ตอนที่ 66 - 2 เปล่งประกายให้ตาเจ้าบอด

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

ทุกคนหลบอยู่หลังโต๊ะใต้เก้าอี้ ปิดดวงตาไว้อย่างหวาดหวั่น มองไปข้างนอกจากในร่องนิ้ว ดวงตาด้วยเพราะตอบสนองฉับพลัน ยังคงกะพริบด้วยจุดแสงสีขาวสีดำ พวกเขามองดูความดำขลับเบื้องหน้า นึกถึงแท่งไฟนั้น แน่ใจว่าบนโลกนี้ไม่มีแสงเทียนใดมีความสว่างปานนี้ได้ ฉะนั้นยิ่งอกสั่นขวัญแขวนขึ้น กลั้นหายใจเกร็ง กลัวว่าพอเปล่งเสียงจะถูกฟ้าแลบนั้นผ่าเข้ามาในดวงตา 

 

 

ภายในห้องที่เดิมทีสับสนวุ่นวายเงียบสงัดดุจสิ้นชีพชั่วขณะ ยิ่งขับให้เสียงเพล้งพลั้งจากกระเบื้องมุงหลังคาร่วงหล่นสะเทือนวิญญาณมากขึ้น 

 

 

ในความเงียบเชียบกับความมืดมิดประหนึ่งความตาย พลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น 

 

 

เสียงฝีเท้าสุขุม เชื่องช้า สดใสไพเราะ ก้าวเข้ามาทางปากประตูทีละก้าว จรดเท้ามีเรี่ยวแรงยิ่งนัก ทว่าคาดคะเนจากความดังของเสียง น่าจะเป็นของสตรีเรียวบาง รองเท้านั้นคล้ายแตกต่างจากปกติเช่นกัน เสียงกระทบพื้นผิวก้องกังวานยิ่งนัก ทำให้คนนึกถึงความเกลี้ยงเกลาประหนึ่งกระเบื้องเคลือบ ความงามล้ำค่าประหนึ่งหยก 

 

 

ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด ทุกคนต่างนึกถึงราชินี 

 

 

หลบอยู่ในความมืดมิด กลั้นลมหายใจไว้ ฟังเสียงฝีเท้าสดใสไพเราะแตกต่างจากปกตินั้นประชิดเข้ามาทีละเสียง กระทบบนดวงใจทีละเสียง ดวงใจของทุกคนแลคล้ายถูกเหยียบย่ำครั้งแล้วครั้งเล่า ก้าวหนึ่ง เต้นครั้งหนึ่ง 

 

 

“เปรี๊ยะ” 

 

 

เป็นเสียงคุ้นเคยน่าหวาดกลัวนั้นอีกครั้ง ทุกผู้คนต่างอดจะเปล่งเสียงร้องเศร้าโศกออกมาไม่ได้ กุมศีรษะหมอบลงบนพื้น 

 

 

เหนือศีรษะเงียบสงบยิ่งนัก ล่องลอยด้วยเสียงหัวเราะแผ่วเบาเสียงหนึ่ง เจือด้วยภาคภูมิใจหลายส่วนรังเกียจหลายส่วน 

 

 

ทุกคนไม่กล้าขยับเขยื้อน มีเพียงเฟยหลัวรู้สึกว่าผิดปกติ กัดฟันกรอดเงยหน้าฉับพลัน จากนั้นหน้าถอดสี 

 

 

ไม่มีฟ้าแลบ ไม่มีฟ้าผ่า จิ่งเหิงปัวยืนเอนกายพิงปากประตู ถือเชิงเทียนอันหนึ่งในมือ แสงเทียนสว่างไสวเนิบนาบ สาดย้อมแสงสลัวสีเหลืองอ่อนบริเวณดวงพักตร์สวยสดงดงามผ่องใสของนาง 

 

 

แววตานางหลุบต่ำ เผชิญกับแววตาของเฟยหลัวพอดี 

 

 

