[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้อย] ตอนที่ 46 การค้าขายของทุกคน

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

หลี่ซื่อหมินเอามือไพล่หลังเดินไปข้างหน้า เว่ยเจิงกับอวิ๋นเยี่ยเดินตามอยู่ข้างหลัง ไม่มีเป้าหมาย พวกเขาแค่เดินไปรอบๆ หมู่บ้าน วั่งไฉรออยู่สักพัก แต่เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยไม่สนใจ มันก็เลยลากรถม้ากลับบ้านไปเอง

 

 

หลี่ซื่อหมินเห็นอะไรก็สดใหม่ไปหมด เห็นประตูบ้านเปิดอยู่ก็เดินเข้าไปวนรอบสักสองรอบโดยไม่มีความเกรงใจ ราวกับกลับบ้านของตัวเอง ที่เขาทำเช่นนี้ก็มีเหตุผล เพราะทั้งต้าถังก็คือบ้านของเขา

 

 

นึกถึงตอนที่หลิวปังได้ครอบครองโลก เขาถามพ่อของตัวเองว่า เมื่อก่อนท่านบอกว่าข้าทำการค้าขายด้อยกว่าพี่ใหญ่ ท่านดูตอนนี้ การค้าขายของข้าเป็นเช่นไร

 

 

พ่อของเขากับพวกขุนนางต่างพากันแสดงความยินดีกับหลิวปัง ไม่มีใครคัดค้าน จางเหลียงที่ชาญฉลาดก็ไม่คัดค้าน เห็นได้ว่าทุกคนต่างก็คิดว่าโลกใบนี้เป็นของหลิวปัง เหตุผลเดียวกัน ตอนนี้โลกใบนี้ก็เป็นของหลี่ซื่อหมินเช่นกัน

 

 

หลี่ซื่อหมินชอบดูกองเสบียงของชาวบ้าน ชอบดูเฟอร์นิเจอร์อันเรียบง่ายที่ทำจากท่อนไม้ ดูเนื้อที่ห้อยลงมาจากคานบ้าน เขารู้สึกมีความสุข ยื่นมือออกไปล้วงไข่อุ่นๆ ออกมาจากกองฟาง เหล่ตาและยิ้ม ถือไว้ในมือไม่ยอมคืนให้พวกเขา แถมยังบึนปากให้พวกชาวบ้าน

 

 

เขาไล่ตบก้นวัวของพวกชาวบ้านไปทั่ว เครื่องมือการเกษตรที่อยู่ตรงมุมกำแพง เขาก็ตรวจสอบว่าพวกมันมีสภาพดีอยู่ไหม สีทาบ้านสีใหม่ที่ชาวบ้านหามาอย่างยากลำบาก เขาลองแกะสีดูสักหน่อย ดูว่าทาสีหนาพอหรือไม่

 

 

พวกชาวบ้านล้วนแต่มีจิตใจที่ดี เขาเอาไข่ไก่ไปก็ไม่มีใครมาเอาคืน เขาตบก้นวัวก็ไม่มีใครว่าอะไร แม้แต่ที่เขาแกะสีทาบ้านพวกนั้นก็ไม่มีใครด่าเขา ยังคงยิ้มหัวเราะเหมือนเดิม

 

 

เดินมาถึงบ้านหลังสุดท้าย มองไปในลานสวนที่ว่างเปล่านอกกำแพง หลี่ซื่อหมินพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้าอยากจะมองบรรยากาศที่เจริญรุ่งเรืองเช่นนี้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด ถนน ภูเขา แม่น้ำลำธาร ล้วนแต่เป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม มันคงจะเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย”

 

 

คนใหญ่คนโตก็มักจะมีความคิดที่ยิ่งใหญ่ อวิ๋นเยี่ยเป็นแค่คนธรรมดา เขาขอแค่ชาวบ้านของตัวเองมีชีวิตที่มีความสุขก็พอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงแม่น้ำลำธาร แม้แต่ถนน ถ้าตระกูลอวิ๋นเข้ามาเกี่ยวข้อง มันคงจะเกิดเรื่องใหญ่

 

 

