หลี่ซื่อหมินไม่ได้มาพักร้อนที่เขาอวี้ซัน แต่เขามาเพื่อที่จะหลบหนีต่างหาก เพราะไม่อาจอยู่ที่พระราชวังได้ ไม่รู้ว่าเหตุใดหลี่หยวนถึงเกิดอาการบ้าคลั่งขึ้นมา อยากย้ายกลับไปอยู่ที่ตำหนักไท่จี๋ ใครห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง เอาแต่พูดว่าในวังใหม่มีผีจะมาเอาชีวิต ตกใจทั้งวันทั้งคืน ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเสแสร้ง บวกกับการที่มีลมพายุฝนฟ้าคะนอง สาวใช้สองคนที่อยู่เวรตอนกลางคืนถูกทำร้าย เครื่องประดับบนหัวละลายกลายเป็นน้ำสีทอง
ที่จริงแล้วคนที่ฝันร้ายไม่ได้มีแค่หลี่หยวนคนเดียว ยังมีหลี่ซื่อหมินอีกคน ฆ่าคนมากเกินไป ทำเรื่องเลวร้ายมากเกินไป แน่นอนว่าจะต้องมีฝันร้ายเกิดขึ้น
ตำหนักไท่จี๋ติดตั้งสายล่อฟ้า ดังนั้นสองปีที่ผ่านมาจึงไม่เคยมีฟ้าร้องฟ้าผ่ารบกวน หมอดูในวังก็บอกว่าตำหนักไท่จี๋เป็นสถานที่ที่มงคลและปลอดภัยที่สุดในวัง
หลี่ซื่อหมินเป็นลูกชาย และต้าถังก็ได้ก่อตั้งขึ้นด้วยความเมตตากรุณาและความกตัญญูกตเวที ไม่มีทางเลือกอื่น เขาเลยต้องยกตำหนักไท่จี๋ให้หลี่หยวนเป็นที่หลับนอน
หลี่ซื่อหมินที่ย้ายออกมาจากตำหนักไท่จี๋ก็ฝันร้ายเช่นกัน การฝันครั้งนี้ดุร้ายกว่าเสด็จพ่อของเขาด้วยซ้ำ หันนอนตะแคง ก็นึกถึงที่พักที่อยู่บนเขาอวี้ซันขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะเล็กไปหน่อย แต่กลับทำให้เขานอนหลับสนิท เป็นคืนที่ทำให้เขาทรมานอีกคืนหนึ่ง โชคดีที่มีม้าเร็ววิ่งออกนอกเมือง เตรียมที่จะมานอนหลับฝันดีบนเขาอวี้ซัน
ได้ยินข่าวลือหลังจากซินเย่วกลับมา อวิ๋นเยี่ยถึงได้เข้าใจว่าทำไมเมื่อวานหลี่ซื่อหมินถึงดูสีหน้าไม่ค่อยดี โศกเศร้าและหดหู่ได้ง่าย เดิมทีความรู้สึกสองอย่างนี้ไม่มีทางทีจะเกิดขึ้นกับหลี่ซื่อหมินได้ อำนาจเหนือโลกคือสิ่งเดียวที่เขาควรจะมี
ไม่แปลกใจที่หลี่ซื่อหมินจะฝันร้าย อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาวางหัวลงบนท้องของซินเย่ว สัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ สำหรับเขาแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องของลูก หลี่ซื่อหมินตกใจแทบตาย หลี่เฉิงเฉียนสืบทอดตำแหน่งก็เป็นเรื่องที่ดี จากผลงานของเขาในช่วงสองปีที่ผ่านมา เห็นได้ว่าหลี่เฉิงเฉียนคงจะเป็นฮ่องเต้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมอย่างแน่นอน