จิ่งเหิงปัวเลิกคิ้ว นึกไม่ถึงว่าท่ามกลางเหล่าขุนนาง ยังคงเป็นเฟยหลัวที่เงยหน้าขึ้นมาก่อนใคร ดูท่าสตรีนางหนึ่งซึ่งดำรงตำแหน่งสูงได้ ย่อมมีสิ่งที่เหนือกว่าผู้อื่นในตนเอง 

 

 

เฟยหลัวกลับโกรธแค้นอับอายจนอยากสิ้นชีพ 

 

 

นางก้มหน้ามองดูตนเอง เบียดเสียดอยู่ท่ามกลางชายชราฝูงหนึ่ง นั่งยองอยู่หลังโต๊ะ ไม่รู้ตั้งแต่ยามใดกระโปรงถูกดึงขาดไปเล็กน้อย ประทับด้วยรอยเท้าใหญ่เปื้อนโคลนเลนเต็มไปหมด… 

 

 

ส่วนสตรีฝั่งตรงข้ามนางนั้น เพียบพร้อมหรูหรา ระยิบระยับคล้ายส่องแสง 

 

 

สำหรับสตรีแล้ว ความอัปยศจากความแตกต่างราวฟ้ากับดินครู่หนึ่งนี้ เพียงพอให้นางจดจำโกรธแค้นชั่วชีวิต 

 

 

ยามนี้เหล่าขุนนางรู้สึกตัวว่าผิดปกติเช่นกัน ต่างค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา มองเห็นข้างหลังจิ่งเหิงปัว เหล่าองครักษ์เดินเป็นแถวยาวเหยียดเข้ามา จุดเชิงเทียนให้สว่างไสวพอดี 

 

 

ความสว่างไสวนำพาความกล้าหาญมาให้คนได้เสมอ ทุกคนรู้สึกอุ่นใจขึ้น ต่างยืนขึ้นทีละคน ปัดชุดคลุมพลางเอ่ยเองตอบเอง แก้ความขวยเขินอย่างสุขุมยิ่งนัก 

 

 

“ใต้เท้าเฉิงระวังหน่อย” 

 

 

“ใต้เท้าหวังระวังฝ่าเท้า” 

 

 

“ใต้เท้าหลี่พวกเรานั่งตรงนี้กัน…” 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองเห็นพวกเขาฟื้นคืนสภาพปกติในพริบตา ใบหน้าชราไม่แดงซ่านขึ้นมาด้วยซ้ำ รู้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่ง 

 

 

พริบตาเดียวมองเห็นกงอิ้นปรากฏกายไม่รู้ตั้งแต่ยามใด กำลังจ้องนางอย่างลึกล้ำ นางกระหวัดมุมปาก ทำสัญญาณมือ “ชัยชนะ” ให้เขา 

 

 

แววตากงอิ้นค่อยๆ นุ่มนวล นั่งลงตามอารมณ์ 

 

 

รู้แล้วว่าไม่ต้องกังวลแทนนาง จิ่งเหิงปัวกำเริบเสิบสานตามใจตน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยกระทำการมั่วซั่ว 

 

 

จิ่งเหิงปัวตบกระเป๋าสีดำใบน้อยของตนเองด้วยรอยยิ้มจนตาหยี ภายในคือของวิเศษ “ฟ้าแลบ”ของนาง 

 

 

ไฟฉายแรงสูงขนาดเล็กกระบอกหนึ่ง 

 

 

ไฟฉายที่ออกมาจากสถาบันวิจัยสว่างยิ่งกว่าไฟฉายแรงสูงตามท้องตลาดหลายเท่า บรรยายเป็นอสนีบาตฟาดเปรี้ยงในสายตาคนปกติคงไม่เกินไป อีกทั้งจิ่งเหิงปัวให้พวกอวี่ชุนช่วยดับแสงเทียน ผลลัพธ์ของการเปิดไฟฉายนี้ในความมืดมิดผืนหนึ่ง ไม่แตกต่างจากฟ้าแลบสายหนึ่งผ่าลงมาเท่าไร 

 

 

