ตอนที่ 66 - 4 เปล่งประกายให้ตาเจ้าบอด

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

เดินไปหลายก้าว นางหยุดยืนกะทันหัน 

 

 

ผิดปกติ 

 

 

มีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นเสียที่ไหน สายฟ้านี้เพิ่งผ่าหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ แล้วผ่าสำนักเจาหมิงอีก? 

 

 

แน่นอนว่าด้วยเพราะหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ถูกฟ้าผ่าก่อน ฉะนั้นการถูกฟ้าผ่าของสำนักเจาหมิงแลดูไม่สะดุดตาขนาดนั้น คล้ายว่าบรรลุผลสำเร็จ แต่นางยังคงรู้สึกว่าผิดปกติ 

 

 

ขนทั่วร่างนางลุกขึ้นมากะทันหัน…สำนักเจาหมิงถูกฟ้าผ่าครั้งนี้ คงจะไม่ใช่เหยียลี่ว์ฉีเล่นเองกำกับเองล่ะมั้ง? 

 

 

ทางนางนี้เพิ่งจะขโมยกระบี่ล่อสายฟ้าไป ทางเขานั้นก็ล่อสายฟ้ามา? คงจะไม่ใช่ว่านางสร้างแรงบันดาลใจให้เขาล่ะมั้ง? 

 

 

จิ่งเหิงปัวเคยพบเห็นสติปัญญาของเหยียลี่ว์ฉี รู้สึกว่าเป็นไปได้อย่างยิ่ง ฟ้าผ่าครั้งหนึ่งบนหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้สำหรับคนอื่นแล้วเป็นเพียงเรื่องราวหนึ่งหรือคำนินทาหนึ่ง สำหรับเขาแล้วอาจจะเป็นการเริ่มต้นของความคิดเฉียบแหลม โอกาสดีที่จะหลุดพ้นจากความลำบาก 

 

 

“เฮ้ หลังจากเจ้าขโมยสายล่อฟ้าที่หอคอยสูงของกองเซ่นไหว้มาแล้ว นำไปวางไว้ที่ใด?” สุดท้ายแล้วนางนึกขึ้นมาได้ว่าต้องถามเฟยเฟย 

 

 

เฟยเฟยล้วงซาลาเปาเนื้อที่ไม่รู้ว่านำมาจากที่ใดออกมาจากในหาง ประคองไว้ค่อยๆ เคี้ยว ดวงตากลมโตกะพริบอย่างเชื่องช้าคล้ายกำลังหวนคิด หวนคิดจนจิ่งเหิงปัวแทบอดรนทนไม่ไหหวแล้ว ส่ายหน้า…อย่างเชื่องช้าในที่สุด 

 

 

จิ่งเหิงปัวอยากจะกดศีรษะใหญ่โตที่มีสีหน้าไร้เดียงสานั้นของมันเข้าไปในซาลาเปาอย่างมาก 

 

 

ตั้งใจขโมยไม่ตั้งใจฝัง ทำไมเหล่าสัตว์เลี้ยงของนางถึงไว้ใจไม่ได้สักตัว 

 

 

แต่ในเมื่อไม่ใช่จิ้งถิงเกิดเรื่อง นางเองก็ไม่คิดจะกลับวังทันทีแล้ว ถึงอย่างไรเหยียลี่ว์ฉีจะกระทำความคิดชั่วร้ายอะไรย่อมมีกงอิ้นคอยรับไว้ ในความเห็นของนาง การประลองฝีมือของสองมหาเทพลึกล้ำจะตาย นางน่ะไม่เชื่อว่ากงอิ้นไม่มีปัญญาฆ่าเหยียลี่ว์ฉีและไม่เชื่อว่าเหยียลี่ว์ฉีกระทำการตายกันไปข้างหนึ่งไม่ได้ เพียงแต่การประลองฝีมือของสองคนนี้คล้ายดำรงอยู่ภายในขอบเขตหนึ่งอย่างรู้ซึ่งกันและกันอย่างยิ่งตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ บางครั้ง การต่อสู้ของผู้มีอำนาจจำเป็นต้องครุ่นคิดให้มากยิ่งขึ้น ถ่วงน้ำหนักสร้างความสมดุลล่ะมั้ง 

