ตอนที่ 66 - 3 เปล่งประกายให้ตาเจ้าบอด

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

จิ่งเหิงปัวมองดูพวกเห็นด้วยไม่ขาดปากเหล่านั้น สีหน้าท่าทางวาจาจริงจังเปี่ยมเหตุผล นึกถึงเมื่อสองวันก่อนตอนพวกเขาต่อต้าน ต่อต้านไม่ขาดปาก วาจาจริงจังเปี่ยมเหตุผลขนาดนี้เช่นกัน 

 

 

วงการข้าราชบริพารเป็นสถานที่ดีดังคาดการณ์ หน้ากากใบหนึ่งสามารถพลิกแพลงออกมาได้หลากหลาย 

 

 

ทว่ามหาปราชญ์ฉังฟังตาเฒ่าตรงไปตรงมาคนนั้น พึมพำกับตนเองอีกทางหนึ่งว่า “ฟังการเมืองกระหม่อมรู้สึกว่าดียิ่งนัก ราชินีได้ลงแรงเพื่อราษฎร สำหรับสิ่งที่มากกว่านี้อีกคงไม่ได้ ไม่อาจให้ทำลายกฎเกณฑ์มากเกินไป อีกทั้งฉลองพระองค์นี้…” 

 

 

จิ่งเหิงปัวฟังแล้วแม้ว่าไม่รื่นหู แต่รู้สึกว่าตาเฒ่านับว่าเป็นคนตรงไปตรงมาที่หาได้ยากท่ามกลางวงการข้าราชบริพารผู้มีประสบการณ์ฝูงนี้ หันหน้ายิ้มให้เขาครั้งหนึ่ง 

 

 

รอยยิ้มหนึ่งเกือบจะเจิดจ้าจนดวงตาของผู้เฒ่าพร่ามัว เขารีบเร่งหันหน้าไป แลหลงลืมเอ่ยเรื่องฉลองพระองค์แล้ว 

 

 

“ช่างเถิด เช่นนั้นตามนี้แล้วกัน เรื่องเล็กเรื่องน้อยใช่หรือไม่?” จิ่งเหิงปัวเตะเท้าครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยท่าทางยิ้มแย้ม เล็บเท้าสีแดงสดคล้ายกลีบดอกไม้ปลิวว่อน เจิดจ้าพาดวงเนตรชราของทุกคนพร่ามัว 

 

 

อัสนีบาตกับความงามมาเคียงคู่ ดวงใจดวงน้อยของทุกคนถูกบดขยี้จนสับสนว้าวุ่น ท่ามกลางความเลอะเลือนแลไม่รู้ว่าตนเองเอ่ยอะไรไป ถูกองครักษ์ของจิ้งถิงส่งออกมาอย่างเลอะเลือน จวบจนยืนอยู่กลางลานตำหนักของพระราชวังที่เปียกชื้น มองดูหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ที่ถูกรื้อถอนดังโครมครามอยู่ไกลโพ้น ถึงได้รู้สึกตัวว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ อดจะถลกแขนเสื้อขึ้น ยืนอยู่ในสายฝนยามสารทสายลมเหน็บหนาว ถอนใจเสียงหนึ่งไม่ได้ 

 

 

“สวรรค์นี้ เอ่ยว่าเปลี่ยนก็เปลี่ยนเสียแล้วเอย…” 

 

 

… 

 

 

ข่าวใหญ่แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วมากเสมอ 

 

 

เพียงวันเดียว ทั่วทั้งตี้เกอต่างรู้เรื่องหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ที่ตั้งตระหง่านหลายร้อยปี แทบจะเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจเทพแห่งต้าฮวงถูกฟ้าผ่า ราชินีแสดงพลังปฎิหาริย์สะสมสายฟ้า 

 

 

ข่าวสารสะเทือนทั่วพื้นปฐพีเช่นนี้แทบจะพลิกตี้เกอคว่ำไปอีกด้าน แม้ว่าหลายวันต่อมาคือสภาพอากาศที่มีพายุฝนทอดยาวไม่สิ้นสุด ยังคงกั้นขวางความกระตือรือร้นในการนินทาของผู้คนไม่ได้ ในโรงน้ำชา ในร้านเหล้า แม้กระทั่งในหอคณิกาต่างมีคนนับมิถ้วนเบียดเสียดอยู่ด้วยกัน เอ่ยถึงเรื่องมหัศจรรย์ที่ราชินี “ฟ้าร้องผ่าหอคอยสูง ฟ้าแลบโทษฝูงขุนนาง” คืนนั้นอย่างไม่มีจบมีสิ้น 

