ฉินเจิงกระโดดข้ามกำแพงเข้ามา เพิ่งทรงตัวให้มั่นก็เห็นพระชายาอิงชินอ๋องยืนอยู่กลางลาน
“ท่านแม่” เขามองแวบหนึ่งแล้วส่งเสียงเรียก
พระชายาอิงชินอ๋องรีบเดินเข้ามาหา พินิจมองเขา เขาสวมอาภรณ์สีดำตลอดร่าง ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ได้กลิ่นคาวเลือดคลุ้งออกมา นางมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “เจ้าบาดเจ็บอีกแล้วหรือ”
“เลือดของผู้อื่น” ฉินเจิงยกมือปัด
“จริงรึ” พระชายาอิงชินอ๋องถามย้ำ
ฉินเจิงตอบเพียง “อืม”
“รีบเข้าไปในห้อง” พระชายาอิงชินอ๋องเบี่ยงกายออก สื่อให้เขารีบเข้าไปในห้อง
ฉินเจิงเดินเข้าห้อง มาถึงห้องรับรองก็วางของในมือบนโต๊ะ จากนั้นก็เดินตรงไปยังห้องชั้นใน
“นี่คืออะไร” พระชายาอิงชินอ๋องมองของที่เขาโยนทิ้งไว้บนโต๊ะ ของสิ่งนั้นเปื้อนคราบเลือดเป็นรอยด่าง นางจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เอกสารราชการ” ฉินเจิงพูดพลางก็เดินเข้าข้างใน
พระชายาอิงชินอ๋องทราบดีว่าเขาจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจึงรีบสั่งงานอวี้จั๋วกับหลินชีที่ยืนอยู่ข้างนอก “เร็ว ไปต้มน้ำอุ่นมาให้เขารีบอาบน้ำอาบท่า”
“น้ำอุ่นมีอยู่แล้วขอรับ จะไปยกมาประเดี๋ยวนี้” หลินชีกับอวี้จั๋วรับคำ ก่อนรีบวิ่งออกไปทันที
ไม่นานทั้งสองก็ยกถังน้ำเข้ามาวางหลังฉากกั้นในห้อง
“นำไปเผาทิ้ง” ฉินเจิงฉีกอาภรณ์ออกแล้วโยนให้อวี้จั๋ว
อวี้จั๋วรีบพยักหน้า อุ้มอาภรณ์เปื้อนเลือดออกจากห้องทันที
“เจ้าเห็นหรือไม่ เขาไม่ได้บาดเจ็บจริงหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องเห็นอวี้จั๋วออกมาก็ยกมือรั้งไว้ก่อน
“คล้ายว่ามีแผลจากกระบี่ฟันที่หลังเล็กน้อย แต่เป็นแค่แผลเล็กๆ ไม่เห็นแผลใหญ่” อวี้จั๋วกระซิบตอบ
พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็โล่งอก ยกมือไล่เขา “เขาให้เจ้านำไปเผาทิ้ง อย่านำออกไปนอกเรือนเลย ไปที่ห้องครัวเล็ก เคลื่อนไหวเงียบเชียบหน่อย เผาทิ้งให้เกลี้ยง”
“ทราบแล้วขอรับ” อวี้จั๋วออกไปนอกห้อง
พระชายาอิงชินอ๋องเอื้อมมือไปหยิบเอกสารราชการ แต่ยื่นมือออกไปได้ครึ่งหนึ่งก็ชักกลับมา นั่งรอฉินเจิงออกมาจากห้องบนเก้าอี้แทน
เวลาสองถ้วยชาผ่านไป ฉินเจิงอาบน้ำเสร็จก็เปลี่ยนมาสวมอาภรณ์สะอาดเอี่ยมอ่อง จากนั้นก็เดินออกมาจากห้องชั้นใน
“สองวันนี้เจ้าไปไหนมา” พระชายาอิงชินอ๋องเห็นรอยคล้ำใต้ตาเขา รินน้ำให้แก้วหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงทุ้ม
“ไปภูเขาลับมา” ฉินเจิงนั่งลง ยกน้ำขึ้นดื่ม ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าไป…ภูเขาลับมา ภูเขาลับของสายลับราชสำนักรึ” พระชายาอิงชินอ๋องสะดุ้งตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง
ฉินเจิงดื่มน้ำอีกอึกหนึ่ง แล้วตอบ “อืม” รับ
“เจ้าไปภูเขาลูกไหน ไปทำอะไรที่นั่น” พระชายาอิงชินอ๋องจ้องเขาเขม็งแล้วซักถาม
“เขาเทียนหลิง” ฉินเจิงดื่มน้ำรวดเดียวจนหมดแก้ว ก่อนรินน้ำให้ตัวเองอีกแก้วหนึ่ง “ไปดูลาดเลา”
“ที่นั่นไหนเลยจะเป็นสถานที่ที่ไปตามใจชอบได้” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขา “เจ้าไปดูลาดเลา ดูอะไร ดูปรมาจารย์สายลับรึ”
“ดูว่ายังมีชีวิตอยู่กี่คน ตายไปแล้วกี่คน” ฉินเจิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“เจ้าพูดกับข้าให้รู้เรื่อง ไปทำอะไรมากันแน่ ฝ่าบาททรงทราบเรื่องที่เจ้าไปภูเขาลับหรือไม่ นับแต่อดีตเป็นต้นมา ลูกหลานราชนิกุลหากไม่มีพระบัญชาก็ไปภูเขาลับไม่ได้” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขา ทันใดนั้นก็เริ่มไม่สบอารมณ์
“ข้าก็กำลังพูดกับท่านดีๆ ว่าไปดูลาดเลา” ฉินเจิงดื่มน้ำจนหมดแก้วอีกครั้ง เอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนส่ายหน้ากล่าว “เสด็จอามิทราบว่าข้าไปภูเขาลับมา” หยุดชั่วครู่แล้วแค่นหัวเราะเยาะ “ตอนนี้ภูเขาลับไม่ฟังพระบัญชาแล้ว พระบัญชาของพระองค์ยังผูกมัดใครได้อีก”
“ไม่มีพระบัญชา แล้วเจ้าเข้าไปในภูเขาลับได้อย่างไร” หัวใจของพระชายาอิงชินอ๋องเต้นตึกตักระรัว
“ไปตามเอกสารราชการสายลับของภูเขาลับในราชสุสานผสมกับแผนที่” ฉินเจิงตอบ
“เจ้าเข้าไปในราชสุสานได้อย่างไร หากไม่มีพระบัญชา ราชสุสานใช่ว่าจะเข้าไปได้ง่ายๆ” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขา
“เสด็จอาทรงมอบป้ายคำสั่งให้ข้า” ฉินเจิงตอบ
“ไฉนฝ่าบาทถึงทรงมอบป้ายคำสั่งเข้าราชสุสานให้เจ้า เท่าที่ข้าทราบ การเข้าไปในราชสุสานจำต้องมีป้ายคำสั่งลับของสายลับราชสำนัก นั่นไม่ใช่ป้ายคำสั่งธรรมดา ในราชสุสานมีองครักษ์เงาอยู่กลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มที่อดีตฮ่องเต้ทรงเหลือไว้ให้ ส่งมอบให้แค่ฝ่าบาทเท่านั้น เป็นเครื่องแสดงการสืบทอดราชสำนักหนานฉิน ถึงพ่อเจ้าเป็นทายาทแท้ๆ ก็ไม่มีสิทธิ์” พระชายาอิงชินอ๋องยิ่งไม่เข้าใจ
“สถานการณ์ตอนนี้เลวร้ายมาก ถึงขั้นคุกคามต่อบ้านเมืองหนานฉินแล้ว ฉินอวี้ถูกกักอยู่ที่เมืองหลินอัน หากพระองค์อยากปกป้องรากฐานบรรพบุรุษหนานฉิน ไม่มอบให้ข้าแล้วจะให้ผู้ใด” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “ใครอยากได้ป้ายคำสั่งลับนั่นกัน ตอนนี้ใช้เสร็จก็คืนให้พระองค์แล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าได้ความคืบหน้าจากเขาเทียนหลิงบ้างหรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องโล่งอก
