[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้อย] ตอนที่ 48 การแสดงของหยวนเทียนกัง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เมื่ออวิ๋นเยี่ยเดินเข้าไปในประตูจูเชวี่ยฟ้าก็มืดแล้ว กลางวันของฤดูหนาวมักจะสั้น ลมพัดมาจากทางเหนือ กระทบกับยอดไม้เกิดเสียงครวญคราง ลอยอยู่เหนือพระราชวังไม่ไปไหน

 

 

ขันทีและสาวใช้ในวังต่างก็พากันวิ่งเหยาะๆ ในสายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกที่ไม่สามารถปกปิดได้

 

 

อวิ๋นเยี่ยมองไปรอบๆ แล้วพยักหน้า นี่เป็นสถานที่ที่ดีในการถ่ายทำหนังผี สภาพแวดล้อมน่ากลัวพอสมควร บวกกับสีหน้าท่าทางพวกขันทีและสาวใช้ในวัง ความกดอากาศลดต่ำลงทันที อยู่ในสถานที่เช่นนี้นานๆ ไม่แปลกที่จะเป็นบ้า

 

 

ประตูเมืองด้านหลังปิดลงพร้อมกับเสียงโครมครามอีกครั้ง ทันใดนั้นภายในประตูเมืองก็มืดลงเรื่อยๆ ราวกับปากอันใหญ่โตที่พร้อมจะงับคนได้ทุกเมื่อ ไม่รู้ว่าอู๋เสอโผล่มาจากไหน ยืนอยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าชินกับพฤติกรรมมาๆ หายๆ ของเขาอยู่แล้ว คงจะตกใจจนล้มป่วยไปแล้ว

 

 

“ครั้งต่อไปช่วยมาแบบมีเสียงเดินหน่อยได้ไหม โผล่มาอยู่ข้างหลังเช่นนี้ คนไม่เป็นอะไรก็คงจะตกใจเจ้าจนล้มป่วย คำโบราณพูดไว้ไม่มีผิด ตกใจคนด้วยกันเอง ตกใจแทบตาย เจ้าโผล่มาครั้งหน้าก็ช่วยมีเสียงเดินหน่อย ไม่เช่นนั้นคนดีๆ อยู่ก็คงตกใจเจ้าจนล้มป่วยไป”

 

 

อู๋เสอหัวเราะและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านอวิ๋นเยี่ยโหวเป็นถึงศิษย์ของเทพเจ้า ก็กลัวผีเหมือนกันหรือขอรับ”

 

 

“ในทางตรงกันข้าม ข้ากลัวคนมากกว่า เรื่องของผีสางอยู่ที่ความเชื่อ ข้าเคยเห็นแต่คนหลอกคน ไม่เคยเห็นผีหลอกคน ท่านอาจารย์เคยบอกว่า ไม่เชื่อแล้วก็ไม่ลบลู่ และแน่นอนว่าท่านอาจารย์ก็เคยพูด เห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีอะไรน่ากลัว”

 

 

ทั้งสองคนพูดคุยกันและเดินเข้ามายังพระราชฐานชั้นใน ในนี้ก็ใหญ่โตกว้างขวางเช่นเดียวกัน ใช้เวลาธูปหนึ่งดอกในการเดินมาถึงริมทะเลสาบ ไม่รู้ว่าใครมาปลูกดอกบัวไว้เต็มทะเลสาบ ใบไม้แห้งราวกับหมวกที่ปกคลุมอยู่บนกิ่งไม้ พอลมพัดก็ส่งเสียงอันน่ากลัว ราวกับเสียงคนเดินไปมา

 

 

ยืนอยู่ที่ริมทะเลสาบ ยื่นมือไปดึงดอกบัวแห้งมาเขย่า เมล็ดบัวที่อยู่ข้างในก็ส่งเสียงดังไม่หยุด ราวกับเสียงของเล่นที่ใส่เม็ดทรายขนาดเล็ก

 

 

