บทที่ 666 ถูกดักกลางทาง

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

เมื่อลงจากรถและเข้ามาที่ต้นไม้ใหญ่ขวางถนนที่อยู่ไม่ไกล ดวงตาสีเข้มของเย่เทียนหรี่ลงเล็กน้อย และเขามองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง

จู่ๆ ก็มีแสงสว่างวาบขึ้นในใจ เย่เทียนพึมพำในใจว่า “คงไม่ใช่กลอุบายของสองพี่น้องเย่ย่งเล่อนะ?”

แต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว เย่เทียนก็รู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้

ท้ายที่สุดแล้ว จากความสนิทสนมที่คุณย่าตระกูลเย่แสดงให้เห็นนั้น ต่อให้พี่น้องเย่ย่งเล่ออยากทำอะไรเขา อย่างน้อยก็ต้องเกรงใจคุณย่าตระกูลเย่อยู่บ้าง

เพราะทุกวันนี้เมืองจินเต็มไปด้วยกฎอัยการศึก และถ้าหากเย่ย่งเล่อมีการเคลื่อนไหวที่ใหญ่ขนาดนี้ มันไม่มีทางซ่อนเรื่องนี้ไปจากคุณย่าตระกูลเย่ได้แน่นอน!

ในเมื่อยังคิดไม่ออก เย่เทียนจึงไม่อยากคิดให้มากกว่านี้ อะไรที่จะเกิดมันก็ต้องเกิด แล้วจะเสียเซลล์สมองไปทำไม?

“คุณชายเย่ บางทีมันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้นะครับ! ผมจะย้ายต้นไม้ออกตอนนี้เลยครับ!”

หยางซิงไห่ที่ลงมาก็สังเกตเห็นบริเวณโดยรอบด้วย เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เขาก็เดินเข้าไปและเตรียมย้ายต้นไม้ออกไป

บรึ้น บรึ้น!!

แต่ในขณะนั้น เสียงดังสนั่นขึ้นจากด้านบน ทั้งสองก็รีบเงยหน้าขึ้นมองและเห็นรถจักรยานยนต์วิบากหลายคันวิ่งลงมาจากภูเขาทั้งสองข้างพร้อมกับไฟหน้าพราวที่ส่องจนปวดตา

บรึ้น บรึ้น!!

ไม่นานหลังจากนั้น รถมอเตอร์ไซค์วิบากที่ขับลงมาจากทั้ง 2 ข้างของภูเขาก็กระโดดขึ้นไปบนถนนราวกับได้ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี และยังได้ขวางทางเย่เทียนทั้งสองคนไว้จนไม่มีที่ให้ถอย

“พวกแกเป็นใคร?!”

ฉากนี้ทำให้หยางซิงไห่ตื่นตัวในทันที และก้าวออกมายืนอยู่ข้างหน้าเย่เทียนด้วยสัญชาตญาณของเขา

เย่เทียนที่สังเกตรายละเอียดนี้ก็พยักหน้าเบาๆ และรู้สึกผิดเล็กน้อยต่อหยางซิงไห่คนนี้ เพราะเขารู้สึกว่าลูกน้องคนนี้ไม่ได้เลี้ยงให้เสียข้าวสุกจริงๆ!

ไม่ว่าจะยังไง ชายนับสิบคนที่นั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์วิบากไม่ได้สนใจหยางซิงไห่เลยแม้แต่น้อย เนื่องจากพวกเขาสวมหมวกกันน๊อคไว้บนศีรษะ จึงเผยให้เห็นถึงแววตาที่เย็นชาจากดวงตาของพวกเขาเท่านั้น

เย่เทียนรู้สึกเอะใจไม่น้อย และเขารู้ว่าคนเหล่านี้มาที่นี่เพราะเขาแน่นอน

แต่ที่ทำให้เขาไม่เข้าใจก็คือ เขาเพิ่งกลับมาที่เมืองจินเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น แล้วใครกันแน่ที่รู้ทุกการเคลื่อนไหวของเขา แถมยังใช้โอกาสสำคัญแบบนี้ในการลงมืออีกด้วย?

