขาไม่สนใจเรื่องของอำนาจฮ่องเต้ เขาได้เตรียมการไว้สำหรับสถานการณ์นี้อยู่แล้ว แต่มันกลับไร้ประโยชน์ ช่างน่าเสียดายเสียจริง
ความคิดของฮ่องเต้นั้นแปลกประหลาด เพียงแค่เรื่องต่างๆ อยู่ในความควบคุมของเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย เขาก็พร้อมที่จะยอมรับมัน แต่ถ้าหากเรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในความควบคุมของเขา เขาก็จะไม่สบายใจ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีก็ตาม
ทั้งสามคนพูดคุยหัวเราะกันตลอดทาง เส้นทางอันยาวไกลก็มาถึงจุดสิ้นสุดอย่างรวดเร็ว ยืนอยู่บนปากทางเขา มองเห็นหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นที่อยู่ล่างเขา ตอนนี้เป็นเวลาทำอาหารเย็นของพวกชาวบ้าน ตอนนี้หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นกินอาหารวันละสามมื้อ อากาศเย็นก็เลยจะช้ากว่าที่อื่น
หมอกควันจากการทำอาหาร ทำให้ทั้งหมู่บ้านราวกับถูกปกคลุมไปด้วยหมอก อิฐและกระเบื้องสีแดงถูกแสงพระอาทิตย์ตกดินตกกระทบราวกับเปลวไฟ
นี่คือความภาคภูมิใจของอวิ๋นเยี่ย เขาไม่เคยกลัวว่าจะมีใครมาเยี่ยมชมหรือตรวจสอบ ฝางเสวียนหลิงเคยมา ตู้หรูฮุ่ยเคยมา อวี๋ซื่อหนานก็เคยมา แม้แต่ขงอิ่งต๋าที่ล้าสมัยก็ยังเคยมา
ไม่มีใครแจ้งตระกูลอวิ๋นก่อนล่วงหน้า พวกเขาล้วนแต่มาอย่างเงียบๆ และกลับไปอย่างเงียบๆ ตอนมาสงสัย ตอนกลับไปสับสน
“นี่อาจจะเป็นหมู่บ้านที่สวยที่สุดในต้าถัง” หลี่ซื่อหมินทำท่าทางโลภมาก เขาอยากจะตื่นขึ้นมาในวันพรุ่งนี้แล้วให้ต้าถังกลายเป็นแบบนี้ให้หมด
“ฝ่าบาท ในฐานะผู้ตรวจสอบ กระหม่อมได้ตระเวนไปทั่วทุกหนแห่ง เห็นหมู่บ้านชนบทมาแล้วนับไม่ถ้วน หมู่บ้านที่เจริญรุ่งเรืองเช่นนี้ก็มีเพียงที่นี่ที่เดียว ชาวบ้านคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณรอบๆ ตระกูลอวิ๋นด้วยเช่นกัน”
หลี่ซื่อหมินหันไปมองอวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “หากข้าให้ดินแดนแห่งหนึ่งแก่เจ้า เจ้าจะใช้เวลากี่ปีในการทำให้มันกลายเป็นเหมือนบ้านของเจ้า”
อวิ๋นเยี่ยคิดอย่างจริงจัง คำนวณอยู่นานถึงได้พูดขึ้นว่า “ฝ่าบาท หากฝ่าบาทมอบดินแดนให้กระหม่อมดูแล บางทีหนึ่งปีอาจจะเกิดความวุ่นวาย สองปีชาวบ้านต่างก็จะไม่มีที่ทำมาหากิน สามปีพวกเขาก็จะทำการก่อกบฏ ฝ่าบาทก็จะตัดหัวของกระหม่อมไปแขวนให้สาธารณชนดู” อวิ๋นเยี่ยยิ้มอย่างขมขื่นให้หลี่ซื่อหมิน
“เหตุใดเจ้าถึงได้พูดถึงตัวเองเช่นนี้ ข้าคิดว่าเจ้าไม่ได้ล้อเล่น หรือว่านี่คือความคิดของเจ้า เหตุใดกัน”
หลี่ซื่อหมินกับเว่ยเจิงต่างตกใจ คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเยี่ยจะพูดเช่นนี้
“ฝ่าบาท เว่ยกง ข้าไม่ได้ล้อเล่น ข้าพูดออกมาจากใจจริง การบริหารจัดการหมู่บ้านไม่ใช่เรื่องง่าย หม้อใบเดียวปรุงอาหารเป็นร้อย แล้วยังต้องมีพ่อครัวที่มีฝีมือ เขาอาจจะทำอาหารรสเลิศออกมาไม่ได้ แต่กลับทำให้คนส่วนมากพึงพอใจได้ มันต้องมีวิธี ความฉลาดและความรู้ ถึงขึ้นต้องใช้เครื่องปรุงรสที่ยอดเยี่ยมถึงจะทำอาหารรสเลิศออกมาได้หม้อหนึ่ง สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ข้าขาดแคลน ยืนอยู่บนฝั่ง ออกความคิดเห็นให้ฝ่าบาทกับพวกขุนนางไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าให้ข้าลงไปในน้ำ ข้าคงจะถูกกลืนหายไปในคลื่นของพวกชาวบ้าน”
สีหน้าแปลกใจของหลี่ซื่อหมินค่อยๆ จางหายไป และถูกแทนที่ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม พูดอย่างผิดหวังว่า “เจ้าพูดถูก ข้าบริหารจัดการประเทศนี้ บางครั้งข้าก็มักจะรู้สึกว่าเรี่ยวแรงไม่พอ บางครั้งถึงเวลาเข้านอนแต่กลับนอนไม่หลับ หยิบเสื้อคลุมมาคลุม มองดูหนังสือที่อยู่บนโต๊ะทำงาน พิจารณาครั้งแล้วครั้งเล่า กลัวว่าจะเกิดข้อผิดพลาด แค่ข้าเซ็นอนุมัติ ทุกอย่างก็กลายเป็นข้อสรุป อยากจะแก้ไขก็แก้ไขไม่ได้ ต้องระมัดระวังและรอบคอบเท่านั้น ถึงแม้เป็นเช่นนี้ ก็ยังมีเรื่องที่ผิดพลาดเกิดขึ้น ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดพวกขุนนางที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามาถึงได้บอกให้ข้าสร้างระบอบการบริหารจัดการประเทศ ให้ประชาชนได้อยู่อย่างสงบสุข เพราะเหตุใด”