อวิ๋นเยี่ยเดินไปทางทิศตะวันตก อู๋เสอไม่เข้าใจ ฮ่องเต้อยู่ทางทิศเหนือ หยวนเทียนกังก็กำลังคอยเฝ้าดูความปลอดภัยอยู่ ทำภารกิจที่สำคัญที่สุดในค่ำคืนนี้ ไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะเดินไปทางทิศตะวันตกทำไม คิดว่าน่าจะมีอะไรพิเศษ ก็เลยเดินตามเขาไป

 

 

ไม่ได้กินข้าวเย็น ขี่ม้ามาตลอดทาง ไม่รู้ว่าจะไปหาของกินที่ไหน อวิ๋นเยี่ยก็จะเดินไปทางทิศตะวันตก ไม่ใช่เพราะอะไร ก็เพราะว่าห้องครัวของพระราชวังอยู่ทางทิศตะวันตก

 

 

ไม่เลวเลยทีเดียว แม่ครัวของตระกูลอวิ๋นตอนนี้เป็นแม่ครัวใหญ่ในวัง เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามา นางก็ยิ้มจนตาหรี่ ดูเหมือนจะมีชีวิตในวังที่ดี ร่างกายก็ดูมีน้ำมีนวลขึ้น เดินสองก้าวทั่วร่างกายก็สั่นเทิ้มไปด้วยไขมัน

 

 

“ฮวาเหนียง ข้าขอไก่หนึ่งตัว เอาแบบย่าง มีแบบพร้อมกินเลยก็ดี หิวจะตายอยู่แล้ว รีบหน่อย”

 

 

ฮวาเหนียงรู้ว่าท่านโหวเป็นคนไม่ชอบหิว หิวก็ต้องได้กินเลย ไม่เช่นนั้นจะโมโหหิว นางรีบหยิบไก่ตัวอ้วนที่ย่างอยู่ในเตาไฟออกมา ห่อด้วยใบบัวแล้วยื่นให้อวิ๋นเยี่ย

 

 

รับไก่ย่างมาจากฮวาเหนียง เอาฝักบัวในมือยื่นให้นางแล้วพูดว่า “ไปเด็ดฝักบัวมาเพิ่มอีกสักหน่อย เอาเม็ดบัวออกมาทำโจ๊ก ใส่เห็ดหูหนูขาว ใส่น้ำตาลนิดหน่อย แค่ให้มีรสชาติบ้างก็พอ”

 

 

พูดเสร็จก็ดึงน่องไก่มาแทะ อู๋เสอทนรอให้เขากินเสร็จไม่ได้จริงๆ คว้าอวิ๋นเยี่ยเดินไปทางตำหนักไท่จี๋อย่างรวดเร็ว

 

 

ในตำหนักไท่จี๋มีกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย จุดไม้จันทร์หอมไปทุกแห่งราวกับไม่ได้ใช้เงินซื้อ กระจกแปดเหลี่ยมแขวนอยู่ที่ปากประตู อวิ๋นเยี่ยดึกออกมาส่อง ท่าทางน่าเกลียด ในปากยังคาบน่องไก่อยู่น่องหนึ่ง ลองชั่งน้ำหนักดู คงไม่ต้องพูดอะไร มันมีทองฝังอยู่ข้างใน แขวนไว้ที่ประตูสิ้นเปลืองเกินไป เก็บใส่ในแขนเสื้อ เอากลับไปเป็นสินสอดให้รุ่นเหนียง ของขวัญที่หยวนเทียนกังให้อี้เหนียงครั้งที่แล้วคืออักษรดูดวงแปดตัว เอาเปรียบกันมากไปแล้ว

 

 

หลี่ซื่อหมินกับหลี่หยวนสองพ่อลูกนั่งอยู่ตรงกลางตำหนักใหญ่ หยวนเทียนกังที่แต่งตัวเหมือนนักบวชลัทธิเต๋ากำลังถือดาบไม้ท้อเดินวนไปรอบๆ ดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เขาเหยียบโดนจุดแปดแฉก เหยียบโดนทุกจุดอย่างไม่ผิดพลาด ดูจากเม็ดเหงื่อบนหน้าผากของเขา น่าจะเดินได้สักพักแล้วด้วย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงยืนหยัดได้ถึงเพียงนี้ วงเล็กขนาดนี้ อวิ๋นเยี่ยเดินวนสอบรอบก็มึนหัวแล้ว