 

 

สำหรับราชินีที่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการเช่นจิ่งเหิงปัวนี้ มีชื่อเสียงดังระเบิดในตี้เกอ หากจะจัดอันดับความแพร่หลายของชื่อเสียงในหมู่นี้ นางคงได้ลำดับหนึ่งโดยไม่มีอะไรต้องละอายใจ 

 

 

บนม้านั่งของโรงน้ำชา คนฝูงใหญ่ฝูงหนึ่งกำลังเอ่ยวาจาจนน้ำลายกระเซ็น 

 

 

…ราชินีองค์นี้ยืนอยู่ที่สูง ยกมือสะบัดเพียงครั้ง บนท้องฟ้ามีเมฆดำชุมนุมกันฉับพลัน ฟ้าผ่าฟ้าร้อง ราชินียกคทาขึ้น ชี้ไปยังเบื้องหน้า เสียงไพเราะตะโกนว่าดูสิ! เห็นเพียงฟ้าแลบสายหนึ่ง วูบไหวเชื่อมต่อกับส่วนยอดคทา แสงรุ่งโรจน์เปล่งประกายระยิบระยับดุจลูกไฟ ราชินีคทาชี้เพียงครั้ง แล้วตะโกนเสียงหนึ่งว่าไป! ลูกไฟลูกนั้นพุ่งไปยังหอคอยสูงอย่างรุนแรงประหนึ่งมีชีวิต ระหว่างครู่นั้น หอคอยสูงพังทลายดังตูมตามไปครึ่งหนึ่ง…” 

 

 

“ว้าว…” เสียงอุทานอย่างตื่นตะลึงผืนหนึ่ง 

 

 

ในซอกมุมมีคนหลายคนนั่งอยู่โต๊ะหนึ่ง ต่างสวมใส่ชุดคลุมสีดำธรรมดา สวมผ้าคลุมหน้า ฟังอยู่อีกทางหนึ่งโดยตลอด ทุกคนแลมิได้สนใจ รู้ว่าคงจะเป็นสตรีชนชั้นกลางในต้าฮวง ปกติแล้วแต่งกายเช่นนี้ทั้งนั้น 

 

 

คนชุดดำผู้หนึ่งในนั้น พิงโต๊ะ เท้าแก้ม มือที่ทับซ้อนกันขาวปานหยกมันแพะ 

 

 

ข้างกายนางมีนกแก้วตัวหนึ่งกำลังจิกข้าวผัดและยังมีแมวที่ขนออกสีม่วงตัวหนึ่งกำลังแทะกระดูกขาแพะ ส่งเสียงแกรกกรากทำให้คนเสียวฟันระลอกหนึ่ง สิ่งที่แปลกประหลาดคือตั้งแต่เริ่มต้นจนจบมองไม่เห็นว่ามีกระดูกถูกพ่นออกมาจากปากแมวดาวตัวนั้น 

 

 

“คทาหรือ?” สตรีถามคนข้างกายแผ่วเบา “ฟังแล้วยิ่งใหญ่สูงส่งจัง เฮ้ ภายหน้าข้ามีคทาหรือไม่?” 

 

 

“ไม่มีเพคะ” คำตอบทำให้คนผิดหวังยิ่งนัก 

 

 

ทว่าสตรีไม่ได้หมดกำลังใจ แววตาแพรวพราว กล่าวว่า “ไม่เป็นไร เกิดจากความว่างเปล่าได้ ข้าสร้างขึ้นสักอันย่อมได้” ฉวยมือตบนกแก้วที่หวังจะแอบดื่มน้ำชาของนางครั้งหนึ่ง ร้องว่า “นี่แน่ะ!” คว้าแมวดาวที่หวังจะซุกมายังหน้าอกนาง ร้องว่า “ไป!” 