“ปลิดชีพผู้หนึ่งกลับมา ถือว่าเป็นความคืบหน้าหรือไม่” ฉินเจิงเลิกคิ้ว
“พูดดีๆ สองวันนี้เจ้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าเป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ยังมีหน้ามาพูดจากวนประสาทให้ข้าตกใจอีก” พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็ตีเขา
ฉินเจิงรับแรงฝ่ามือจากพระชายาอิงชินอ๋องแต่โดยดี ก่อนกล่าวด้วยความเฉยเมย “ปรมาจารย์ที่เขาเทียนหลิงมีอยู่เพียงคนเดียว นอกนั้นไม่อยู่ที่นั่น มิฉะนั้นข้าอาจต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่นแล้ว มิน่าภูเขาลับถึงกล้าสร้างเรื่องมากมาย ที่แท้ก็มีความสามารถมาก ตลอดเวลาที่เจริญรุ่งเรืองมาไม่ต่างอะไรกับแดนผีเลย ข้างในมีแต่พวกชั่วร้าย ทุกคนเหมือนปีศาจร้าย มีวิทยายุทธ์สูงมาก”
“เมื่อครู่เจ้าเปื้อนเลือดกลับมา ถูกจับได้ว่าบุกไปที่ภูเขาลับรึ” พระชายาอิงชินอ๋องทอดถอนใจ
“ดังนั้นข้าจึงสังหารปรมาจารย์ที่ดูแลเขาเทียนหลิง แล้ววางเพลิงเผาที่นั่นเสีย” ฉินเจิงหัวเราะเสียงเย็น
พระชายาอิงชินอ๋องตกใจ
“ท่านแม่ รินน้ำให้ข้าอีกแก้ว” ฉินเจิงบอกอย่างเกียจคร้าน
“เจ้า…ทำลายเขาเทียนหลิงไปแล้วรึ” พระชายาอิงชินอ๋องยกกาน้ำชามารินน้ำให้เขาอีกแก้วหนึ่ง
“ทำลายไปแล้ว” ฉินเจิงรับน้ำมา ครั้งนี้ดื่มอย่างเชื่องช้า
“หวาเอ๋อร์อยู่ที่เขาไร้นามตั้งแปดปี ต้องวางแผนจนสมบูรณ์แบบกว่าจะทำลายเขาไร้นามได้ เจ้า…เจ้ากลับบุกเข้าไปโดยตรง แค่สองวันก็ทำลายเขาเทียนหลิงได้แล้ว ช่างกล้าหาญดีเดือดนัก เจ้าไม่ฉุกคิดหน่อยหรือว่าหากเป็นอะไรขึ้นมา แม่จะมีชีวิตต่อไปอย่างไร” พระชายาอิงชินอ๋องใจกระตุกวูบ เนิ่นนานกว่าจะหาเสียงกลับมาได้
ได้ยินพระชายาอิงชินอ๋องเอ่ยถึงเซี่ยฟางหวา ฉินเจิงก็นิ่งค้างไป
“มิน่าเจ้าถึงบอกว่าเกือบทิ้งชีวิตไว้ที่นั่นแล้ว นั่นเป็นภูเขาลับลูกหนึ่งเชียวนะ ถึงแม้มีปรมาจารย์ท่านหนึ่งอยู่คนเดียว แต่ก็เป็นภูเขาลับทั้งลูก ไหนเลยจะทำลายได้ง่ายปานนั้น เจ้าเด็กบ้านี่ ไฉนเจ้าถึงได้กล้าหาญเช่นนี้ หากข้ารู้เร็วกว่านี้ ข้าต้อง…ต้อง…” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
“ต้องไม่ปล่อยข้าไป” ฉินเจิงวางแก้วลง ลดน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น “ข้ากล้าลงมือก็ย่อมมั่นใจว่าจะรอดชีวิตกลับมา ไหนเลยจะทอดทิ้งไม่แยแสท่านแม่ อีกอย่างข้ายังใช้ชีวิตไม่พอเลย”
“เจ้าเด็กบ้าคนนี้ คิดแต่จะทำให้ข้าตกใจ” พระชายาอิงชินอ๋องน้ำตาไหล
“อย่าร้องไห้เลย หากท่านพ่อมาเห็นไม่รู้ว่าจะปวดใจเพียงใด น้ำตาของท่านเสมือนทองคำ ไม่ควรไหลออกมาง่ายๆ” ฉินเจิงขยับเปลือกตา ก่อนยกมือเช็ดน้ำตาให้นาง