 

 

หลี่ไท่และหลี่เค่อยืนถือกระถางธูปอยู่ข้างประตูด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง มองไปที่เสด็จพ่อและท่านปู่ของตัวเองที่อยู่ตรงกลางด้วยความกังวล

 

 

ขี่ม้าเป็นงานหนัก โดยเฉพาะตอนที่หลี่เฉิงเฉียนบอกว่ารถม้าช้าเกินไป ไม่ทันเวลา เอวของเขาก็แทบจะไม่มีแรงอยู่แล้ว

 

 

ตำหนักใหญ่ที่ว่างเปล่า นอกจากเก้าอี้มังกรอันทรงเกียรติ แม้แต่เก้าอี้ธรรมดาก็ไม่มีสักอัน เบาะรองนั่งสำหรับพวกขุนนางตอนที่มาปรึกษาหารือกันเรื่องบ้านเมืองก็หายไปหมด ไม่มีทางเลือก อวิ๋นเยี่ยนั่งขัดสมาธิบนพื้น แทะไก่ของเขาต่อไป แถมยังถือโอกาสดูหยวนเทียนกังแสดงละครลิงอีกด้วย

 

 

ตั้งแต่เกิดเรื่องทะลุมิติ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่เชื่อในเรื่องแปลกๆ ของเทพเจ้าอีกต่อไป พูดอีกอย่างหนึ่งคือเขาต้องการแสดงหลักฐานการมีตัวตนอยู่ของเขาด้วยการดูหมิ่นเทพเจ้า

 

 

ชื่อที่โด่งดังของหยวนเทียนกังกับหลี่ฉุนเฟิงถือว่าเป็นตำนานหลายยุคหลายสมัย หนังสือเรื่อง ‘ภาพดันหลัง’ กับ ‘กระดูกทำนายดวงชะตา’ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรมาเทียบได้ แต่หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยให้หยวนเทียนกังดูดวงให้ หลังจากที่หยวนเทียนกังบอกว่าเขาจะมีชีวิตแค่สิบหกปี เขาก็ไม่ศรัทธาในหยวนเทียนกังอีกต่อไป ทั้งๆ ที่มีชีวิตมาตั้งสามสิบกว่าปี เจ้าบอกว่าสิบหกปี แล้วยังบอกว่าตอนเด็กมีชีวิตลำบาก ถูกกำหนดให้ต้องเป็นเด็กเร่ร่อน เหลวไหลทั้งเพ ตอนเกิดมาพ่อแม่ของข้าก็มี เป็นลูกชายคนแรกของครอบครัว พวกพี่สาวต่างก็รักและเอ็นดู เติบโตมาอย่างมีความสุข ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่เคยเกิดภัยพิบัติใหญ่อะไร พอมาถึงที่นี่กลับกลายเป็นเด็กเร่ร่อนไปได้อย่างไร

 

 

แต่งเรื่องของอวิ๋นเยี่ยขึ้นมาเอง ยังจะมีหน้ามาทำท่าทางจริงจัง

 

 

หลี่ไท่สูดดมกลิ่น เขาแน่ใจว่าเขาได้กลิ่นไก่ย่าง จมูกของเขาไว สามารถได้กลิ่นแปลกๆ ท่ามกลางกลิ่นไม้จันทร์หอมที่อบอวล นี่เป็นความสามารถที่เขาภาคภูมิใจมาตลอด

 

 

เงยหน้าขึ้นไปเห็นท่านปู่ เสด็จพ่อหลับตาสวดมนต์ เสด็จแม่คุกเข่าอธิษฐานใต้รูปเหลาซีที่กำลังขี่วัว ไม่มีใครสนใจเขา เขาหันไปมองด้านหลังอย่างเงียบๆ แค่หันไปมองเท่านั้น เขาก็ถึงกับอึ้งไปเลย

