ตอนที่ 66 - 1 เปล่งประกายให้ตาเจ้าบอด

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

ฟ้าสว่างแล้ว มืดอีกครั้งแล้ว

 

 

เมื่อจิ่งเหิงปัวตื่นขึ้นมาบนเตียง มองดูท้องฟ้ามืดมิดข้างนอกด้วยสีหน้าเปี่ยมด้วยความงงงวย นึกไม่ออกว่าตนเองอยู่ที่ไหนไปชั่วขณะและจำไม่ได้ว่านี่คือคืนวันไหนหรือยามเช้าไหน

 

 

หลังจากกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า การหลับสนิทครั้งหนึ่งโดยไร้ซึ่งความคิดแม้แต่น้อยของนาง ไม่ได้ฝันด้วยซ้ำ

 

 

หลังเหม่อลอยไประลอกหนึ่ง นางได้ยินเสียงเล็กๆ น้อยๆ นอกประตูคล้ายมีคนกำลังเดินกลับไปกลับมา ฝีก้าวถี่กระชั้น เดินไปยังระเบียงเบื้องหน้าตำหนักนางบ่อยครั้ง สถานที่ซึ่งใกล้ที่สุด จิ่งเหิงปัวรอคอยเสียงเคาะประตูดังขึ้น แต่ไม่มีความเคลื่อนไหวตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ

 

 

นางคล้ายเข้าใจขึ้นมา ลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า ดึงเชือกเคาะระฆังเรียกหา

 

 

ประตูเปิดออกแทบจะฉับพลัน เผยให้เห็นใบหน้าเจือด้วยความร้อนใจขององครักษ์ปากประตู จิ่งเหิงปัวจำได้ว่านี่คือองครักษ์ข้างกายผู้หนึ่งของกงอิ้นชื่อว่าซานฉง

 

 

“ฝ่าบาท” ซานฉงเอ่ยว่า “เหล่าขุนนางใหญ่คอยพระองค์อยู่โดยตลอด”

 

 

จิ่งเหิงปัวชะโงกหน้า โอ้ ห้องหนังสือของจิ้งถิงจุดเทียนสว่างจ้า ยังมีเสียงเอะอะแว่วมารำไร

 

 

ลำบากให้พวกเขารอคอยอยู่โดยตลอด คงรอคอยอยากดูนางปล่อยไก่ล่ะมั้ง?

 

 

“เร่งเจ้าแล้วหรือ?” นางถาม

 

 

ซานฉงผุดเผยสีหน้าฝืนยิ้ม เอ่ยว่า “เร่งกระหม่อมสิบแปดครั้งแล้ว วิวาทกันในห้องหนังสือโดยตลอด หากมิใช่พวกเราห้ามเอาไว้ อาจจะพุ่งเข้ามาเคาะประตูของพระองค์แล้ว”

 

 

“ราชครูเอ่ยว่าอะไร?”

 

 

“ราชครูเอ่ยว่านอนหลับสำคัญ อาหารสามมื้ออย่าได้ขาด”

 

 

“ราชครูกำลังทำสิ่งใด?”

 

 

“นอนหลับ”

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะออกมาดัง “เหอะ” อารมณ์ดีอย่างยิ่ง

 

 

“เอ่ยได้ถูกต้อง นอนหลับสำคัญ อาหารสามมื้ออย่าได้ขาด” จิ่งเหิงปัวบิดขี้เกียจด้วยท่าทางสดชื่น กล่าวต่อไปว่า “นอนมาหนึ่งวันแล้ว ข้าหิวแล้ว ยกอาหารขึ้นโต๊ะ!”