หลี่ซื่อหมินราวกับกำลังพูดกับอวิ๋นเยี่ย แต่ก็ราวกับกำลังพูดกับตัวเอง จากนั้นก็หันกลับไปมองหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นอย่างเงียบๆ
“เมื่อวานฝ่าบาทได้ทำการสอบวิชาใหม่ของพวกขุนนาง สุดท้ายมีผู้สอบผ่านไม่ถึงสิบส่วนของทั้งหมด ส่วนผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นก็มีเพียงไม่กี่คน”
เว่ยเจิงจงใจอธิบายสาเหตุที่หลี่ซื่อหมินพูดเช่นนั้นให้อวิ๋นเยี่ยเข้าใจ
“ฝ่าบาท ผู้ไม่รู้ย่อมไม่กลัว ประโยคนี้อธิบายได้ถึงความคิดของพวกเขา มีแค่ความรู้ใช่ว่าจะบริหารหมู่บ้านได้ดี แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ละคนล้วนแต่บริหารประเทศชาติตามความรู้ในหนังสือ ไม่รู้หรอกว่าความรู้ก็มีข้อจำกัด หลักการเมื่อพันกว่าปีก่อน ก็เป็นแค่เรื่องตลกในตอนนี้ พวกเราต่างก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญในทุกๆ วัน แต่พวกเขากลับกำลังขุดกองหนังสือเก่าๆ กระหม่อมได้ยินมาว่าตอนนี้ยังมีการหยดเลือดเพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ ถ้าเลือดของคนสองคนจับตัวกันเป็นก้อนเดียวแสดงว่ามีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดอยู่เลย?”
หลี่ซื่อหมินพึมพำและพูดซ้ำอีกครั้ง “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่กลัว เป็นเช่นนี้จริงๆ ยิ่งเป็นพวกขุนนางอายุเยอะก็ยิ่งระมัดระวัง ยิ่งเป็นพวกคนอายุน้อยก็ยิ่งกล้าคิดกล้าทำ จะเลือกคนเช่นไร ข้าจะต้องรอบคอบ”
ความหงอยเหงาเศร้าซึมของหลี่ซื่อหมินมาเร็วไปเร็ว เมื่อกี้ยังสมเพชตัวเองอยู่ แต่ในพริบตาเดียวก็เปลี่ยนมามีชีวิตชีวา
ชี้ไปที่หมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นแล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ตรงหน้าข้าก็มีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จอยู่ไม่ใช่เหรอ หากข้าศึกษาให้ละเอียดกว่านี้ ค่อยๆ ขยายไปในแต่ละอำเภอ หนึ่งปีหนึ่งอำเภอ ต้าถังมีทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อยเจ็ดอำเภอ ช้าสุดก็ต้องใช้เวลาแค่หนึ่งพันกว่าปี ข้ามั่นใจในรากฐานของต้าถัง”
ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความกล้าหาญมาจากไหน พวกเขามักจะทำให้เรื่องต่างๆ ดูง่ายดายขึ้น ตามที่อวิ๋นเยี่ยรู้ หนึ่งพันห้าร้อยปีหลังจากนี้ จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งขึ้นมาปกครองประเทศ และตระกูลหลี่ก็ได้หายสาบสูญไปตั้งนานแล้ว
“ฝ่าบาท ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็ลงไปดูไหมกระหม่อม สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ว่ากันว่าหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นเจริญรุ่งเรือง คงต้องไปเห็นกับตาตัวเอง”
“ซวนเฉิงพูดถูก เราไปดูกันเถอะ” หลี่ซื่อหมินเริ่มออกเดินเท้า ไม่นั่งรถม้าอีกต่อไป เดินลงมาจากเขา
ยิ่งเดินลงมาจากเขา ต้นไม้ก็ยิ่งเบาบางลง มีองครักษ์วิ่งออกมาจากสองข้างทางเป็นครั้งเป็นคราว คอยคุ้มกันหลี่ซื่อหมินอยู่รอบๆ พอถึงปากทางเข้าหมู่บ้านก็ครึกครื้นไปด้วยผู้คนหลายร้อยคน
รู้สึกอึดอัดที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาขององครักษ์พวกนั้น เขาจึงรีบเดินไปพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ฝ่าบาท องครักษ์มากมายเช่นนี้ ฝ่าบาทยังจะได้ดูอะไรล่ะกระหม่อม ชาวบ้านตกใจหนีกันไปหมดแล้ว”
หลี่ซื่อหมินสะบัดมือไปข้างหลัง องครักษ์พวกนั้นก็ถอยออกไปทีละคนอย่างเงียบๆ และหายไปในพุ่มหญ้าที่อยู่รอบๆ อย่างรวดเร็ว เห็นแต่เพียงหญ้าแห้งที่สั่นไหว กระจายตัวออกไปในระยะไกล ตอนนี้หมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นคงจะถูกล้อมรอบอย่างแน่นหนาแล้ว