เย่เทียนได้แต่คิดในใจแต่ไม่ได้แสดงออกบนใบหน้าของเขา แต่เมื่อมองไปที่หยางซิงไห่ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขาราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ยิ่งใหญ่ เย่เทียนก็เกิดไอเดียที่น่าขำขันขึ้น

เมื่อนึกถึงจุดนี้ เย่เทียนก็แสร้งแสดงสีหน้าความกลัว “ซิงไห่ นี่ผมเพิ่งกลับมานะ พวกเขาไม่น่าจะมาหาผมด้วย หรือว่าคุณไปมีเรื่องกับใครในช่วงที่ผมไม่อยู่? หรือว่าพวกนี้เป็นศัตรูของคุณอยู่แล้ว?”

หยางซิงไห่ถึงกับตกใจ แต่ต้องยอมรับว่าเย่เทียนไม่ได้พูดผิด เขาเกรี้ยวกราดขึ้นทันทีและตวาดใส่ผู้คนที่ขับรถมอเตอร์ไซค์วิบาก “ใครส่งพวกแกมา? เก่งจริงก็บอกชื่อมาเดี๋ยวนี้!”

บรึ้นนนน บรึ้นนนน!!

แต่กลุ่มมอเตอร์ไซค์วิบากไม่พูดอะไรเลย ได้แต่บิดคันเร่งจนทำให้เสียงดังสนั่นไปทั่วพร้อมกับท่าทีที่พร้อมจะพุ่งเข้ามาหาทั้งสอง

เย่เทียนที่เห็นเช่นนี้ก็ถอยออกไปอย่างไร้ศีลธรรมและแอบยิ้มในใจ อีกทั้งยังแสดงสีหน้าไม่เกี่ยวข้ออะไรกับเรื่องนี้ “ซิงไห่ ในเมื่อพวกมันมาหาคุณ งั้นผมไม่ขอยุ่งด้วยนะ คุณเล่นกับพวกมันตามสบายเลย!”

“หา?!”

หยางซิงไห่เหลือบมองเย่เทียนอย่างประหลาดใจและไม่คิดเลยว่าเย่เทียนจะเลือกที่จะยืนดูเท่านั้น เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อน เย่เทียนไม่เคยกลัวพวกกุ๊ยอยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับฝีมือในตอนนี้!

แต่ถึงอย่างนั้น หยางซิงไห่ก็ยังพยักหน้าอย่างแน่วแน่ “ได้ครับ! คุณชายเย่คอยดูผมจะจัดการกับไอ้พวกกุ๊ยพวกนี้ยังไงนะครับ!”

เขาไม่รู้ว่าเย่เทียนจงใจแกล้งเขาอยู่ แค่กลับคิดว่าเย่เทียนกำลังทดสอบเขาเท่านั้น

และในเวลาเดียวกัน ณ ห้องเพรสซิเดนท์สูทของโรงแรมระดับห้าดาวในเมือง ภาพของเย่เทียนทั้งสองได้แสดงอยู่บนหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ในห้อง แม้แต่เสียงสนทนาของเย่เทียนก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน

ซึ่งตรงหน้าหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่นี้ มีชายหนุ่มสวมแว่นตาขอบดำคนหนึ่งกำลังลิ้มรสไวน์แดงในมืออยู่ และเมื่อเห็นสีหน้าความกลัวของเย่เทียน รอยยิ้มอันได้ใจก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา

แต่ถ้าหากเขารู้ว่าความกลัวบนใบหน้าของเย่เทียนเป็นเพียงการหยอกล้อหยางซิงไห่เท่านั้น เกรงว่าชายสวมแว่นคนนี้คงจะร้องไห้แทนรอยยิ้มบนใบหน้าแน่นอน

ชายใส่แว่นจิบเครื่องดื่มเบาๆ นัยน์ตาลึกล้ำของเขาเป็นประกายความเย็นยะเยือก จากนั้นเขาหยิบเครื่องติดตามที่อยู่ข้างๆ มาแล้วออกคำสั่งอย่างเย็นชา “ได้เวลาแล้ว พวกนายรีบลงมือเลย!”