ท้องฟ้าเริ่มมืดลง หมู่บ้านของตระกูอวิ๋นไม่มีกฎห้ามยามค่ำคืน พวกชาวบ้านต่างพากันจุดไฟ นั่งทำการทำงานอยู่รอบๆ บ้าน คนที่อ่านหนังสือก็อ่านหนังสือไป วิถีชีวิตชาวบ้านก็ควรเป็นเช่นนี้ สงบกลมกลืนถึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

 

 

มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่กำลังอ่านหนังสือ เสียงอ่านหนังสือของเขาลอดผ่านหน้าต่างออกมา

 

 

“ขงจื้อบอกว่าความมั่งคั่งและศักดิ์ศรีเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่หากได้มันมาด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสม ก็คงไม่มีทางได้เสวยสุข ความยากจนและความต่ำต้อยเป็นสิ่งที่ทุกคนเกลียดชัง แต่หากไม่กำจัดมันด้วยวิธีที่เหมาะสม ก็คงไม่มีทางกำจัดมันออกไปได้ หากสุภาพบุรุษไม่มีคุณธรรม ยังจะเรียกว่าสุภาพบุรุษได้เช่นไร”

 

 

หลี่ซื่อหมินยืนฟังเด็กชายคนนั้นอยู่นอกกำแพง ราวกับได้ยินเสียงของเทพพระเจ้า หลับตาฟังอยู่นาน ถึงได้ลืมตาขึ้นแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เด็กคนนี้ลืมท่องคำว่า ‘จือ’ พรุ่งนี้เขาคงจะถูกอาจารย์ลงโทษไม่เบา”

 

 

อวิ๋นเยี่ยได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เขาท่องผิดก็สมควรถูกลงโทษ อาจารย์ที่ตระกูลอวิ๋นเชิญมา ล้วนแต่เป็นผู้มีความยุติธรรม ล้วนแต่เป็นอาจารย์ที่เข้มงวด บางทีหากเขาถูกลงโทษ เขาก็อาจจะเข้าใจหลักการที่ถูกต้อง”

 

 

พวกเขาต่างมองหน้ากันแล้วยิ้ม เฝ้ารอดูเด็กคนนั้นถูกลงโทษ

 

 

“อวิ๋นโหว ข้าเคยได้ยินมาว่าความมั่งคั่งของที่นี่ไม่ได้อยู่บนพื้นดิน แต่อยู่ใต้ดิน เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่”

 

 

เว่ยเจิงช่างรู้ดี หลายวันมานี้เขาเข้ามาเดินเตร่ที่หมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นอยู่ตลอด คุ้นเคยกับสถานการณ์ของชาวบ้านเป็นอย่างดี เพื่อที่จะเอาความดีความชอบมาเป็นของตัวเอง เรื่องถ้ำใต้ดินก็เอาออกมาพูด

 

 

“เรื่องของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น มีเรื่องอะไรที่เจ้าไม่รู้ไหม” ถามเว่ยเจิงด้วยความหงุดหงิด

 

 

“มีหลายเรื่องที่ข้าไม่รู้ อย่างเช่นม้าของเจ้าสามารถปลูกเห็ดได้ ทำให้ตอนนี้เห็ดของฉางอันราคาขึ้น ภรรยาของข้าไม่เคยซื้อของราคาแพงพวกนั้น แต่เมื่อวานนางกลับซื้อไปครึ่งกิโล ทั้งหมดห้าร้อยเหรียญ นอกจากตระกูลเจ้าก็ไม่มีใครรู้ว่าปลูกเช่นไร นี่มันคือการปลูกเงิน ไม่ใช่การปลูกเห็ด”

 

 

หลี่ซื่อหมินมองดูอย่างเงียบๆ ดูว่าอวิ๋นเยี่ยจะตอบเช่นไร

 

 

“มันช่างไม่สมเหตุสมผล เจ้ายังอยากให้ตระกูลอวิ๋นมีชีวิตอยู่หรือไม่ พวกเจ้าทุกคนต่างก็หมกมุ่นอยู่กับการทำการค้าขาย แต่ไม่ให้ตระกูลอวิ๋นได้มีโอกาสค้าขาย ตอนนี้ข้าไม่ค้าขายแล้ว กลับไปทำไร่ทำนาที่บ้าน พวกเจ้าก็ไม่พอใจ เหตุใดกัน หรือว่าต้องให้ตระกูลอวิ๋นไม่มีที่ยืน พวกเจ้าถึงจะพอใจใช่หรือไม่”