 

 

“เอ่อ…” ซานฉงเตือนนางอย่างระมัดระวังยิ่งว่า “เหล่าขุนนางใหญ่ยังคงรอคอย…”

 

 

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้ราชินีกินข้าว เพียงแต่ขุนนางใหญ่เหล่านั้นไม่กล้าเร่งกงอิ้น ต่างพามาบีบบังคับเขาน่ะสิ

 

 

“จักรพรรดิไม่ใช้งานทหารยามหิวโหย ผู้ใดมีคุณสมบัติใช้งานจักรพรรดิยามหิวโหย?” จิ่งเหิงปัวนั่งลงข้างโต๊ะอาหารเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กล่าวว่า “รอคอยกันมาวันหนึ่งแล้ว คงจะไม่ว่าหากต้องรอข้าวสักมื้อ ยกอาหารขึ้นโต๊ะ!”

 

 

ซานฉงฝืนยิ้มถอยออกไปอีกทางหนึ่งแล้ว เหล่าขุนนางใหญ่ต่างไม่ได้กินข้าวมาวันหนึ่งแล้ว…

 

 

จิ่งเหิงปัวกินอย่างเอร็ดอร่อย ตั้งใจอย่างยิ่ง ชิมและวิจารณ์อาหารทุกจาน จนกระทั่งท้องกลมดิก

 

 

ห้องหนังสือของจิ้งถิงยิ่งส่งเสียงดังมากขึ้นแล้ว กลิ่นหอมของอาหารทางนี้โชยเข้าไปแล้ว เหล่าขุนนางใหญ่หิวจนท้องร้องโครกคราก หากไม่ใช่เพราะองครักษ์สองฝั่งขวางไว้ เกรงว่าคงมีผู้พุ่งเข้าไปซักถามแล้ว。

 

 

ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่ากงอิ้นไม่ได้เลี้ยงอาหารสามมื้อ เพียงแต่น้อยนักที่จะมีผู้กินข้าวลงเบื้องหน้ามหาราชครูกงได้…เหนือศีรษะมีมหาเทพน้ำแข็งหิมะผู้ไร้ซึ่งสีหน้าองค์หนึ่ง ยามทานอาหารเงียบงันไร้สรรพสิ่งเสียง กระตุ้นความอยากอาหารไม่ได้โดยแท้

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นอาหารของกงอิ้นแตกต่างจากผู้อื่น ปกติแล้วมีอาหารร้อนน้อยมาก ส่วนมากเป็นอาหารเย็น ขุนนางใหญ่ที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ร่างกายอ่อนแอเหล่านี้บริโภคไม่ไหว ฉะนั้นพอเวลาผ่านไปนาน กงอิ้นเลี้ยงอาหารน้อยครั้ง เหล่าขุนนางใหญ่ไม่คาดหวังจะทานอาหารของตำหนักอวี้จ้าวเช่นกัน

 

 

ยามนี้ผู้ที่หิวโหยมาวันหนึ่งแล้ว ได้กลิ่นหอมที่พลังทำลายล้างเกรียงไกรทางนั้น ยั่วเย้าใจไม่น้อยไปกว่าขันทีเข้าหอคณิกา

 

 

ทางนั้นยิ่งทะเลาะกัน จิ่งเหิงปัวยิ่งกินช้าลง กินเสร็จอย่างเรียบร้อย วางตะเกียบไว้ ผลักนางในที่เดินทางมาเชิญออก กล่าวว่า “เปลี่ยนอาภรณ์”

 

 

นางไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยตนเอง เมื่อออกมา ผู้คนทั่วตำหนักต่างร้อง “อา” เสียงหนึ่ง

 

 

นางถอดชุดทั่วไปของราชินีที่สวมอยู่ทิ้ง สวมใส่ชุดกระโปรงของตนเอง

 

 