ฉะนั้นนางระวังไม่ให้ไฟฉายนี้ทำร้ายคนด้วย แท่งไฟแค่ส่องส่วนล่างของใบหน้าขุนนางใหญ่นั้น ไม่ได้ส่องเข้าไปในดวงตา เจ้าผู้นั้นร้องไห้ลั่นว่ามองไม่เห็น คงจะด้วยเพราะถูกทำให้ตกใจไม่น้อย 

 

 

“ฝ่าบาท” มีผู้ต่อต้านนางโดยพลัน คือเฟยหลัว เอ่ยด้วยสีหน้าเขียวคล้ำว่า “นี่คือสายฟ้าที่พระองค์ทรงใช้วิธีเทพมารยืมมาหรือ? ตามความเห็นของหม่อมฉัน สิ่งนี้อาจจะมิใช่สายฟ้าบนท้องฟ้า เกรงว่าเป็นเพลิงวิญญาณแห่งยมโลก! แปลกประหลาดเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดเช่นนี้ มีสภาพการณ์ของสวรรค์เสียที่ใด!” 

 

 

“เสนาหญิงแคว้นเซียงจะเอ่ยเช่นนี้มิได้” เซวียนหยวนจิ้งเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ยังมิต้องเอ่ยถึงสายฟ้ามาจากที่ใดกันแน่ เพียงพระราชดำริแลพระทัยของฝ่าบาทนี้ได้ทำให้คนหนาวเหน็บ ใ ต้เท้าถูเพียงล่วงเกินด้วยความไม่รู้ ฝ่าบาทก็ทรงใช้สายฟ้าส่องดวงตาทำให้เขาสูญเสียการมองเห็น โหดร้ายทารุณเช่นนี้จะเป็นพฤติกรรมของกษัตริย์ได้อย่างไร?” 

 

 

ทุกคนฟังอยู่ต่างพยักหน้า ตระกูลเซวียนหยวนกับเสนาหญิงแคว้นเซียงไม่ถูกกัน วาจานี้คล้ายไม่ถูกกันเช่นเคยเลยไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าผิดปกติ 

 

 

กงอิ้นพลันเงยหน้ามองเฟยหลัวกับเซวียนหยวนจิ้งปราดหนึ่ง 

 

 

จิ่งเหิงปัวเท้าคาง ยิ้มแย้มมองเซวียนหยวนจิ้งกับเฟยหลัว นางไม่ได้คิดมากมาย แต่รู้สึกว่าคราวนี้สองคนเอ่ยวาจาก่อนหลังต่อกันขนาดนี้ รู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย คล้ายเรื่องนี้เดิมทีควรเป็นงานของซังต้ง พริบตาเดียวเฟยหลัวรับทำแทนแล้ว? 

 

 

ยิ้มแย้มครู่หนึ่ง ไม่ได้สนใจสองคน นางจรดฝีก้าวเช่นแมวเดินเข้ามาอย่างสุขุม เดินผ่านเจ้าคนที่ยังคงร้องไห้กลิ้งเกลือกเอ่ยว่ามองไม่เห็นนั้นแล้วยกเท้าขึ้นเตะ 

 

 

“ข้ามองไม่เห็นแล้วข้ามองไม่เห็นแล้ว…” เจ้าผู้นั้นยังคงร้องไห้โฮ 

 

 

“เฮ้ รองเท้าข้างดงามหรือไม่?” จิ่งเหิงปัวเตะบนใบหน้าเขาเท้าหนึ่ง ประชิดคางเขาไว้ 

 

 

“เอ่อ…” เจ้าผู้นั้นเงยหน้ามีคราบน้ำตาเปียกชุ่มขึ้น เอ่ยอย่างสะอึกสะอื้นว่า “นี่มันรองเท้าอะไร…แปลกจริงแท้…อ๊ากข้ามองไม่เห็นแล้ว…” 

 

 

“ไปตายเสีย” จิ่งเหิงปัวเตะเขากลิ้งไปในเท้าเดียว หันกายครั้งหนึ่งนั่งลงตรงเก้าอี้ประจำตำแหน่ง 

 

 

