หลี่ซื่อหมินเดินอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าอวิ๋นเยี่ยกับเว่ยเจิงจะทะเลาะกันไม่หยุด เยาะเย้ยกันไปมา แต่สำหรับเรื่องความปลอดภัยของหลี่ซื่อหมิน พวกเขาสองคนกลับมีความคิดที่ตรงกัน ไม่กล้าออกห่าง องครักษ์ที่มีหนวดเคราคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะถูกหลี่ซื่อหมินไล่เขาไปแล้วสองสามครั้ง แต่เขาก็ยังคอยตามอยู่ข้างหลัง อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าขนของผู้ชายคนนี้ตั้งขึ้นมา หากมีคนโผล่มาตอนนี้ อย่างน้อยอาจจะถูกหักแขนหักขา อย่างมากสุดหัวคงจะหลุดออกจากคอ
หันหน้าไปยิ้มให้กับองครักษ์ แต่เขากลับส่งสายตาที่น่ารังเกียจกลับคืนมา นึกอยากโมโห แต่คิดดูแล้วก็พอจะเข้าใจ หากหลี่ซื่อหมินมีแค่รอยข่วน เขาก็คงจะไม่มีทางได้มีชีวิตอีกต่อไป ตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับคนที่ทำให้หลี่ซื่อหมินตกอยู่ในอันตราย มันคงแปลกถ้าเขามีสีหน้าที่ดี
ไม่รู้ว่าคนในหมู่บ้านมีนิสัยนั่งยองๆ กินข้าวข้างกำแพงตั้งแต่เมื่อไหร่ ชามดินเผาสีดำใบใหญ่กว่าหัวคนเต็มไปด้วยเม็ดข้าว ด้านบนคลุมด้วยเนื้อหมูติดมัน ไม่กล้ากิน นี่มันเอาไว้ให้คนดู กินข้าวจนหมดชาม แต่เนื้อหมูกลับไม่ได้แตะ ยังคงนอนอยู่ที่ก้นชาม มีแต่พวกเม็ดข้าวและผักสีเขียวที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย เนื้อหมูนั้นเก็บเอาไว้ในชาม เอาไว้ให้คนอื่นดูอีกครั้งต่อไป
ชาวบ้านในหมู่บ้านไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับการมีคนใหญ่คนโตมาเยี่ยมชม เมื่อวานยังมีขุนนางคนหนึ่งมากินข้าวชามหนึ่งแล้วก็จากไป
ส่วนหัวหน้าหมู่บ้าน ไม่มีอะไรทำก็ชอบวิ่งเข้าไปดูเตาหุงข้าวที่บ้าน บางครั้งก็ชี้ไปที่ขาหมูที่ห้อยลงมาจากคานบ้านแล้วถามว่า ทำไมไม่กิน ฤดูหนาวกินแต่ผักแห้ง
หัวหน้าหมู่บ้านต้องมีหน้ามีตา พวกชาวบ้านไม่ได้ขาดความรู้ ดังนั้นหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นถึงได้มีนิสัยไม่กินเนื้อที่อยู่ในชาม
ปู่เฒ่ายังเอ่ยอีกว่า “พึ่งจะกินอิ่มได้กี่มื้อ ก็จะล้างผลาญกันแล้ว? กินเนื้อ? ไม่ได้มีเทศกาลสำคัญอะไรกินเนื้อทำไม หัวหน้าหมู่บ้านเป็นจอมล้างผลาญ แล้วยังจะให้ทั้งหมู่บ้านเป็นจอมล้างผลาญไปด้วยหรือ”
อวิ๋นเยี่ยเผลอไปได้ยินคำพูดพวกนี้ เขาทำได้แค่หลบหน้าแล้วเดินจากไป
หลี่ซื่อหมินไม่รู้ เขาเห็นแค่ว่าในชามข้าวของพวกชาวบ้านล้วนมีแต่ข้าว ผัก เนื้อ ทันใดนั้นก็ดีใจขึ้นมา เขารู้ถึงความยากลำบากของผู้คนทั่วทุกหนแห่ง และแน่นอนว่า เขาต้องรู้ว่าคนที่มีข้าวมีเนื้อกินหมายความว่าอะไร