ชุดกระโปรงผูกหน้าคอวีลึกสีแดงสดแนบเนื้อ การตัดเย็บที่เรียบง่ายแต่เซ็กซี่ที่สุด เกาะติดแนบแน่นดุจผิวกายชั้นที่สอง กระหวัดรัดรูปร่างงดงามโดยกำเนิดของนางจนไม่อาจเพิ่มหรือลดเลยแม้แต่น้อย แววตาของทุกคนพร่ามัว สายตาวูบไหวทุกหนทุกแห่ง ไม่รู้ว่าควรมองหรือว่าไม่ควรมอง ไม่รู้ว่าควรมองที่ใดถึงจะหยุดยั้งเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึงที่พุ่งถึงคอหอยเสียงหนึ่งนั้นได้ จากนั้นรู้สึกตัวว่ามองไปที่ใดล้วนถูกกำหนดไว้แล้วว่าคงอดกลั้นอุทานอย่างตื่นตะลึงเสียงหนึ่งนั้นไว้ไม่ได้…มีทรวดทรงของบางคน คล้ายสวรรค์รักใคร่ พาให้ผู้ที่มึนชาที่สุดยังอดจะหมอบกราบไม่ได้ ไม่เจือด้วยความหยาบโลน เพียงเพื่อความงามที่หาได้ยากปานนั้น

 

 

สุดท้ายแล้วแววตาของทุกผู้คนทอดลงบนขาของจิ่งเหิงปัว ขาท่อนล่างและข้อเท้างามประณีตเรียวบางขาวบริสุทธิ์ที่ยื่นออกมาใต้ชุดกระโปรงผูกหน้าทรงหางปลา เท้าสวมใส่รองเท้าส้นสูงเปิดนิ้วเท้าสีเดียวกันคู่หนึ่ง

 

 

ไม่เคยพบเห็นการแต่งกายเช่นนี้ ทุกคนเหม่อลอย หลงลืมแม้แต่วาจาตักเตือน

 

 

จื่อหรุ่ยได้เตรียมใจไว้หน่อยแล้ว ยังอดจะสูดลมหายใจเหน็บหนาวเฮือกหนึ่งไม่ได้ อยากเอ่ยอะไรหน่อย ทว่ามองเห็นสีหน้าของจิ่งเหิงปัว พลันก้มหน้าลง

 

 

ภายในสายตาของราชินี ไม่ใช่สีหน้าหยอกเย้าตามใจตนยามปกติ นัยน์ตานางแน่วแน่แลสุขุม คล้ายได้เตรียมพร้อมต่อทุกสิ่งบนโลกใบนี้เนิ่นนานแล้ว

 

 

ทุกผู้คนรู้สึกรำไรว่าคล้ายตั้งแต่ยามกลางฝนกระหน่ำคืนวาน ราชินีเหินกายเผชิญหน้าอาวุธวิเศษ สะบัดมือเพียงครั้งทำให้อาวุธวิเศษระเบิดตนเอง ราชินีที่ลึกลับแลมหัศจรรย์นางนี้คล้ายมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

 

 

บนแขนของจิ่งเหิงปัวถือกระเป๋าสีดำใบน้อย มองไปยังจิ้งถิง ยิ้มแย้มคล้ายได้พิจารณาถี่ถ้วนแล้ว

 

 

“ไปเถิด ไปเปล่งประกายให้ตาพวกเขาบอดกัน”

 

 

 

 

เหล่าขุนนางใหญ่รอคอยมาหนึ่งวันแล้ว

 

 

ความกระสับกระส่ายเหนื่อยล้าหิวโหยพัวพันจิตใจมนุษย์ไว้ดุจเชือก ยิ่งมัดยิ่งแน่น จวบจนอดกลั้นไม่ไหวระเบิดออกมา

 

 

“ราชินีไปทำอะไรอยู่กันแน่!”

 

 

“นางกำลังทานอาหาร!”

 

 

“ก่อนหน้านี้นอนหลับ! จากนั้นกินข้าว! ต่อไปนางจะทำสิ่งใด? มิใช่ค่ำแล้ว นอนอีกสักตื่นหรือ? นางเห็นพวกเราขุนนางสำคัญในราชสำนักเหล่านี้เป็นสิ่งใดกันแน่?”