น่ารื่อมู่กอดแขนของอวิ๋นเยี่ยเขย่าไปมา อยากให้ท่านพี่ดูผลงานของตัวเองในช่วงสองวันที่ผ่านมา ผู้หญิงโง่ ซื้อของสองวันใช้เงินไปหกร้อยเหรียญ แค่เครื่องประดับบนหัวของซินเย่วก็ราคาเท่านี้
รถคันใหญ่สามคัน อวิ๋นเยี่ยเห็นแล้วก็รู้สึกตาลาย ล้วนแต่เป็นสิ่งของอะไรกัน ตุ๊กตาอาฝูตัวใหญ่เจ็ดแปดตัว กลองใหญ่สองใบ หม้ออีกสิบกว่าใบ เครื่องมือเครื่องใช้อีกสี่ห้าชุด แล้วยังมีเกลืออีกหนึ่งลำรถ อานม้าที่สวยงามอีกสองสามอัน ขวานและมีดที่แหลมคม ได้ยินซินเย่วบอกว่า ถ้าไม่ห้ามนางไว้ น่ารื่อมู่คงจะซื้อเหล้าคุณภาพต่ำที่ตระกูลอวิ๋นเอาออกไปขายนอกตลาดกลับมาด้วย
เห็นน่ารื่อมู่เอาเลื่อยออกมา เลื่อยไม้หนาออกเป็นสองท่อนในทันที นางถือไม้ที่หักเป็นสองท่อนให้อวิ๋นเยี่ยดู สิ่งของเต็มสามคันรถ นอกจากตุ๊กตาอาฝู ก็ไม่มีของชิ้นไหนที่ซื้อให้ตัวเอง
ซือซือถือมีดที่งดงามไว้เล่มหนึ่งไม่ให้ใครแตะ ด้ามจับของมีดฝังด้วยหยก ดูจากรอยเกล็ดหิมะของมีดก็รู้ว่านี่คือมีดเหล็กจริงๆ
เงินของนางไม่พอ ขอยืมซินเย่วเพิ่มถึงซื้อมีดเล่มนี้มาได้ และสัญญากับอวิ๋นเยี่ยว่า นางจะไม่เอาเงินค่าขนมอีกหนึ่งปี กินข้าวให้น้อยลงหน่อยด้วยก็ได้
เมื่อเทียบกับความเรียบง่ายของซือซือ เสี่ยวอู่ซื้อของให้ตัวเองเป็นกอง ที่ใส่อยู่บนหัว ที่สวมอยู่บนตัว ที่เหยียบอยู่ที่เท้า เสื้อชั้นในที่มีระดับซึ่งว่ากันว่าสวมใส่สบาย เสี่ยวอู่ก็ซื้อให้ตัวเองชุดหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยบังเอิญไปเห็น นางก็ร้องไห้โฮด้วยความน้อยใจ
ต้ายาได้หนังสือกลับมาหนึ่งกล่อง เสี่ยวยาได้ของเล่น ขนมกับผลไม้เชื่อมกลับมาเป็นกอง
เสี่ยวตงหาเงินได้ไม่น้อย ใช้เหรียญทองแดงไปแลกเงินในมือของคนอื่นจนหมด ถุงเงินถุงใหญ่ห้อยอยู่ที่เอว ทำให้นางเดินโซซัดโซเซ
กลับเข้ามาในบ้าน น่ารื่อมู่มองดูซิวเย่วหยิบเครื่องประดับออกมาจากกล่องทีละชิ้น ถึงได้รู้ว่าตัวเองพลาดอะไรบางอย่างไป กัดนิ้วแล้วมองไปที่เครื่องประดับอันแวววาวของซินเย่วด้วยความอิจฉา
อวิ๋นเยี่ยหยิบเครื่องประดับสีแดงของซินเย่วออกมาชุดหนึ่ง เครื่องประดับชุดนี้เข้ากับน่ารื่อมู่ ใส่แล้วนางดูมีเสน่ห์มากขึ้น
ซินเย่วระมัดระวังเป็นอย่างมาก แต่พอหันกลับมาก็เห็นน่ารื่อมู่ใส่เครื่องประดับวิ่งออกไปอย่างมีความสุข
ซินเย่วทุบที่ขาของอวิ๋นเยี่ยสองทีอย่างไม่มีทางเลือก รีบเก็บของของตัวเองไว้ในกล่องไม้ แถมยังล็อคอีกต่างหาก