กำลังจะชื่นชมอวิ๋นเยี่ยสักหน่อย แต่กลับเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งตัวเท่าลูกวัวตัวเล็ก เขมือบเนื้อที่เขากำลังมองอย่างน้ำลายไหลจนหมดเกลี้ยง แล้วยังจะแย่งเนื้อที่อยู่ในชามของพ่อเขาให้หมดอย่างโง่เขลา
พ่อของเขาก็ต้องโมโหอยู่แล้ว วางชามลงและตามล่าลูกชายจอมล้างผลาญของเขาไปทั่ว
กว่าจะจับได้ ใช้พื้นรองเท้าตีที่ก้นของลูกเขาสองสามครั้ง สั่งสอนลูกชายแล้วชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยที่อยู่ไกลๆ มันไกลเกินไป ได้ยินไม่ชัด น่าจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง
ลากลูกตัวเองที่น้ำมูกน้ำตาไหลกลับมาที่ข้างกำแพง เอาเนื้อในชามของตัวเองยัดเข้าไปในปากของลูก เห็นเขากินอย่างเอร็ดอร่อย ก็ตบก้นเขาอีกสองครั้ง
หลี่ซื่อหมินหัวเราะจนมองไม่เห็นลูกกะตา เว่ยเจิงก็หัวเราะจนปวดเอว แม้แต่องครักษ์ที่อยู่ข้างหลัง สีหน้าที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งของเขาก็ค่อยๆ ละลาย
“หมู่บ้านของเจ้าก็ไม่ได้ขาดแคลนเนื้อ เหตุใดยังต้องคอยประหยัดใช้สอย แล้วยังเอาเนื้อมาเป็นหน้าเป็นตา?”
สีหน้าของอวิ๋นเยี่ยมืดมนไปหมด คนพวกนี้ไม่มีใครเป็นหน้าเป็นตาสักคน ทั้งๆ ที่ก็ล้วนแต่เป็นคนมีฐานะ แต่กลับทำตัวราวกับขอทาน มีข้าวอยู่เต็มคลังก็ไม่กล้าเอาออกมากิน หมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นจะไม่ปลูกข้าวที่มีราคาต่ำ พวกเขาล้วนแต่เอาข้าวสาลีของตัวเองไปแลกมา
เสื้อผ้าชุดใหม่ก็มี แต่ใส่ออกมาอวดแค่เทศกาลปีใหม่สองวัน จากนั้นก็เก็บไว้เหมือนเดิม ปีหน้าค่อยเอาออกมาใส่ใหม่ก็ยังใหม่เหมือนเดิม ก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร เอาแต่เก็บเงินเอาไว้ แล้วยังไม่มีสมอง ส่วนใหญ่ก็เก็บไว้ในคอกหมู สิ่งที่คุ้มกันหนาแน่นที่สุดในหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นก็คือคอกหมู แค่มีเสียงหมูร้องออกมา ก็จะมีองครักษ์ถือพลั่วส้อมออกมาวิ่งลาดตระเวนทันที
ทำให้เงินที่ออกมาจากหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นมีกลิ่นอายของปัสสาวะกลบกลิ่นของทองแดงที่แท้จริง