 

 

“นางยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ยังกล้าหยอกล้อมองข้ามฝูงขุนนางเช่นนี้ หากได้ขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ คงจะไม่เห็นพวกเราเป็นสุกรสุนัขหรือ?”

 

 

“ข้าว่านางคงกำลังหลบหนีกระมัง? นางไร้หนทางใช้สอยสายฟ้าด้วยซ้ำ ยามนี้เป็นเพียงแผนการถ่วงเวลา ให้พวกเรารอจนทนไม่ไหวแล้วถอดใจไปเอง?”

 

 

“เอ่ยได้ถูกต้องยิ่งนัก เมื่อคืนนางไม่ได้ไปหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ด้วยซ้ำ แลไม่ได้ร่ายคาถาใด จะนำสายฟ้ามาได้อย่างไร? อีกทั้งสายฟ้านั้นคือสิ่งที่เคลื่อนไหวบนสวรรค์ จะถูกมนุษย์ธรรมดาควบคุมได้อย่างไร? วาจาเหลวไหลเต็มปากโดยแท้!”

 

 

“นั่นสิ พวกเราควรจะ…อ๊ะ เหตุใดแสงเทียนพลันดับหมดแล้ว?”

 

 

“องครักษ์! องครักษ์! เหตุใดเทียนถึงดับหมดแล้ว! รีบไปหาเชื้อเพลิง!”

 

 

“คงจะลมแรงพัดเทียนดับ รีบเร่งจุดเทียน…ขุนนางร่วมสำนักทุกท่านอย่าเพิ่งวู่วาม…ผู้ชรารู้สึกว่า…พวกเรายิ่งควรจะรอคอยต่อไป นางคงไม่อาจหลบลี้ไม่โผล่หน้าตลอดไป! ขอเพียงนางปรากฏกาย พอไร้หนทางพิสูจน์วาจาพิกลพิการของนาง ผู้ชราจะ…”

 

 

“จะสมควรตาย!”

 

 

“เปรี๊ยะ!”

 

 

สิ่งที่เคียงคู่เสียงหัวเราะเจือด้วยความเกียจคร้านคือแท่งไฟสว่างราวหิมะแท่งหนึ่ง!

 

 

ท่ามกลางความมืดมิดผืนหนึ่ง แท่งไฟสีหิมะแท่งหนึ่งทะลุผ่านชั้นเมฆหมื่นลี้ดั่งมาจากเหนือท้องนภามืดมน พลันสาดส่องบนใบหน้าของขุนนางที่กำลังต่อว่าด้วยความโกรธเคืองผู้นั้นดุจอสนีบาตฟาดเปรี้ยงสายหนึ่ง!

 

 

“โอ๊ย!”

 

 

ท่ามกลางความมืดมิดแสงเล็กน้อยยังสว่างไสวเป็นพิเศษ ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงแท่งสว่างเจิดจ้าดุจดวงอาทิตย์แท่งหนึ่งนี้ แท่งไฟสว่างราวหิมะที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดแทบจะทำให้ทุกผู้คนสูญเสียการมองเห็นในพริบตา เบื้องหน้าทุกคนคือแสงขาวโพลนผืนหนึ่ง รีบเร่งยกแขนเสื้อบังหน้า ขุนนางที่ถูกแท่งไฟส่องกลางใบหน้าผู้นั้นกรีดร้องเสียงหนึ่ง ถอยหลังตึ่กๆๆ ต่อเนื่องสามก้าว ยื่นมือคว้ามั่วซั่วลุกลี้ลุกลนท่ามกลางความมืดมิด เสียงร้องตะโกนเจือด้วยเสียงร้องไห้ว่า “ข้ามองไม่เห็นแล้ว! ข้ามองไม่เห็นแล้ว!”