เหล่าขุนนางอยากหัวเราะทว่าหัวเราะไม่ออก กลับสู่ที่นั่งเดิมอย่างเขินอาย เซวียนหยวนจิ้งยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว เฟยหลัวกลับยังอิ่มเอิบเต็มเปี่ยมกว่าเขาอยู่บ้าง ยิ้มเยาะเสียงหนึ่งประหนึ่งไม่ได้เอ่ยวาจาเมื่อครู่ นั่งลงไปอย่างสุขุมเช่นกัน 

 

 

เพียงแต่หลังจากนั่งลงแล้ว ช่วงเอวพลันตรงดิ่ง เรือนร่างโน้มไปข้างหน้า เบิกตากว้าง 

 

 

ยามนี้ทุกคนต่างรู้สึกตัวแล้วเช่นกัน ทยอยเปล่งเสียงสูดลมหายใจ 

 

 

ท่านนั้นข้างบน…สวมอาภรณ์อะไรกัน! 

 

 

แนบเนื้อขนาดนี้! เปิดเผยทรวดทรงขนาดนี้ได้อย่างไร! 

 

 

สั้นขนาดนี้! สั้นจนเผยให้เห็นขาท่อนล่าง! 

 

 

อีกทั้งรองเท้านี้…แววตาทุกคนมองดูเท้าของจิ่งเหิงปัวอย่างงงงัน นางนั่งอยู่บนที่สูง ปลายเท้าเตะครั้งแล้วครั้งเล่า เตะเฟิร์นโปร่งฟ้ากระถางหนึ่งเบื้องหน้าอย่างเกียจคร้านเบื่อหน่าย รองเท้าสีแดงแปลกประหลาดยิ่งนัก พื้นรองเท้ามีของแหลมเรียวที่เหยียบย่ำคนจนสิ้นชีพได้ รัศมีโค้งงดงามยวดยิ่ง ไม่มีปลายรองเท้า ผุดเผยนิ้วเท้าสีขาวราวหิมะสองข้าง บนเล็บเท้ายังทาด้วยน้ำมันทาเล็บสีแดงสด สวยสดงดงามเกลี้ยงเกลา ถูกเฟิร์นโปร่งฟ้าเขียวขจีขับจนงามเพริศแพร้ว คล้ายบนทุ่งหญ้าแวววาวมีดอกเทียนบ้านร่วงหล่นหลายดอก 

 

 

ละเมิดกฎเกณฑ์มากมายเหลือเกิน แรงโจมตีมากเกินไป ทุกคนตาพร่าตาลาย ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไรด้วยซ้ำไปชั่วขณะ 

 

 

สิ่งที่จิ่งเหิงปัวต้องการก็คือผลลัพธ์แบบนี้ ฉวยโอกาสที่จิตใจทุกคนสูญเสียการควบคุมครู่หนึ่งนี้ ให้พวกเขาได้รู้จักการแต่งกายเป็นเอกลักษณ์ของตนเองสักหน่อย นับเป็นลูกไม้การลงมือช่วงชิงอิสระทุกประการของราชินีแซ่จิ่ง 

 

 

“ฝ่าบาท สิ่งนี้…” เหล่าบุรุษเชยชมเพียงพอแล้ว นึกถึงกฎเกณฑ์ในที่สุด มีผู้อยากจะเอ่ยปาก 

 

 

จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นยกมือชี้ไปยังท้องฟ้า คนผู้นั้นหุบปากโดยพลัน สีหน้าซีดเผือด 

 

 

“ต้าฮวงพายุฝนฟ้าคะนองมากนัก สายฟ้าที่เจิ้นยืมมาเมื่อครู่ยังใช้ไม่หมด” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีกล่าวประโยคหนึ่ง ให้ทุกผู้คน。 

 

 

“หอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ถูกฟ้าผ่าแล้ว สายฟ้าบนท้องฟ้าข้าก็ยืมมาแล้ว” นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวกระทบพนักแขนเก้าอี้อย่างแผ่วเบา กล่าวว่า “วาจาที่ข้าเคยเอ่ยไว้ได้พิสูจน์จนสิ้นแล้ว เทพเลือกข้าเป็นผู้สืบทอดโองการคนใหม่ ยามนี้ พวกเจ้าเลือกได้ว่าจะทำตามคำมั่นสัญญาของพวกเจ้าหรือไม่” 