 

 

จิ่งเหิงปัวคิดว่าเซลล์สมองล้ำค่าของตนเองไม่เหมาะสมจะใช้ครุ่นคิดเรื่องน่าเบื่อหน่ายเหล่านี้ นางตัดสินใจว่าอย่างไรก็ไปตรวจตราร้านค้าสักหน่อยดีกว่า 

 

 

“หน้าร้านร้านนั้นไม่เลว” จิ้งอวิ๋นพลันชี้ไปยังหน้าร้านแห่งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นมา 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูหน้าร้านนั้น คนเยอะแยะมากมายวุ่นวายเล็กน้อยคล้ายกำลังย้ายของ ตำแหน่งหน้าร้านทำเลดีอย่างยิ่ง ตั้งอยู่ใจกลางถนนใหญ่จิ่วกงทั้งสี่ทิศพอดี เส้นทางเชื่อมต่อทั่วถึงกัน บริเวณโดยรอบฝูงชนแน่นขนัด เป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับทำการค้าขาย 

 

 

“ร้านค้าดีขนาดนี้ ดูท่าทางกลับคล้ายจะเลิกกิจการ?” จื่อหรุ่ยกลับพึมพำอย่างประหลาดใจเสียงหนึ่ง 

 

 

“ไปดูหน่อย” จิ่งเหิงปัวเกิดความรู้สึกสนใจ 

 

 

พอถึงปากประตู ลูกจ้างที่อยู่ภายในต่างยกของย้ายไปไปข้างนอกดังคาดการณ์ ของใช้**บห่อทั่วพื้น ซ้ำยังมีคนแต่งกายมาปะปนด้วยบางส่วน ฉวยโอกาสยามคนมากปะปนเข้าไปก่อเรื่องยามชุลมุนบ่อยครั้ง หยิบสิ่งของแล้วไปก็ไม่มีใครสนใจ 

 

 

“ทำต่อไม่ไหวหนีไปแล้วหรือ?” จิ่งเหิงปัวประหลาดใจอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ทำเลทองที่ดีขนาดนี้ หลับหูหลับตาทำยังหาเงินได้เลย” 

 

 

นางอดจะชะเง้อไปยังปากประตูไม่ได้ ครุ่นคิดว่าในเมื่อร้านนี้ทำต่อไม่ไหวแล้ว คงฉวยโอกาสคว้าเอาไว้ได้ใช่ไหม 

 

 

“เจ้าของร้านของพวกเจ้าอยู่ที่ใด?” นางถามลูกจ้างข้างกายคนหนึ่งซึ่งยุ่งอยู่กับการเก็บกวาดสิ่งของ 

 

 

เจ้าผู้นั้นไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ เอ่ยเสียงอู้อี้ว่า “หนีไปแล้ว!” 

 

 

จิ่งเหิงปัวยังจะถามต่อ ข้างหลังแว่วเสียงเสียงตะโกนดุดันมากะทันหัน 

 

 

“หลีกไปๆ!” 

 

 

“ไสหัวไป! ผู้ใดอนุญาตให้พวกเจ้ามาปล้น?” 

 

 

“ร้านค้าของตระกูลซัง พวกเจ้ายังกล้าปล้น?” 

 

 

เดิมทีจิ่งเหิงปัวจะหลีกทาง ได้ยินวาจาประโยคนี้ ฝีเท้าหยุดชะงัก 

 

 

นางหันหน้ากลับมา มองเห็นชายชาตรีชุดดำกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ ขับไล่คนที่ฉวยโอกาสยามชุลมุนภายในร้านออกไประลอกหนึ่ง รีบร้อนเข้าไปในบริเวณส่วนลึกภายในร้าน ผ่านไปไม่นาน ผู้ชรากลุ่มหนึ่งกรูกันออกมา หิ้วห่อผ้าขนาดใหญ่หลายห่อกะพริบวูบออกมาจากประตู 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูห่อผ้าหลายห่อนั้น ดวงตากำลังเปล่งแสงสีเขียว…ข้างในนี้เป็นเงินทั้งหมดเลย! ทรัพย์สินในร้านค้าที่ทำเงินที่มีค่าที่สุดของตระกูลซังชิ้นหนึ่งนะ! 