“กล่องของเจ้าเต็มหมดแล้ว เจ้าก็ไม่ใส่ นี่คือพฤติกรรมมฟุ่มเฟือยอย่างร้ายแรง ตั้งแต่น่ารื่อมู่เข้ามาอยู่ที่บ้าน เจ้าก็เอาแต่ใส่อัญมณีสีเหลืองอันนี้ ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นภรรยาหลัก”
ซินเย่วถอดเครื่องประดับออกจากหัว เช็ดให้สะอาดด้วยผ้าไหมอย่างเบาๆ วางใส่ลงในกล่องไม้ข้างหมอน ตบที่กล่องแล้วพูดว่า “เครื่องประดับในกล่องพวกนั้นไม่ใช่ของหายาก หม่อมฉันมีแค่ชิ้นนี้ก็เพียงพอแล้ว ชิ้นอื่นล้วนแต่ทำจากคนธรรมดา มีแค่ชิ้นนี้ชิ้นเดียวที่แม้แต่ช่างฝีมือดีที่สุดในโลกก็ยังไม่สามารถทำขึ้นมาได้ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้ มันจะต้องมาจากอาณาจักรของเทพเจ้าเป็นแน่
ท่านพี่ ท่านคิดว่า ตระกูลของอาจารย์เป็นตระกูลเทพเจ้าหรือเปล่า ท่านเคยเห็นเขาแสดงพลังวิเศษหรือไม่”
“สำหรับข้าแล้ว ท่านอาจารย์เป็นเหมือนเรื่องราวในอดีตของข้า มีพลังวิเศษหรือไม่ ก็อยู่ที่ว่าเจ้าจะมองเช่นไร เขามีพลังวิเศษมากมาย แต่ข้ากลับเล่าให้เจ้าฟังทีละอย่างไม่ได้ เจ้าไม่มีทางจะเข้าใจ และไม่มีทางจินตนาการได้ ไม่ต้องรู้น่าจะดีกว่า”
พูดถึงเรื่องในอดีตอวิ๋นเยี่ยก็รูสึกหงุดหงิด ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นคนโกหกอีกนานแค่ไหน เรื่องราวในอดีตถูกเขาฝังเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ จะเอ่ยถึงมันก็ไม่ได้ พอเอ่ยถึงก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
“ท่านพี่ ข้าผิดเองที่ทำให้ท่านนึกถึงเรื่องในอดีต ท่านอาจารย์มีบุญคุณกับท่านราวกับพ่อแม่ ท่านไม่ต้องเสียใจ หากท่านคิดถึงเขาก็ไปกราบไหว้เขาที่ห้องพระสักหน่อยก็ได้ ข้าจะไปเป็นเพื่อนท่าน คอยเฝ้าประตูให้ท่าน ไม่ให้ใครเข้าไป ท่านกับท่านอาจารย์ก็พูดคุยกันไป ท่านอาจารย์เป็นเทพเจ้า เขาอาจจะได้ยินที่ท่านพูด”
อวิ๋นเยี่ยกับซินเย่วมาถึงห้องที่เอาไว้กราบไหว้ท่านอาจารย์ ซินเย่วย้ายเก้าอี้มาตัวหนึ่ง นั่งอยู่หน้าประตู บอกผู้ดูแลว่าไม่ให้ใครเข้ามารบกวน ใครไม่ทำตามจะถูกลงโทษอย่างหนัก
ทุกคนต่างก็ล้วนแต่มีจุดอ่อน และจุดอ่อนของอวิ๋นเยี่ยก็คือเรื่องในอดีตที่ตัดไม่ขาด
เงยหน้าขึ้นมองป้ายไม้ของท่านอาจารย์ ยังมีภาพวาดของเขา จุดธูปดอกหนึ่ง ไม่ได้ไหว้บรรพบุรุษ แต่ไหว้เรื่องราวในอดีตที่เขาสูญเสียไปตลอดกาล