 

 

ทันใดนั้นก็โมโหขึ้นมา ก็แค่เห็ดที่ปลูกอยู่ถ้ำใต้ดินไม่ใช่เหรอ คนรับใช้ที่ไม่มีอะไรทำเลียนแบบสภาพแวดล้อมของคอกม้า ไปขุดเห็นออกมาจากป่า ลองปลูกเองที่บ้านสองสามครั้ง คิดไม่ถึงว่ามันจะสำเร็จ อวิ๋นเยี่ยแค่บอกพวกเขาว่า เห็ดเกิดจากเซลล์เหล่านั้น สำหรับเซลล์อะไร เขาก็ไม่ได้อธิบายด้วยซ้ำ พวกที่กินอิ่มไม่มีอะไรทำ ก็พยายามปลูกมันขึ้นมาแล้วก็เอาไปให้ท่านย่าลองชิม

 

 

อวิ๋นเยี่ยโมโหมาก ลองปลูกเห็ดป่าให้สำเร็จ มันต้องผ่านการทดสอบล้างพิษ เจ้าไปหาแกะหรือหมูสักตัวก็ไม่ว่าอะไร แต่เจ้าใช้บรรพบุรุษของตระกูลอวิ๋นในการทดสอบ ฆ่าเจ้าให้ตายยังน้อยไป

 

 

เขามีนิสัยดื้อรั้น ได้ยินที่อวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้ก็โมโหขึ้นมา หยิบเห็ดดิบจากชามยัดเข้าปากเคี้ยว เอาแต่พูดว่ามันอร่อย กินเสร็จก็หยิบมาอีกอัน…

 

 

กระโดดโลดเต้นทั้งวัน แล้วยังมาโอ้อวดพลังที่เหนือมนุษย์ของตัวเองต่อหน้าอวิ๋นเยี่ย ทำให้อวิ๋นเยี่ยถูกท่านย่าด่า

 

 

ตอนนี้เว่ยเจิงก็ยังมาพูดถึงการปลูกเห็ดของตระกูลอวิ๋นอีก น่าเกลียดชังเสียจริง

 

 

“หยุดก่อน จะบ่นอะไร เว่ยเจิงก็แค่พูดเรื่องหมู่บ้านของเจ้า ใครไม่อนุญาตให้เจ้าทำไร่ทำนา สำหรับข้า ข้าว่าเจ้าทำไร่ทำนามีประโยชน์มากกว่าจัดงานประมูลพวกนั้นเสียอีก แล้วอีกอย่าง ใครไม่อนุญาตให้เจ้าค้าขาย เจ้าหาเงินได้เยอะถึงเพียงนั้น แต่กลับใช้หมดในพริบตาเดียว ข้าได้ยินมาว่าเจ้ายังมีกลุ่มพ่อค้าที่ไปสามก๊กของเหลียวตง ยังไม่รู้ว่าจะเอากำไรกลับมาให้เจ้าอีกตั้งเท่าไหร่ โชคดีที่ฮองเฮามีหุ้นส่วน ถึงตอนนั้นจะได้รู้ว่าเจ้าล้างผลาญสามประเทศนี้ไปแล้วหรือยัง”

 

 

ครั้งนี้เว่ยเจิงต้องการใช้อำนาจของฮองเต้ ทำให้ตระกูลอวิ๋นก้มหัว เอาของที่มีประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนออกมา ให้ประชาชนก็ได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน สิ่งที่เขาดูถูกที่สุดก็คือการเก็บสมบัติล้ำค่าพวกนั้นเอาไว้ คนขี้เหนียวที่ไม่ให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ แต่ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นศัตรูกับตระกูลอวิ๋น

 

 

สุดท้ายมีบ้านหลังหนึ่งที่กำลังจุดไฟอยู่ ชายอ้วนที่มีฐานะกำลังพาลูกชายทั้งสามของเขาย้ายแผ่นหินที่อยู่ตรงกำแพง ย้ายมันไปเชื่อมต่อกับแผ่นหินที่อยู่ตรงถนนด้วยความลำบาก