 

 

ทุกหนทุกแห่งใต้ผืนฟ้านี้ มิมีที่ใดไม่ใช่ผืนแผ่นดินของกษัตริย์ เงินพวกนี้เป็นเงินของนางทั้งหมดนะ! 

 

 

จะถูกตระกูลซังหอบหนีไปแบบนี้ได้อย่างไรกัน? ร้านค้าร้านหนึ่งหอบหนีไปมากขนาดนี้ กิจการมากมายขนาดนั้นของตระกูลซังจะหอบหนีไปเท่าไรแล้ว? หอบเงินหนีไปเตรียมจะทำอะไร? เกณฑ์ทหารซื้อม้ามาแก้แค้นนางเหรอ? 

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่อยากยอมรับว่าที่จริงแล้วนางกำลังเงินขาดมือ 

 

 

เป็นราชินีดูคล้ายทรงเกียรติร่ำรวยมั่งคั่ง แต่ราชินีที่ไม่มีอำนาจทางทรัพย์สินกับอำนาจการใช้ชีวิตนางหนึ่ง อำนาจในการควบคุมกับการใช้สอยที่มีต่อเงินทองย่อมมีจำกัด นางไม่มีอะไรตรงไหนให้ต้องใช้เงิน การจัดสรรทุกสิ่งเป็นหน้าที่รับผิดชอบของกองตรวจการวัง ฉะนั้นนางไม่มีสิ่งของประเภทเงินรายเดือน เงินที่สามารถใช้สอยได้ทุกครั้งเพียงพันตำลึงเล็กน้อย ยังต้องผ่านกองตรวจการวังรายงานให้ราชครูอนุญาต 

 

 

นางอยากเปิดสาขาห้างสรรพสินค้าสำหรับผู้หญิง พันตำลึงย่อมไม่พอใช้ หากขอเงินบ่อยครั้งจะต้องทำให้ราชสำนักตกใจอย่างแน่นอน นี่คือสิ่งที่นางไม่อยากมองเห็น 

 

 

เดิมทีนึกว่าอัญมณีที่นางแย่งมาจากในมือของต้าฮวงองครักษ์นั้นมีค่า ผลลัพธ์คือถูกบอกว่านอกจากมรกตที่หาได้ค่อนข้างยากแล้ว อัญมณีที่เหลือด้วยเพราะต้าฮวงผลิตมากเกินไปจึงลดมูลค่าลงในพื้นที่นี้ นางแบกมาอย่างลำบากยากเข็ญตลอดทางโดยเสียแรงเปล่า! 

 

 

จิ่งเหิงปัวกัดฟันถลึงตากำหมัดอยู่ปากประตูร้านค้าเขา ตัดสินใจว่าจะนำเงินพวกนี้เก็บกลับสู่ท้องพระคลังให้หมด 

 

 

จะลงมือต้องรีบหน่อย การดำเนินการของกงอิ้นรวดเร็วเช่นกัน ทหารที่เขาจัดสรรให้ตรวจสอบอายัดกิจการของตระกูลซังกำลังแข่งกับเวลาเช่นกัน ถ้าที่หนึ่งนี้ถูกพบเข้า คงไม่มีส่วนของนางแล้ว 

 

 

“ดูสิทางนั้นมีผี!” จิ่งเหิงปัวชี้ไปยังด้านข้างตะโกนเสียงหนึ่งทันที 

 

 

ทุกคนมองไปทางนั้นด้วยจิตสำนึก เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบ ทุกคนที่ไม่ได้สิ่งใดเลยสักอย่างหันหน้ากลับมาอีกครั้ง ร้องว่า “อ๊ะ คนล่ะ?” 