 

 

… 

 

 

“พอตระกูลซังเห็นหอคอยสูงถูกฟ้าผ่า รีบเร่งหมอบคลานแทบเข่าของราชินีขอร้องให้ยกโทษให้ ราชินียยกมือสะบัดอีกครั้ง อาวุธวิเศษของตระกูลซังพลันถูกระเบิดบนหอเซ่นไหว้…” 

 

 

“เอ๊ะ ถูกระเบิดแล้วหรือ?” 

 

 

“ผิดแล้ว อาวุธวิเศษของตระกูลซังไม่ใช่ควรจะเซ่นไหว้บูชาอยู่ภายในคฤหาสน์ของตระกูลซังหรือ? ราชินีอยู่ห่างขนาดนั้นยังทำให้อาวุธวิเศษถูกระเบิดได้หรือ?” 

 

 

“เจ้าจะไปรู้อะไร พลังปฎิหาริย์ของราชินีไร้ขอบเขต!” 

 

 

… 

 

 

“วาจาศิลป์ท่อนนั้นเมื่อครู่แต่งแต้มได้ดียิ่งนัก ทว่าท่อนนี้ไม่ได้ยอดเยี่ยมเพียงใด” สตรีชุดดำยื่นนิ้วมือสีขาวราวหิมะออกมา วิจารณ์ว่า “ยามนั้นกลางความเป็นความตายโดยแท้ ข้าเองกล้าหาญไม่กลัวความตาย โผล่ออกไปกลางสายฝน ระหว่างที่ยกมือขึ้น ทำให้อาวุธวิเศษนั้นระเบิด…เฮ้ๆ พวกเจ้าว่าข้าต้องเขียนหนังสือสักเล่มหรือไม่ เล่าเรื่องนี้ให้เต็มที่เสียหน่อย? ไม่แน่ว่าจะเป็นหนังสือขายดีนะ” 

 

 

… 

 

 

“ฝ่าบาทลงโทษตระกูลซังเสร็จ เดินเข้าพระราชวังเผชิญหน้ากับฝูงขุนนางที่รอคอยอยู่ที่นั่น ยกมือวางเพียงครั้ง ไอ้หยา ฟ้าแลบสีขาวหิมะผืนใหญ่ผืนโต สลับซับซ้อนอยู่ภายในตำหนักใหญ่ ฉลองพระองค์ของฝ่าบาทลอยล่อง แสงรุ่งโรจน์เปล่งประกายระยิบระยับประดุจเทพธิดา เหล่าขุนนางใหญ่ก้มศีรษะกราบกราน ปากร้องว่าทรงพระเจริญหมื่นปี…” 

 

 

“ความรู้สึกในฉากไม่เลว…เฮ้อ หากเป็นเช่นนี้จริงคงดีสิ ปีศาจชราที่ชอบทรมานผู้อื่นฝูงนั้นมักจะไม่ยอมร่วมมือทุกสิ่ง น่ารำคาญนัก…” เล็บมือเป็นประกายของสตรีชุดดำดีดแล้วดีดเล่า คล้ายอยากจะดีด “ปีศาจชราที่ชอบทรมานผู้อื่น” เหล่านั้นออกไปนอกอวกาศให้สิ้น 

 

 

… 

 

 

“ข้าว่านะ นี่น่ะเป็นปาฏิหาริย์ที่แท้จริง! หอคอยสูงของกองเซ่นไหว้เพียงไม่ถูกฟ้าผ่าหลายร้อยปีก็ครอบครองตำแหน่งสูงส่งในต้าฮวงหลายปีนี้ ควบคุมอำนาจการเมืองโดยตลอด ราชินีองค์นี้ยกมือก็ทำลายเสาใหญ่สองต้นของตระกูลซัง ทว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมายังไม่เคยเกิดขึ้นในต้าฮวง! ในใจข้านี้ ฟังเรื่องเหล่านี้แล้ว รู้สึกว่าทั้งฮึกเหิมทั้งไม่สบายใจ มักรู้สึกว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นกระนั้น…” 

 

 