ทิ้งตัวลงบนเบาะรองนั่งใบใหญ่ พยายามระลึกถึงใบหน้าที่ทั้งเลือนรางและชัดเจนเหล่านั้น ใบหน้าของพวกเขาซ้อนทับกันอย่างเป็นธรรมชาติ อดีต ปัจจุบัน อนาคตล้วนแต่เป็นภาพลวงตา ตัวเองเป็นเพียงแขกที่ผ่านเข้ามา สำหรับคนรุ่นหลัง ตัวเองเป็นคนที่ไม่มีอนาคต สำหรับต้าถัง ตัวเองเป็นคนที่ไม่มีอดีตและมีเพียงปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นของเขาเองไปชั่วนิรันดร์
ราวกับคนที่ยืนอยู่ตรงทางแยก ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนมันก็ล้วนแต่เป็นการเดินทางครั้งใหม่
ธูปดับแล้ว ความคิดถึงก็ควรจะจบลงได้แล้ว จมปลักอยู่กับเรื่องในอดีต คือการขาดความรับผิดชอบต่อปัจจุบัน คนที่ฉลาดจะไม่เลือกที่จะจมปลัก ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนการทรยศหักหลังก็ตาม
ผลักประตูออกไป ซินเย่วยังคงนั่งอยู่หน้าประตู ลูบท้องของตัวเองอย่างสงบสุขราวกับรูปปั้น อวิ๋นเยี่ยเดินเข้าไปกอดนาง กระซิบข้างหูนางเบาๆ ว่า “ขอบใจเจ้านะ”
หลี่เฉิงเฉียนมาแล้ว นั่งรออยู่ที่ห้องโถงอยู่นาน ผู้ดูแลบอกว่าท่านโหวกำลังไว้ท่านอาจารย์อยู่ จะไม่พบเจอใครทั้งนั้น เดิมที่เขาควรที่จะกลับไปอย่างมีมารยาท แต่เมื่อนึกถึงขอบตาดำของพ่อกับปู่ของตัวเอง ก็ไม่มีเวลาสนใจเรื่องของมารยาท นั่งรออยู่ที่ห้องโถงอย่างเงียบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาบ้านตระกูลอวิ๋นอย่างเงียบๆ
“เฉิงเฉียน ทำไมเจ้าถึงรีบมาเวลานี้ เจ้ากลับไปตอนนี้ประตูเมืองก็คงจะปิดแล้ว”
หลี่เฉิงเฉียนแสดงความเคารพอย่างสุดซึ้งต่ออวิ๋นเยี่ยและบอกว่า “วันนี้เจ้ากราบไหว้ท่านอาจารย์ เป็นวันที่ดี ข้าไม่ควรมารบกวนเจ้า แต่เสด็จพ่อกับท่านปู่ของข้าผอมซูบลงทุกวัน ถูกผีหลอกจนนอนไม่หลับ เสด็จแม่ก็เช่นกัน ข้าไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ เยี่ยจึ ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าคิดหาวิธีที่ทำให้พวกท่านนอนหลับอย่างสงบ ถึงแม้จะเเค่คืนเดียวก็ตาม”
ป่วยทางจิตบางครั้งก็อาจจะติดต่อกันได้ หลี่ซื่อหมินถูกพ่อของตัวเองเอามาปล่อย ที่แท้ไม่เป็นอะไร แต่เห็นพ่อตัวเองเสียขวัญ เขาก็กังวลขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าความกังวลเลยทำให้เขาคิดฟุ้งซ่านตอนกลางคืน เมื่อจิตใจฟุ้งซ่านไม่ฝันร้ายก็แปลก
“เรื่องเช่นนี้เจ้าไม่ไปหาหยวนเทียนกัง หลี่ฉุนเฟิง แต่กลับมาหาข้า มาผิดทางหรือเปล่า”