 

 

พวกจื่อหรุ่ยทยอยค้นหาทุกหนทุกแห่ง ไม่ได้สิ่งใดเลยสักอย่าง 

 

 

อวี่ชุนที่อวบอ้วนเบียดออกมาจากมุงดูกลางฝูงชน ขมวดหัวคิ้วมองดูสตรีที่ตะลีตะลานหลายนางนั้น ถอนหายใจเสียงหนึ่ง 

 

 

เฮ้อ องค์ราชินีองค์นี้ เหตุใดแต่ไหนแต่ไรมาถึงไม่ยอมหยุดพักเล่า? 

 

 

เขาล้วงไข่มุกเม็ดหนึ่งออกมาจากในอ้อมแขน ใจกลางไข่มุกผุดเผยเส้นโลหิตเส้นหนึ่ง ลอยล่องเชื่องช้ากลางไข่มุก 

 

 

“นางยังอยู่แถวนี้…อ๊ะไม่ใช่แล้ว!” 

 

 

อวี่ชุนเบิกตากว้าง พบว่าความเคลื่อนไหวของเส้นโลหิตในไข่มุกเริ่มจางลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

“ซวยแล้วไปแล้ว!” 

 

 

อวี่ชุนถือไข่มุกไว้ตามไปข้างหน้าหลายก้าว เหลียวซ้ายแลขวามองดูความเปลี่ยนแปลงของเส้นโลหิต เส้นโลหิตเผยให้เห็นว่าคนยังอยู่แถวนี้ ทว่าระยะทางไกลออกไปอย่างรวดเร็ว องค์ราชินีน่าจะกำลังเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว 

 

 

ทว่า! 

 

 

แววตาของอวี่ชุนสืบค้นกลางฝูงชนหลายรอบ หน้าผากค่อยๆ มีเหงื่อซึมออกมา 

 

 

คนอยู่ที่ใดกันแน่? 

 

 

ในรถม้าตระกูลซัง ผู้ชราหลายคนกำลังเก็บกวาดห่อผ้าอย่างตึงเครียด นำสิ่งของที่มีมูลค่าแยกประเภทบรรจุห่อตามลำดับ 

 

 

“ประเดี๋ยวพวกเราจะไปที่ใด? เฟิงหลิงตู้หรือ? เตรียมเรือไว้แล้วหรือยัง? มีคนมารับหรือไม่?” คนผู้หนึ่งเอ่ยปากด้วยสีหน้าท่าทางระมัดระวัง 

 

 

“ไม่…เฟิงหลิงตู้เป็นเพียงแผนการที่ใช้หลอกล่อกงอิ้น พวกเราไม่ต้องไปที่นั่น ประเดี๋ยวพวกเรากับผู้นำตระกูล…” ผู้ที่เอ่ยวาจาก้มหน้าลง พลันมองเห็นผ้าแดงชายหนึ่ง ยังนึกว่าเป็นผ้าห่อผืนใดที่ร่วงลงมา ยื่นมือเตรียมคว้าเอามาห่อสิ่งของ คว้ามาครั้งหนึ่งไม่ขยับ จากนั้นได้ยินเสียงหัวเราะเยาะ 

 

 

เสียงเกียจคร้าน 

 

 

พอเขาเงยหน้า ขนลุกขึ้นมาฉับพลัน เปล่งเสียงสั้นๆ ดัง “อ๊าก!” เสียงหนึ่ง 

 

 

ไม่รู้ตั้งแต่ยามใดเบื้องหน้ามีคนผู้หนึ่งเพิ่มขึ้นมา กระโปรงสีแดงกรอมพื้น แย้มยิ้มดุจมวลผกา 

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มนั่งยองอยู่เบื้องหน้าเขา ไพล่มืออยู่ข้างหลัง กล่าวทักทาย ”ไฮ สวัสดีตอนบ่ายนะ” 

 

 

สองคนรีบร้อนกระโดดขึ้น กำลังจะกรีดร้อง 

 

 

“พลั่กๆ” สองเสียง ก้อนอิฐที่เตรียมไว้นานแล้วสองก้อน ซ้ายข้างหนึ่งขวาข้างหนึ่งตบบนหน้าผากสองคนอย่างรุนแรง 