ทุกคนพยักหน้าต่อเนื่อง ต่างบอกว่าพวกเขารู้สึกเช่นเดียวกัน ต้าฮวงไม่นับว่าสงบสุขมากนัก ทว่าราษฎรเคยชินกับไม่ค่อยสงบเหล่านั้นก่อเกิดจากราชครูหรือผู้นำของหกแคว้นแปดชนเผ่า ในคัมภีร์เฟิงอวิ๋นที่ปรากฏบทบาทเด่นชัดของต้าฮวง แต่ไหนแต่ไรราชินีคือบทบาทจืดจางมีหรือไม่มีย่อมได้ พลันบทบาทที่ได้ถูกเคยชินว่าไร้ซึ่งตัวตนบทบาทหนึ่งนี้ ก่อกวนสถานการณ์ความไม่สงบอย่างรุนแรงยิ่ง ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมต่างรู้ว่าเรื่องนี้คงจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์การเมืองและสถานการณ์แคว้น อนาคตของต้าฮวงจะเปลี่ยนแปลงจนไม่อาจคาดการณ์ได้ด้วยเพราะเหตุนี้… 

 

 

ในโรงน้ำชาพลันเงียบสงบลง คนบางส่วนทยอยเดินออกมา คนเหล่านี้มากกว่าครึ่งเป็นสายสืบที่ตระกููลขุนนางตระกูลใหญ่โตทั้งหลายส่งออกมารับฟังความคิดเห็นของราษฎร แน่นอนว่าราษฎรธรรมดาไม่รู้เรื่อง 

 

 

ทุกผู้คนพลันหยุดฝีเท้าหยุดวาจาสนทนา มองไปข้างนอกอย่างเคร่งขรึม 

 

 

ทหารเกราะครามชุดดำกำลังรีบก้าวจัดแถววิ่งไปบนถนนทีละกอง ท่ามกลางม่านพิรุณใบหน้าที่อ่อนวัยแลเย็นยะเยือกแต่ละใบหน้า บนเกราะเหล็กสีครามเกาะผนึกด้วยหยาดธารที่หลั่งริน สะท้อนแสงครามมัวสลัวผืนหนึ่ง 

 

 

เสียงหนักแน่นดัง “พลั่ก พลั่ก พลั่ก” ของรองเท้าทหารวิ่งผ่านไปโดยพร้อมเพรียง คล้ายโจมตีบนหัวใจทุกคน 

 

 

“ทิศตะวันตกของเมือง…นั่นคือทิศทางไปยังตระกูลซัง…” มีผู้พึมพำประโยคหนึ่งนี้ออกมาแล้วพลันหุบปาก 

 

 

ทั่วทั้งโรงน้ำชาผนึกแน่นด้วยความเงียบสงัด เรื่องบางเรื่องทุกผู้คนรู้ดีอยู่แก่ใจ ในใจเกิดความเหน็บหนาวด้วยเพราะเข้าใจ 

 

 

ตระกูลใหญ่โตล่มสลายอีกตระกูลหนึ่ง แฝงนัยถึงการเริ่มต้นชำระล้างอีกรอบหนึ่ง แลการเริ่มต้นจัดสรรของคลื่นอำนาจลูกหนึ่ง 

 

 

บนโต๊ะที่ซอกมุม นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวเคาะบนผิวโต๊ะอย่างแผ่วเบา 

 

 

เคลื่อนไหวทหารคั่งหลงเยอะขนาดนี้ ด้วยเพราะตระกูลซังยังต่อต้านอย่างดื้อรั้นล่ะมั้ง? 

 

 

“เปรี้ยง!” 

 

 

เสียงหนึ่งดังสนั่นโดยพลัน สะเทือนจนโต๊ะเก้าอี้ทั้งโถงสั่นสะท้าน สะเทือนจนคนนับมิถ้วนลุกนั่งไม่ได้ต้องกระโดดขึ้นมา สะเทือนจนข้าวผัดของเจ้าหมาโง่พลิกคว่ำ สะเทือนจนเนื้อแพะในปากเฟยเฟยลอยล่อง 

 

 

โถงร้าน กระทั่งถนนทั้งสายต่างตกอยู่ในความเงียบสงบครู่หนึ่ง 

 

 

แววตาของจิ่งเหิงปัวนิ่งงัน นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างแข็งทื่อ หูของนางดังหวึ่งๆ โดยตลอด…สายฟ้านี้ดังเกินไปแล้ว! คล้ายว่าดังอยู่ข้างหู 

 

 

สายฟ้าใกล้ขนาดนี้ คงจะอยู่แถวนี้ คงจะผ่าลงสิ่งของ… 

 

 

ตอนที่กำลังครุ่นคิด พลันมีตะโกนร้องเสียงหนึ่งบนถนน 

 

 

“ไฟไหม้แล้ว!” 