 

 

พอทุกคนได้ฟังยิ่งตื่นตระหนกขึ้น หลบหนีวุ่นวายคิดจะหลบหลีกสู่ความมืดมิด กระดกก้นเหยียบย่ำชุดคลุมมั่วซั่วชั่วขณะ เสียงเบียดเสียดโวยวายไม่สิ้น ในความวุ่นวายครั้งใหญ่ยังได้ยินเสียงสั่นไหวจากที่ไกลโพ้นเลือนรางคล้ายเป็นเสียงอสนีบาต ทุกคนตื่นตะลึงหันหน้ากลับมา พบว่าแท่งแสงสว่างราวหิมะเมื่อครู่นั้นหายไปแล้ว เบื้องหน้ายังคงเป็นความมืดมิดผืนหนึ่ง เพียงแต่ดวงตาถูกกระตุ้นด้วยจุดสว่าง ยามนี้มองสิ่งใดล้วนเป็นความพร่ามัวขาวผืนหนึ่งดำผืนหนึ่ง กำลังจะวางใจขึ้นมา อยากถามหาสาเหตุ พลันได้ยินเสียงอสนีบาตทึมทึบ กระเบื้องมุงหลังคาดัง “เพล้ง” เพียงครั้งคล้ายถูกของหนักใดกระแทกใส่ เสียงกระเบื้องแตกร่วงพื้นไม่สิ้นสุด ทุกคนเดี๋ยวตื่นเต้นเดี๋ยวตกใจ อยากจะไปดูทว่าไม่กล้า พลันได้ยินเสียง “เปรี๊ยะ” เสียงหนึ่งอีกครั้ง

 

 

แสงหิมะปรากฏโดยพลัน ตรงแน่วเส้นหนึ่ง พุ่งตรงจากปากประตูดำมืดมิดสู่ใจกลางฝูงชน สาดส่องก้นที่กระดกซุกมั่วซั่วของหลายคน ยังมีเสียงร้องกระหืดกระหอบของเฟยหลัวดังขึ้นรำไรว่า “ผู้ใดดึงกระโปรงข้า! หลีกไป!”

 

 

“อ๊าก” เสียงหนึ่งตะโกน ขุนนางที่ประชิดใกล้แท่งไฟที่สุด หมอบศีรษะลงบนพื้น ร้องว่า “สว่างเหลือเกิน! สว่างเหลือเกิน ! อย่าผ่าข้า! อย่าผ่าข้า!”

 

 

ทุกคนตกตะลึง ในสมองคล้ายได้พลันถูกสายฟ้าผ่าเช่นกัน…เสียงฟ้าร้องทุ้มต่ำ แสงรุ่งโรจน์สว่างราวหิมะที่แสงหนึ่งแสงใดที่ไร้หนทางอธิบายต่างไม่อาจเปรียบเทียบ กระเบื้องมุงหลังคาที่ถูกผ่าแหลกละเอียด ขุนนางที่เมื่อครู่เอ่ยวาจาไร้มารยาทถูกแสงสว่างโจมตีจากนั้นมองไม่เห็น…นี่ไม่ใช่สายฟ้าที่ราชินีสะสมหรือ!

 

 

นางสะสมสายฟ้าจริงแท้ นำมาลงโทษผู้ที่กล้าสงสัยนาง!

 

 

คนผู้นั้นที่ถูกนางเอ่ยว่า “สมควรตาย” ยามนี้กำลังปิดดวงตาไว้กลิ้งเกลือกทั่วพื้น ร้องตะโกนน่าเวทนาเอ่ยว่ามองไม่เห็นแล้ว มิใช่ถูกฟ้าแลบที่ยืมมาผ่าจนตาบอดแล้วหรือ? ฟ้าแลบบนท้องนภา พลังอำนาจระดับใด ไม่มีเรื่องใดง่ายดายมากกว่าผ่าคนธรรมดาผู้หนึ่งจนตาบอดแล้ว