 

 

เห็นการแต่งตัวของพ่อลูกทั้งสี่คน ไม่ใช่คนที่ไม่มีเงินจ้างแรงงาน หลี่ซื่อหมินไม่เข้าใจ ก็เลยเดินไปถามว่า “เหตุใดพวกเจ้าถึงออกมาย้ายแผ่นหินตอนกลางค่ำกลางคืน พรุ่งนี้จ้างแรงงานสักสองสามคนมาย้ายให้ไม่ดีกว่าเหรอ”

 

 

ชายอ้วนที่มีฐานะยืนเช็ดเหงื่ออยู่บนแผ่นหิน เทเม็ดทรายที่อยู่ในที่ตักลงในรอยแยกของหิน แล้วตอบว่า

 

 

“สหายผู้นี้ น่าจะไม่รู้กฎระเบียบของหมู่บ้าน เหล่าฮั่นได้ซื้อพื้นที่โล่งด้านหลังไว้แล้ว กำลังจะสร้างบ้าน หมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นมีช่างก่อสร้างฝีมือดีอยู่แล้วแน่นอน ไม่จำเป็นต้องให้เหล่าฮั่นลงมือเอง แต่ก่อนที่จะสร้างบ้านต้องปูถนนก่อน ทางบ้านก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินสำหรับปูถนน แต่ถนนเส้นนี้เป็นถนนที่หัวหน้าหมู่บ้านปูเองกับมือ เหล่าฮั่นจะจ้างแรงงานมาปูได้เช่นไร เขาปูเองกันหมด ถึงทีของตัวเองกลับจ้างแรงงาน ต่อไปจะให้เหล่าฮั่นมีหน้าไปพบปะผู้คนในหมู่บ้านได้เช่นไร

 

 

หลายปีมานี้ตระเวนค้าขายไปทั่วทุกแห่ง แต่หมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นเป็นที่เดียวที่ข้าอยากจะอาศัยอยู่ ในเมื่ออยากจะอาศัยอยู่ที่นี่ ก็ต้องทำตามกฎระเบียบของหมู่บ้าน ลูกหลานจะได้ไม่ถูกรังเกียจ ที่อื่นทำงานอาจจะถูกคนหัวเราะเยาะ แต่ที่นี่กลับไม่ใช่ ได้ยินมาว่าท่านย่าของตระกูลอวิ๋นก็ทำไร่ทำนาที่จวนทุกวัน อวิ๋นโหวก็เคยเลี้ยงหมู ทำสวนมาก่อน เหล่าฮั่นเป็นใครมาจากไหนถึงปูพื้นถนนไม่ได้ ตอนกลางวันในร้านค่อนข้างยุ่ง ก็เลยต้องออกมาทำตอนกลางคืน”

 

 

หลี่ซื่อหมินพยักหน้าและพูดกับชายที่มีฐานะคนนั้นว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ควรปูถนนเองจริงๆ”

 

 

ชายที่มีฐานะคนนั้นรีบพูดต่อว่า “ท่านเป็นแขกที่มีเกียรติ ร้านของข้าน้อยอยู่ทางตะวันออกของหมู่บ้าน ขายพวกเครื่องเขินจากหยางโจว หากท่านมีความต้องการ ส่งคนมาบอกข้าก็ได้ ข้าจะเตรียมไปให้ท่านเลือกที่จวน ไม่ใช่ว่าเหล่าฮั่นโม้ ล้วนแต่เป็นผลงานชิ้นเอกทั้งหมด เครื่องเขินที่ใหม่ที่สุดก็ยังมี”

 

 

หลี่ซื่อหมินยิ้มแต่ก็ไม่พูดอะไร เดินกลับมาที่ถนนใหญ่แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับหมู่บ้านของเจ้า วันนี้เย็นมากแล้ว คงจะดูไม่ครบ พรุ่งนี้ค่อยมาดูต่อแล้วกัน ถ้ำใต้ดินของบ้านเจ้าเป็นยังไงกันแน่ ตอนนี้กลับไปที่บ้านเจ้าดีกว่า ข้าหิวแล้ว ถ้าเจ้ากล้าให้ข้าทานปลาคราฟได้เห็นดีกันแน่”