“กระหม่อมทำอะไรไม่ได้แล้ว เสบียงไม่ขาดแคลน เนื้อไม่ขาดแคลน ไข่ก็ไม่ขาดแคลน แม้แต่ผักก็ยังไม่ขาดแคลน ทุกคนก็ล้วนแต่มีเสื้อผ้าชุดใหม่ และอาจจะมีมากกว่าหนึ่งชุด แต่ว่าพวกเขาไม่ยอมเสวยสุข ชอบเอาข้าวสาลีไปแลกข้าวเปลือก ชอบเอาเนื้อมาห้อยดูอยู่ทุกวัน ชอบใส่เสื้อผ้าที่ฉีกขาด ครั้งก่อนกระหม่อมก็เตือนพวกเขาแล้ว ดังนั้นพอถึงเวลากินข้าว ทุกหลังคาเรือนก็เลยเอาเนื้อมาใส่ในชามเพื่อทำให้กระหม่อมตายใจ เจอกับผู้เฒ่าผู้แก่ก็มักจะพูดว่ากระหม่อมเป็นจอมล้างผลาญ กระหม่อมอยากจะถอนฟันของพวกเขาออกให้หมด แต่ก็ไม่กล้า ทำได้แค่รับฟัง”
หลี่ซื่อหมินหัวเราะขึ้นมา หัวเราะจนน้ำตาไหล เว่ยเจิงยืนหอบเกาะอยู่ต้นไม้ข้างทาง
หัวเราะอยู่ดีๆ หลี่ซื่อหมินก็หยุดหัวเราะ หันมามองอวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “ชาวบ้านยังคงมีความวิตกกังวล กลัวว่าเสบียงจะไม่เพียงพอสำหรับปีที่จะมาถึง กลัวว่าจะหิว”
พูดเสร็จก็เดินเข้าไปหาชายแก่สองสามคน โบกมือถามว่า “ทุกท่าน ข้าเห็นว่าหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นมีบ้านตั้งหลายหลัง คาดว่าน่าจะเป็นหมู่บ้านที่เจริญรุ่งเรือง เหตุใดพวกท่านถึงได้ใช้ชีวิตเรียบง่ายเช่นนี้ เสื้อผ้าหน้าผม มีสิ่งใดที่พูดไม่ได้หรือไม่”
ชายแก่หนวดเคราสีขาวก้มหน้าลงมองที่ชามข้าวและเสื้อผ้าของตัวเอง นั่งนิ่งไม่ขยับไปไหน คิดว่าน่าจะเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยของกรมโยธาหรือไม่ก็กรมคลัง ตัวเองอายุแปดสิบหก ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าขุนนางชั้นผู้น้อยพวกนี้
ไม่สนใจหลี่ซื่อหมิน หันมาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ไอ้เจ้านี่เป็นขุนนางระดับไหน ทำงานหนักจนโง่แล้วหรือเปล่า ชามข้าวของข้ามีผักมีเนื้อ แล้วยังมีไข่ที่หลานสะใภ้เพิ่งแกะให้ ยังกล้าพูดว่าเรียบง่าย? ดูให้ชัดเจน ของข้าคือข้าวสุก แม้แต่ข้าวของฮ่องเต้ก็ประมาณนี้ เจ้าลองมองไปรอบๆ ทั่วทั้งเมืองก็มีแต่หมู่บ้านข้าที่กินข้าววันละสามมื้อ เสวยสุขจนจะเป็นบาปอยู่แล้ว
ข้ามีชีวิตมาแปดสิบหกปี กินข้าวสุกมาแล้วกี่ปียังนับได้ รวมทั้งสองสามปีที่ผ่านมานี่อีก
ปีที่แล้วท่านหญิงมาที่หมู่บ้าน ยังมาพูดคุยกับข้าสองสามประโยค คนที่มีค่าราวกับเทพเจ้า ใส่ชุดกระโปรงยาวไม่ถึงข้อเท้า ก็เพื่อที่จะช่วยประหยัดเนื้อผ้า ข้าได้ใส่เสื้อผ้าที่อบอุ่นและสะอาดก็พอแล้ว ชนบทจะพิถีพิถันอะไรกันมากมาย ใช้สอยอย่างประหยัดถึงเป็นหลักการที่ถูกต้อง
หัวหน้าหมู่บ้านอย่างเจ้าก็ไม่ควรพาจอมล้างผลาญเช่นนี้เข้ามาในหมู่บ้าน เสียบรรยากาศ”