 

 

เงียบสงัด เซวียนหยวนจิ้งมองรอบด้าน อยากจะเอ่ยปากทว่าถูกเฟยหลัวจูงแขนเสื้อไว้แผ่วเบา 

 

 

นางใช้สายตาบอกใบ้เซวียนหยวนจิ้งตั้งใจฟัง คราวนี้ตาเฒ่าถึงได้ยินว่าภายในห้องมีเสียงเปรี๊ยะๆ 

 

 

ฟังแล้วคล้ายเสียงยามฟ้าแลบปรากฏยิ่งนัก 

 

 

ทุกคนสร้างการโต้ตอบแบบมีเงื่อนไขต่อเสียงนี้ ภายใต้ความหวาดกลัว ไร้ผู้เกิดความคิดต่อต้าน 

 

 

มือของจิ่งเหิงปัวอยู่ข้างหลัง กดปุ่มเปิดปิดของไฟฉายแรงสูงสลับไปสลับมาบ่อยครั้ง เมื่อครู่นำถ่านออกจากไฟฉายแล้ว แสงจะไม่เล็ดลอดออกมา 

 

 

“เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ” 

 

 

เสียงดังที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ฟังแล้วทุกคนตกใจจนเนื้อเต้น คล้ายได้ยินฝีเท้ามารร้ายประชิดใกล้ ไม่รู้ว่าครู่ต่อไปแสงสว่างน่ากลัวที่พอจะทำให้คนตาบอดได้นั้นจะพุ่งเข้าสู่ดวงตา มีผู้เริ่มขาสั่น อดจะมองไปทุกหนทุกแห่งไม่ได้ อยากจะหาสถานที่สักแห่งหลบซ่อนขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

“ฟ้าแลบเมื่อครู่ ข้าเพียงบังคับให้ยิงไปที่คางของใต้เท้าถูนะ…” จิ่งเหิงปัวพึมพำคล้ายไม่ได้ตั้งใจ 

 

 

“กระหม่อมพร้อมจะปฏิบัติตามพระประสงค์ของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!” ขุนนางหน้ากลมผู้หนึ่งพลันก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว หมอบคำนับจรดพื้น 

 

 

มีผู้เริ่มต้นแล้ว ผู้คนพลันทยอยกระทำตาม 

 

 

“เรื่องนี้เป็นถึงลิขิตสวรรค์ ฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์นับว่าอัปมงคล! ในเมื่อสวรรค์เลือกราชินีของเราเป็นเจ้านาย คือบุญวาสนาของขุนนางและราษฎรแห่งต้าฮวงของเรา จะฝ่าฝืนความปรารถนาของสวรรค์ได้อย่างไร!” 

 

 

“ใช่แล้วๆ! อสนีบาตสวรรค์ลงโทษหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ ประทานพลังควบคุมสายฟ้าให้ราชินีของเรา พอจะอธิบายได้แล้วว่าราชินีลิขิตสวรรค์ทรงหวนคืน ไม่เพียงฟังการเมืองเล็กน้อย เหล่าขุนนางย่อมรักษาคำมั่นสัญญาให้แน่วแน่ แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องในกฏหมายแคว้นถึงจะถูกต้อง” 

 

 

“สัญญาเดิมพันในยามแรกเอ่ยชัดเจนแล้วว่า ขอเพียงหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ถูกฟ้าผ่า ราชินีทรงสะสมสายฟ้าได้ จะถวายอำนาจฟังการเมืองให้แด่ราชินี ลูกผู้ชายเอ่ยวาจาหนักแน่นน่าเชื่อถือ หากพวกเราบ่ายเบี่ยงขัดขวางอีก วันหน้าเผชิญหน้ากับอาณาประชาราษฎร์ทั่วโลกหล้า จะเอ่ยวาจาต่อหน้าผู้คนได้อย่างไร?”