 

 

เห็นอวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่ข้างหลังห่างไปไม่ไกล กำลังถือไก่ย่างแทะอย่างดุเดือด ท่าทางชั่วร้าย ไม่มีมารยาทเลยสักนิด เห็นคนอื่นกำลังแทะไก่ ท้องของหลี่ไท่ก็สั่นร้อง เขาจำได้ว่าข้าวมื้อสุดท้ายของเขาคือข้าวมื้อเช้า

 

 

ไม่รู้ว่าทำไม เขาเห็นอวิ๋นเยี่ยกำลังแทะไก่ย่าง ความกังวลในใจของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไอ้เจ้านี่ต้องมีวิธีกำจัดผีในวังได้แน่ๆ

 

 

ใช้นิ้วเท้าสะกิดหลี่เค่อเบาๆ หลี่เค่อเหลือบหันมามองเขาอย่างไม่พอใจ บอกว่านี่เป็นพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ อย่าสร้างปัญหา แต่กลับเห็นว่าหลี่ไท่ใช้ปากชี้ไปทางด้านหลังอย่างลึกลัล

 

 

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากทำลายพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ของเสด็จพ่อกับท่านปู่ แต่เขาก็ต่อต้านความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ เมื่อหันหลังไปมอง ก็เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังจัดการกับไก่ย่าง แล้วยังฉีกตูดไก่ออกมาทิ้งไว้ข้างหลังเสาอย่างเงียบๆ

 

 

เขากลั้นหัวเราะและขยิบตาให้หลี่ไท่ พี่น้องทั้งสองก็ก้าวถอยหลังออกมาพร้อมกัน

 

 

หยวนเทียนกังเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ สะบัดเสื้อคลุมแขนยาวให้กระพือ ก้าวเดินจุดแปดแฉกเปลี่ยนเป็นกลุ่มดาวเหนือทั้งเจ็ด ยืนตะโกนอยู่ที่บัลลังก์ของฮ่องเต้ กระดาษสีเหลืองจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกจากแขนเสื้อ แค่ฟันดาบก็มีกระดาษลอยขึ้นไปด้านบน ลอยผ่านตะเกียงเจ็ดดาว กระดาษแผ่นนั้นก็กลายเป็นลูกบอลไฟในทันที ภายใต้แขนเสื้อคลุมของเขา กระดาษสีเหลืองที่กระจัดกระจายไม่ตกลงที่พื้นสักแผ่น ลูกบอลไฟในมือก็บินล่องลอยไปรอบๆ ทันใดนั้นเศษกระดาษที่ลอยอยู่ก็สว่างขึ้นมาทันที ดาบของเขายังคงโบกสะบัด ฟันไปที่ลูกบอลไฟเป็นครั้งคราว ลูกบอลไฟที่โบยบินค่อยๆ รวมตัวกันเป็นลูกบอลไฟขนาดใหญ่ ท่ามกลางแสงเทียนที่สว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์สีแดง แต่ดวงอาทิตย์สีแดงดวงนี้มีสีเขียวอ่อนๆ ถ้าบอกว่าไม่มีผงกำมะถันและธาตุฟอสฟอรัสอยู่บนกระดาษ ตีให้ตายอวิ๋นเยี่ยก็ไม่เชื่อ

 

 

อวิ๋นเยี่ยตกใจจนลืมแทะไก่ย่างในมือ คงต้องนับถือหยวนเทียนกังจริงๆ ต้องทำถึงเช่นนี้เพื่อจะหลอกลวงคนอื่น การแสดงเช่นนี้ ถ้าเอาออกไปแสดงที่ตลาดก็คงจะหาเงินได้ไม่น้อย ตอนนี้กลับกลายมาเป็นการปลอบประโลมจิตใจของพ่อลูกตระกูลหลี่ ช่างน่าเสียดาย แต่ว่า เขาคงจะได้รับค่าตอบแทนไม่น้อยอย่างแน่นอน ไปแสดงที่ตลาดก็คงเทียบไม่ได้อยู่ดี