“เจ้าเด็กบ้า” พระชายาอิงชินอ๋องสะอื้นหากแต่ยิ้มออกมา ปัดมือเขาออก “เขาเทียนหลิงแม้ไม่ได้อยู่ใกล้เหมือนเขาไร้นาม แต่ก็ไม่ได้ไกลเช่นกัน เจ้าทั้งไปและกลับมาได้ภายในสองวันอย่างไร”
“ขี่ม้าที่เร็วที่สุด เลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุด ไปแล้วกลับมา สองวันสองคืนก็พอแล้ว” ฉินเจิงดึงมือกลับมา “ในเวลาแบบนี้ต้องจู่โจมฉับพลันขณะที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว”
“ในเมื่อเขาเทียนหลิงถูกเจ้าทำลายไปแล้ว แล้วพวกคนปีศาจนั่นเล่า สังหารไปหมดแล้วหรือ”
พระชายาอิงชินอ๋องถาม
“พวกที่หนีรอดไปได้มีน้อยมาก” ฉินเจิงตอบ
“ยังมีพวกที่หนีรอดไปได้อีกรึ เจ้าถูกเปิดโปงฐานะหรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องร้อนใจขึ้นมาทันที “อย่าลืมว่ายังมีเขาตี้เฟิงอีกลูกหนึ่ง”
“ถูกเปิดโปงหรือไม่แล้วอย่างไร สำหรับราชวงศ์ ราชนิกุล รวมถึงบ้านเมืองหนานฉิน ตอนนี้ต่างเหมือนถูกดาบจ่อลำคออยู่แล้ว” ฉินเจิงไม่ยี่หระ
พระชายาอิงชินอ๋องคิดแล้วก็เห็นด้วย ก่อนยกมือชี้ไปที่โต๊ะ “นี่คืออะไร”
“เอกสารราชการที่ข้าขโมยมาจากศาลบรรพชนปรมาจารย์ที่เขาเทียนหลิง” ฉินเจิงชำเลืองมองด้วยความรังเกียจ “ข้าก็อยากรู้นักว่าสามร้อยปีมานี้ วาจาที่พวกเขาให้ไว้มีน้ำหนักมากน้อยเท่าไรกันแน่ ตอนนี้เขาเทียนหลิงถูกข้าทำลายไปแล้ว ขั้นต่อไปพวกเขาจะทำเช่นไรต่อ”
“ตอนนี้รัชทายาทติดโรคห่าที่เมืองหลินอัน สมุนไพรดำม่วงซึ่งเป็นสิ่งที่รักษาโรคห่าได้กลับถูกคนรีดไถไปจนเกลี้ยงก่อนแล้ว รัศมีห้าร้อยลี้จากเมืองหลินอันไม่มีสมุนไพรดำม่วง คลังยาหลวงในวังก็ไม่รู้ว่าถูกขโมยไปตั้งแต่เมื่อไร ร้านขายยาทุกร้านในเมืองก็ถูกบังคับส่งมอบให้เมื่อสองวันก่อน ตอนนี้ต้องดูว่าจวนขุนนางในเมืองมีสำรองไว้หรือไม่ เกรงว่านอกเมืองคงไม่เหลืออยู่แล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว “ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เมืองหลินอันแพร่มา เมืองหลวงก็วุ่นวายอย่างยิ่ง หากรัชทายาทเป็นอะไรไป บ้านเมืองนี้คง…เฮ้อ…”
“หากเขาเป็นอะไรไป ข้าก็ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ไร้ประโยชน์” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ
“จริงด้วย ฉินอวี้เคยร่ายคำสาปใจเดียวกับหวาเอ๋อร์ แต่เจ้าขวางเอาไว้แทน หากเขาตายไป เจ้าก็ต้องตายไปด้วยใช่หรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องมองฉินเจิง ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้
“ใครจะรู้เล่า อาจเป็นเช่นนั้นกระมัง” ฉินเจิงแค่นหัวเราะอีกครั้ง