ทันทีที่ได้รับคำสั่ง ในที่สุดรถจักรยานยนต์สองคันที่บิดคันเร่งรอก็พุ่งออกไปก่อน

บรึ้นนน!

ในวินาทีถัดมา รถจักรยานยนต์สองคันก็เพิ่มความเร็วแล้วพุ่งเข้ามาราวกับสัตว์ป่าที่ดุร้าย

เย่เทียนขมวดคิ้วเบาๆ และดวงตาอันลึกล้ำของเขาก็เต็มไปด้วยความหมาย เพราะคนกลุ่มนี้ทำงานอย่างเป็นระเบียบ ตั้งแต่เริ่มจนตอนนี้พวกเขาดูนิ่งมาก และในที่สุดก็ลงมืออย่างเป็นทีมกัน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นมืออาชีพและมีเบื้องหลังที่น่ากลัวแน่นอน!

เมื่อเห็นมอเตอร์ไซค์สองคันเร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว หยางซิงไห่ซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าเย่เทียนถึงกับตกใจและทำท่าจะกลิ้งหนีไปบนพื้น

แต่ในทางกลับกัน เย่เทียนกลับฝังเท้าหยั่งรากลึกอยู่กับพื้น คงไม่ต้องพูดถึงความกลัว เพราะเขาได้แต่ยืนนิ่งและไม่มีทีท่าว่าจะหลบรถมอเตอร์ไซค์ดังกล่าวเลยด้วยซ้ำ

ถึงอย่างไร รถมอเตอร์ไซค์สองคันก็วิ่งเข้าหาเย่เทียนอย่างรวดเร็ว และคนขับทั้งสองยังมีมีดแมเชเทอยู่ในมือและฟันไปที่เย่เทียนด้วยรัศมีของการสังหาร

“ได้แค่นี้เหรอ?”

เย่เทียนที่เห็นสิ่งนี้กลับแสดงดอยยิ้มอันเย้ยหยันที่มุมปาก แทนที่จะถอยหลัง แต่เขากลับเดินหน้า จากนั้นกระทืบเท้าลงพื้นและหลบการโจมตีของรถมอเตอร์ไซค์สองคันนี้อย่างง่ายดาย

ในวินาทีถัดมา เย่เทียนหันกลับมาอย่างกะทันหัน มือขวาของเขายื่นออกไปราวกับฟ้าแลบ และทันใดนั้น จู่ๆ ก็มีแสงสีขาวสว่างขึ้นและได้พุ่งเข้าใส่ตัวของนับขับคนหนึ่งทันที

“เอื้อก?!”

นักขับคนนั้นถึงกับอดคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดไม่ได้ นอกจากนี้เลือดสีแดงสดก็พุ่งออกมาจากร่างกายของเขาราวกับน้ำพุ

เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่รุนแรงนี้ ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมรถมอเตอร์ไซค์ได้และตกจากรถในทันที

แต่รถวิบากที่เสียการควบคุมไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ด้วยความเร็วของรถ ทำให้มันพุ่งออกไปชนกับต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เกาะกลางถนนและระเบิดลุกเป็นไฟทันที

“ถ้ารู้ว่าเหรียญมันใช้ดีขนาดนี้คงใช้ไปนานแล้ว!”

เย่เทียนยิ้มเบาๆ และไม่ได้เหลือบมองนักขับที่ล้มลงกับพื้นเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหันความสนใจไปที่นักขับอีกคนที่รออยู่

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เย่เทียนเคลื่อนตัวราวกับผีวิญญาณ ด้วยแสงเพียงเล็กน้อยบนเท้าของเขา ร่างกายของเขาก็ลอยขึ้นกลางอากาศและเตะไปที่หัวของนักขับอีกคนอย่างรุนแรง

บูม!

เสียงทุ้มดังขึ้น นักขับคนนั้นเป็นเหมือนว่าวที่เชือกขาด เขาลอยออกไปสองสามเมตรแล้วฟาดลงกับพื้นอย่างรุนแรงและคร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด

เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น เย่เทียนได้จัดการนักขับทั้งสอง และทำให้นักขับที่เหลือสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…