 

 

ดังครืนเสียงหนึ่ง คนทั่วทั้งโรงน้ำชาต่างวิ่งออกไปแล้ว 

 

 

จิ่งเหิงปัวย่อมไม่ช้ากว่าผู้อื่น มือหนึ่งคว้าสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง เบียดเสียดกลางฝูงชนม้วนกายออกไป ชุ่ยเจี่ย จื่อหรุ่ยพวกนางอยากปกป้องต่างมาไม่ทัน 

 

 

ผู้คนบนถนนวิ่งไปวิ่งมาต่างกำลังตะโกนร้องอย่างตื่นตะลึง ทว่ามองไม่เห็นว่าของสิ่งไหนถูกฟ้าผ่า จิ่งเหิงปัวกลับมองไปทางพระราชวังอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย 

 

 

นางแค่เป็นห่วงที่นั่น 

 

 

แวบหนึ่งนี้อดจะตกตะลึงไม่ได้ 

 

 

เป็นไฟไหม้พระราชวังจริงด้วย! 

 

 

“กลับไป! กลับไปเดี๋ยวนี้!” จิ่งเหิงปัวไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียววิ่งไปยังรถม้าที่จอดอยูข้างถนน 

 

 

วันนี้นางและจื่อหรุ่ยชุ่ยเจี่ยพวกนางแอบออกจากวัง เพื่อมองดูผลลัพธ์การเสแสร้งแสดงเมื่อหลายวันก่อน และฉวยโอกาสหาแผงทำเลดีสักแผงบนถนนใหญ่จิ่วกง วางแผนจัดตั้งสาขาห้างสรรพสินค้าผู้หญิงร้านแรกของนาง 

 

 

ขณะนี้ย่อมไม่มีความคิดนั้นแล้ว 

 

 

ทว่าเพียงแวบเดียวรถม้าไปไม่ได้แล้ว ทหารคั่งหลงเริ่มภาวะฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว รถม้าของจิ่งเหิงปัวติดอยู่ตรงที่ซึ่งห่างจากพระบรมมหาราชวังสองช่วงถนน 

 

 

แน่นอนว่านางสามารถหายตัวออกไปได้ แต่ว่าไม่วางใจทิ้งชุ่ยเจี่ยจื่อหรุ่ยหลายนางอยู่บนถนนที่วุ่นวายนี้ ได้แต่ลุกออกมาจากห้องโดยสารมองดูทิศทางที่ควันหนาลอยออกมาโดยละเอียด คล้ายอยู่บริเวณจิ้งถิง อดจะร้อนใจดั่งไฟแผดเผาไม่ได้ 

 

 

พลันมีทหารกองหนึ่งก้าวเดินรวดเร็วออกจากพระบรมมหาราชวัง กวาดผ่านใกล้เข้ามาตลอดทาง จิ่งเหิงปัวมองเห็นจากไกลๆ ว่าพวกเขาคล้ายคุ้มกันรถม้าคันหนึ่งออกไป ในใจกระตุกวูบ รีบเร่งกะพริบเรือนร่างตามขึ้นไปตามติดอยู่ข้างหลังกองทัพนั้น ได้ยินพวกเขาเอ่ยว่า “สำนักเจาหมิงถูกทำลาย…” 

 

 

จิ่งเหิงปัวถอนหายใจยืดยาวออกมาเฮือกหนึ่ง ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนทันที อีกเดี๋ยว มือไพล่หลังเดินกลับไปเชื่องช้า 

 

 

สำนักเจาหมิงถูกฟ้าผ่าก็ผ่าไปสิ ถึงอย่างไรภัยพิบัติแบบเหยียลี่ว์ฉีนั้นผ่าตายไปหลายๆ คนจะดีที่สุด