พูดเสร็จ เขาก็เรียกเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหลังประคองตัวเองขึ้นมา หลังงอถือชามอยู่ในมือ เอาไข่ที่อยู่ในชามป้อนเข้าปากหลานชายตัวน้อยของตัวเอง เหลือบตามองไปที่หลี่ซื่อหมิน แล้วก็หันหลังเดินออกไป ราวกับว่าถ้าอยู่ต่ออีกหน่อยก็อาจจจะถูกหลี่ซื่อหมินทำให้แปดเปื้อนเอาได้
สีหน้าของอวิ๋นเยี่ยเขียวจนไม่รู้จะเขียวเช่นไร องครักษ์ลังเลว่าจะฆ่าผู้เฒ่านี่ดีไหม
แต่หลี่ซื่อหมินกลับรับฟังอย่างกระตือรือร้น ไม่สนใจว่าชายแก่คนนั้นจะว่าเขาเป็นไอ้หน้าโง่หรือไอ้จอมล้างผลาญ ราวกับว่าคำพูดเหล่านั้นพูดถึงคนอื่น ตอนที่ชายแก่เดินออกไปก็ยังเห็นดีเห็นงาม
“ฝ่าบาท ชายแก่อายุมากแล้ว ฝ่าบาทอย่าได้สนใจเขา เขาก็เป็นเช่นนี้ กระหม่อมก็ทุกข์ใจเช่นกัน”
หลี่ซื่อหมินตบไหล่อวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “คำโบราณพูดไว้ไม่มีผิด ในบ้านมีคนแก่ราวกับมีสมบัติล้ำค่า คนสมัยก่อนพูดไว้ถูกต้อง ชายแก่คนนั้นบอกว่าเราเป็นไอ้โง่จอมล้างผลาญ เขาพูดถูก เราไม่ควรถามเช่นนั้น ถูกด่าก็เป็นเรื่องที่สมควร ด่าเราเช่นนี้ทุกวันเราก็โมโหไม่ลง หมู่บ้านของเจ้าช่างทำให้เราประหลาดใจได้เสมอ”
“ฝ่าบาท กระหม่อมก็คิดเช่นนี้ขอรับ ชายแก่พูดถูก สามปีประชาชนอดทุกข์ได้ยาก ปีห้าเดือนสิบฝนไม่ตก ปีหกเกิดภัยแล้ง เป็นเรื่องธรรมดาที่ประชาชนมีชีวิตที่ลำบาก
แต่ในช่วงแรกที่ก่อตั้งแคว้น ต้องพบเจอกับภัยพิบัติมากมาย หากโรคตั๊กแตนเมื่อสามปีก่อนไม่ได้รับการจัดการที่ดี มันคงจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของมนุษย์ กระหม่อมถึงได้คิดว่าสิ่งที่ชายแก่คนนั้นพูดไม่ใช่เรื่องผิดอันใด”
หลี่ซื่อหมินพยักหน้าและพูดว่า “เตรียมพร้อมรับมืออยู่ตลอดเวลา ขอแค่เราพยายามอีกสักสองสามปี หลังจากทำลายดินแดนไม่ซื่อสัตย์ที่อยู่รอบต้าถังของเราออกไปได้แล้ว ข้าก็จะเริ่มขอพรให้กับประชาชน หวังว่าทุกคนบนโลกใบนี้จะได้ทานข้าวสุก พวกเรามาพยายามไปด้วยกันเถอะ”
อวิ๋นเยี่ย เว่ยเจิง รวมถึงองครักษ์คนนั้นก็โค้งคำนับให้คำมั่นสัญญา
ถนนหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นปกคลุมไปด้วยแผ่นหิน สองข้างทางเป็นบ้านของพวกชาวบ้าน ยืนหลังพิงรั้วมองเข้าไป หลี่ซื่อหมินก็ยิ้มอย่างพอใจ ในสวนมีฝูงไก่และห่านขาวตัวใหญ่สองสามตัววิ่งอยู่ กองฟางที่อยู่ข้างๆ มีไก่สองสามตัวที่กำลังออกไข่ ในสวนสะอาดสะอ้าน มีบ่อน้ำอยู่ตรงกลาง เด็กผู้หญิงอายุสิบสามสิบสี่ปีกำลังหมุนถังน้ำขึ้นมาจากบ่อ เห็นผู้ชายสองสามคนกำลังยืนมองตัวเองอยู่ที่กำแพง พวกนางก็ตกใจ ปล่อยมือหลุดทันที ถังน้ำที่เพิ่งหมุนขึ้นมาก็ตกลงไปอีกครั้ง เด็กผู้หญิงพวกนั้นรีบปิดหน้าปิดตาวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน
หลี่ซื่อหมินยิ้มอย่างพอใจ ชี้ไปที่กองฟางในสวนแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้านี่จริงๆ เลย กองฟางสิบกว่ากองพวกนี้ เป็นของบ้านนางหมดเลยหรือ”
“กระหม่อมคิดว่า อีกสักครู่เราก็จะรู้ขอรับ” อวิ๋นเยี่ยเพิ่งจะพูดเสร็จ ก็มีผู้หญิงถือไม้ปัดขนไก่วิ่งออกมา กำลังจะอ้าปากด่า แต่กลับเห็นว่าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ทันใดนั้นก็ยิ้มแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านโหวมาหาซู้เหนียงเหรอเพคะ ข้าไม่ได้โม้นะ งานเย็บปักถักร้อยของซู้เหนียงเป็นงานที่ดีที่สุดในหมู่บ้าน หากได้ไปเป็นสาวรับใช้ในจวน ไม่ว่าจะรับใช้ท่านหญิงท่านใดก็คงจะดีไม่น้อย ท่านคิดว่าเช่นไร?”
หลี่ซื่อหมินกับเว่ยเจิงได้ยินคำพูดของนางก็มองไปที่อวิ๋นเยี่ยด้วยสายตาที่ดูถูก เว่ยเจิงดูถูกไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หลี่ซื่อหมินที่มักมากในกาม เหตุใดถึงได้มองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น อวิ๋นเยี่ยโมโห
“บ้านเจ้ามีเสบียงตั้งมากมาย เจ้าอย่าบอกว่าแม้แต่ลูกสาวก็เลี้ยงไม่ไหว ต้องส่งไปให้ข้าเลี้ยงที่บ้าน”
“ท่านโหวคงไม่ทราบ เสบียงที่บ้านไม่ได้ขาดแคลน ที่เก็บไว้ก็มีตั้งเยอะแยะ ส่วนนี่คือเสบียงที่เก็บไว้เมื่อปีที่แล้ว ถูกหนูกัดหมดแล้ว ข้ากะว่าจะเอาออกไปตาก แล้วเอาไปขายให้กับพวกขุนนางในเมือง ส่วนเราทานของใหม่ ส่งลูกสาวไปที่บ้านของท่าน ก็เพราะว่าอยากจะให้นางได้ไปเรียนรู้ความเป็นผู้รากมากดีกับท่านย่า”
หลี่ซื่อหมินตบที่ท้ายทอยของอวิ๋นเยี่ยอย่างแรงแล้วพูดว่า “เจ้าสั่งสอนคนในหมู่บ้านเจ้าเช่นนี้เองหรือ ตอนนี้ฮองเฮากำลังเก็บเสบียงให้พวกขุนนาง เจ้ากะจะให้เราทานเสบียงที่ถูกหนูกัดแล้วใช่หรือไม่”
ผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าก่อเรื่องขึ้นแล้ว ก็วิ่งกลับเข้าไปในบ้าน แอบดูอยู่หลังประตู
อวิ๋นเยี่ยร้องออกมาด้วยสีหน้าที่ขมขื่น “ฝ่าบาท ชาวบ้านที่ขายข้าวก็ล้วนแต่เอาข้าวไปจากตระกูลเฉิน เก็บของดีไว้ให้ตระกูลตัวเอง เก็บไว้เป็นปีๆ จะไม่ถูกหนูกัดได้เช่นไร กระหม่อมถูกใส่ร้าย”
หลี่ซื่อหมินนึกถึงบะหมี่ชามใหญ่ที่กินไปตอนเช้า แล้วก็นึกถึงหนู รู้สึกอยากจะอ้วก ชี้หน้าอวิ๋นเยี่ยแล้วก็หันหน้าเดินออกไป