ไม่อยากสนใจเรื่องพวกนี้ เรื่องความลับของราชวงศ์ รู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เข้าไปเกี่ยวข้องไม่มีอะไรดี มีแต่ข้อเสีย ไม่สู้โยนให้กับนักต้มตุ๋นที่โด่งดังสองคนนั้นดีกว่า
“ไม่มีประโยชน์ พิธีกรรมก็ทำแล้ว แม้แต่พระภิกษุสงฆ์ที่ไม่เคยนิมนต์ก็นิมนต์มาแล้ว ไม่มีประโยชน์ ตอนกลางคืนก็ยังคงมีผีมาหลอก หยวนเทียนกังบอกว่าเกิดจากการคิดมากเกินไป สติที่อ่อนแอนำไปสู่การรุกรานของภูตผีปีศาจ พลังของเขามีน้อยเกินไป ไม่สามารถกำจัดได้ บอกให้เสด็จแม่ของข้าไปหาผู้ที่เก่งกว่า อย่างเช่นเจ้า”
เห็นท่าทางกังวลใจของหลี่เฉิงเฉียน อวิ๋นเยี่ยก็ปฏิเสธไม่ลง เขามีวิธีง่ายๆ แค่เอากัญชาต้มให้สองพ่อลูกใช้ ก็จะหลับไปทันที รับประกันว่าจะไม่ฝันอะไรทั้งนั้น แต่คนที่ทำให้พวกเขานอนไม่หลับก็คือบาปกรรมของพวกเขาเอง ถ้ากำจัดปีศาจร้ายในใจไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วก็คงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลถ้าไม่ใช่รูปปั้นเทพเจ้าทั้งสอง
“เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ปีศาจพวกนั้นถูกรัชทายาทกับฝ่าบาทสังหารไปแล้ว ตายไปแล้วก็แค่นั้น วันนี้ก็ฆ่าพวกมันอีก แต่เจ้าต้องไปเชิญแม่ทัพที่มีความสามารถมาสองท่าน แม่ทัพที่ฆ่าคนอย่างโหดเ**้ยม สวมชุดเกราะทั้งตัว ให้พวกเขาคอยเฝ้าประตูให้ฝ่าบาท ที่เหลือข้าจัดการเอง เรื่องเล็กน้อย”
ในเมื่อสู้ก็ตายไม่สู้ก็ตาย ทำไมไม่ยอมรับมันอย่างมีความสุข หนังสือประวัติศาสตร์ก็บอกไว้อย่างชัดเจนว่าหลี่ซื่อหมินต้องมีรูปปั้นเทพเจ้ายืนเฝ้าอยู่หน้าประตูถึงจะนอนหลับไม่ใช่เหรอ
หลี่เฉิงเฉียนถูมือด้วยความดีใจ และพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องมีวิธี เจ้าไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง เจ้าคิดว่าจะหาใครสองคนมายืนเฝ้าประตูให้เสด็จพ่อดี”
“ยังจะต้องคิดอีกเหรอ อวี้ฉือ กั๋วกงของฝ่าบาททั้งสองท่าน เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ให้พวกเขาสวมชุดเกราะ อย่าลืมถือดาบ ง่ายๆ คือพวกเขาอยู่ในสนามรบแต่งกายเช่นไร คืนนี้ก็ต้องแต่งเช่นนั้น
วันก่อนฝ่าบาทมาทานข้าวที่บ้านข้า แต่ทำไมถึงไม่พูดเรื่องนี้กับข้า”
พูดอย่างผ่อนคลาย แต่ตอนนี้ถ้าอวิ๋นเยี่ยตัดสินใจไม่สั่งสอนอาจารย์กับศิษย์ที่ผลักเขาลงไปในหลุมไฟคู่นั้น มันคงยากที่จะล้างความเกลียดชังของเขาได้