 

 

พอหลี่ซื่อหมินมา อวิ๋นเยี่ยก็ไม่สามารถหลีกหนีการเป็นพ่อครัวได้ โชคดีที่เตรียมตัวไว้อยู่แล้ว ห้องครัวก็ได้รับการตรวจสอบโดยหน่วยองครักษ์เป็นที่เรียบร้อย พ่อครัวอ้วนที่บ้านก็เห็นอะไรมาแล้วมากมาย เผชิญหน้ากับการตรวจสอบก็ทำงานอย่างไม่ร้อนใจ แล้วยังให้เหล่าข้าราชองครักษ์มาช่วยจุดไฟเป็นครั้งเป็นคราว เตรียมวัตถุดิบให้พร้อม ท่านโหวจะกลับมาทำเอง

 

 

หลี่ซื่อหมินไม่อยากทำให้คนในตระกูลอวิ๋นแตกตื่น เขาก็เลยนั่งพูดคุยกัยเว่ยเจิงที่สวนดอกไม้ ภรรยาของตระกูลอวิ๋นยังคงซื้อของอยู่ในเมืองฉางอัน เย็นนี้คงกลับมาไม่ทัน คงจะนอนอยู่ที่ตรอกซิ่งฮว่าฟาง

 

 

หลี่ซื่อหมินชอบกินพวกอาหารทอดเป็นพิเศษ โดยเฉพาะลูกชิ้นเปรี้ยวหวาน เขาเป็นผู้ป่วยความดันโลหิตสูง การกินของพวกนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อเขาเลย แต่ถ้าไม่ให้เขากิน ก็คงจะส่งผลเสียร้ายแรงต่ออวิ๋นเยี่ย โดยเฉพาะตอนที่ฮองเฮาจั่งซุนไม่อยู่ด้วย

 

 

เนื้อตุ๋นขนาดเท่ากำปั้น คนเดียวกินไปสองชิ้น จากนั้นก็กินลูกชิ้นไปอีกหนึ่งจาน เขาหัวเราะเยาะผัดรากบัวที่อวิ๋นเยี่ยทำ บอกว่ามันเป็นของที่ผู้หญิงกินกัน ผัดมันฝรั่งก็กินจนเกลี้ยง แต่แค่กินไปบ่นไป บอกว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นจอมล้างผลาญ เมล็ดพืชก็ยังเอาออกมากิน

 

 

เมื่อยกชามก๋วยเตี๋ยวเนื้อมาวางตรงหน้า ในที่สุดเขาก็เงียบไป ปรุงพริกสีแดง เติมน้ำส้มสายชูด้วยตัวเอง กินก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่จนหมดเกลี้ยง บนหัวเต็มไปด้วยเหงื่อ

 

 

“ให้พ่อครัวของเจ้าสอนอาหารมื้อนี้ให้กับพ่อครัวในวังด้วยสิ อาหารในวังไม่อร่อยเท่าของบ้านเจ้าเลย”

 

 

ยกถ้วยชาเขียวขึ้นมาจิบแล้วจงใจวางไว้ตรงหน้าของอวิ๋นเยี่ย เห็นความเศร้าโศกและความโกรธที่ผิดปกติของอวิ๋นเยี่ย กาน้ำชาที่ตัวเองเก็บไว้ตั้งสองปี คงจะเอากลับคืนมาไม่ได้แล้ว

 

 

พักผ่อนสักพักแล้วหลี่ซื่อหมินก็กลับไปที่เขาอวี้ซัน เว่ยเจิงกลับไปด้วย ไม่รู้ว่าพวกองครักษ์ไปแอบอยู่ที่ไหน โผล่ขึ้นมาราวกับผีสางนางไม้ เดินตามรถม้าของหลี่ซื่อหมินขึ้นไปบนเขา มองออกไปไกลๆ ไม้ที่จุดไฟในมือของพวกองครักษ์คดเคี้ยวไปตามเขาอวี้ซันราวกับมังกรไฟ