 

 

ลูกบอลไฟค่อยๆ ดับลง การแสดงของหยวนเทียนกังก็เสร็จสิ้น ถือดาบด้วยมือซ้าย มือขวากวักเรียกซู่ฉินเก็บดาบ ดาบไม้ท้อก็กลับคืนสู่ที่เก็บดาบบนหลังของเขาอย่างปลอดภัย

 

 

“ฝ่าบาท ไท่ซั่งหวง พลังของกระหม่อมมีไม่มาก ทำได้แค่เพียงเท่านี้ ที่เหลือขึ้นอยู่กับผู้มีความสามารถท่านอื่นแล้ว” หยวนเทียนกังเหงื่อแตกเต็มหลัง เสื้อคลุมตัวหนาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ยืนหอบอยู่ในตำหนักใหญ่ที่หนาวเย็น ราวกับถูกนึ่งในหม้อนึ่ง ใครกล้าพูดว่าหยวนเทียนกังไม่ตั้งใจแสดง แสดงว่าเขากำลังพูดโดยไม่มีมโนธรรม

 

 

พยายามส่วนพยายาม ผลลัพธ์ส่วนผลลัพธ์ บางสิ่งบนโลกใบนี้ใช่ว่าเมื่อพยายามแล้วจะเกิดผลลัพธ์ที่ดี นี่เป็นหลักการที่เที่ยงธรรม ใครก็ตามที่มีสติปัญญา ก็ล้วนแต่เห็นด้วยกับหลักการนี้ หยวนเทียนกังหมดแรง ส่วนที่เหลืออยู่นอกเหนือความสามารถของเขา ไม่เกี่ยวข้องกับเขา ตอนนี้เขาสามารถออกไปได้แล้ว

 

 

คืนนี้หลี่ซื่อหมินกับหลี่หยวนจะนอนหลับไหมเขาไม่รู้ แต่หยวนเทียนกังนอนหลับฝันดีแน่นอน

 

 

จั่งซุนลุกขึ้นจากพื้นด้วยความยากลำบาก ถูหัวเข่าที่เหน็บชา โค้งคำนับหยวนเทียนกังแล้วพูดว่า “ลำบากท่านแล้ว เราก็ทำตามโชคชะตา ถ้ามันได้ผลก็คงจะดีที่สุด ถ้าไม่ได้ผลก็คงต้องโทษพวกภูตผีปีศาจ ท่านไปพักผ่อนที่ตำหนักเล็กก่อน พรุ่งนี้ค่อยออกจากวัง”

 

 

“กระหม่อมคงรับพระราชทานรางวัลขอบคุณของฮองเฮาไว้ไม่ได้ วันนี้กระหม่อมใช้พลังมากเกินไป ต้องฟื้นฟูพลังในชั่วข้ามคืน ฮองเฮาได้โปรดให้ขันทีไปส่งกระหม่อมออกจากวังเถิด”

 

 

หยวนเทียนกังลูบเคราที่เปียกชื้นของเขาอย่างหมดแรง อวิ๋นเยี่ยกล้าพนันเลยว่าเมื่อหยวนเทียนกังกลับอารามชิงหนิวของตัวเองไป เขาจะล้มป่วยในทันที แถมยังจะป่วยหนัก แบบที่เจอใครไม่ได้ ออกนอกบ้านไม่ได้ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ยิ่งไปกว่านั้นคงไม่สามารถเข้ามาในพระราชวังได้อีก

 

 

แล้วจะหายป่วยเมื่อไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าหลี่ซื่อหมินสองพ่อลูกนอนหลับสนิทเมื่อไหร่

 

 

หยวนเทียนกังเดินตามขันทีออกจากพระราชวังไปอย่างเหนื่อยล้า เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวและถอนหายใจ เมื่อเขากำลังจะเดินออกไป อวิ๋นเยี่ยคาบปีกไก่ไว้ในปากเดินออกไปขวางทางเขา ยื่นมือออกไปหาเขาด้วยความหงุดหงิด