 

 

ลูกน้องตระกูลซังสองคนไม่ได้แค่นเสียงแม้แต่เสียงหนึ่งด้วยซ้ำ อ่อนยวบล้มลงบนพื้นแล้ว 

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิฮิ โยนก้อนอิฐทิ้ง ปรบมือ หิ้วห่อผ้าหนักหน่วงสองห่อนั้นขึ้น แบกไว้บนไหล่อย่างยากลำบาก เพิ่งคิดจะหายตัว ขมวดคิ้วทันที 

 

 

รถม้าเตี้ยเกินไป นางยืนตัวตรงไม่ได้ ไร้หนทางหายตัวออกไป 

 

 

จิ่งเหิงปัวกลับไม่ค่อยกังวลเท่าไร รอให้รถม้าหยุดลง นางมุดออกไปแล้วหายตัวทันที คิดแล้วคงไม่มีปัญหา 

 

 

ความเร็วรถม้าเพิ่มมากขึ้น จิ่งเหิงปัวแอบเลิกผ้าม่านรถมองออกไปข้างนอกพบว่ารถม้าคล้ายไม่ได้ออกไปนอกเมือง แต่กลับแล่นไปยังเขตราษฎรยากจนทางทิศเหนือของนครหลวง 

 

 

ในใจจิ่งเหิงปัวรู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้าง กล่าวกันตามตรงขณะนี้ตระกูลซังคือเหมือนสุนัขไม่มีเจ้าของ กงอิ้นกำลังสืบค้นบ้านของกลุ่มนี้ ถ้าตระกูลซังฉลาดสักหน่อยควรจะหนีออกนอกเมืองไปนานแล้ว กล่าวกันว่าตระกูลซังค่อนข้างมีอำนาจในเผ่าใดเผ่าหนึ่งเช่นกัน ขอเพียงหนีออกไปได้ ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะไม่อาจกลับมามีอำนาจอีกครั้ง 

 

 

ตอนนี้ไปทางในเมืองจะก่อปัญหาอะไรอีก? หรือว่าลูกน้องตระกูลซังสองคนนี้คือคนทรยศ ไม่คิดจะวางแผนหนีตามไป นำทรัพย์สินออกไปเตรียมหลบหนีด้วยตนเอง? 

 

 

แบบนี้ยิ่งดี 

 

 

จิ่งเหิงปัวนั่งลงอย่างสบายอกสบายใจ ตระเตรียมตรวจนับทรัพย์สินของตนเองสักหน่อย จมูกได้กลิ่นทันทีอกระซิบว่า “กลิ่นรถม้านี้แปลกๆ นิดหน่อยแฮะ’ 

 

 

รถม้ามีกลิ่นประหลาดที่บรรยายไม่ได้ ฉุนเล็กน้อยเหม็นเล็กน้อย เดิมทีนางนึกว่ามาจากร่างของผู้ชราสองคน ภายหลังรู้สึกตัวว่าคล้ายมีกลิ่นนี้อยู่ทุกหนทุกแห่ง คล้ายเป็นกลิ่นที่คันรถม้าเองปล่อยออกมา 

 

 

สำรวจรถม้านี้โดยละเอียด คล้ายว่าเก่าไปหน่อย บนตัวรถมีรอยแตกเล็กๆ บางส่วนรำไร มองเห็นข้างในเป็นวัตถุสีดำชั้นหนึ่ง ไม่เหมือนท่อนไม้ กลิ่นหอบนั้นเข้มข้นอย่างยิ่งในรอยแตกเหล่านั้น 

 

 

ในใจของจิ่งเหิงปัวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ด้วยกำลังทรัพย์ของตระกูลซัง ต่อให้เป็นพ่อบ้านธรรมดาคล้ายคงไม่ควรใช้รถม้าที่ผุผังขนาดนี้มั้ง 

 

 

รถม้าสะท้านครั้งหนึ่งกะทันหัน หยุดลงแล้ว 

 

 

เอ๊ะ ทำไมเร็วขนาดนี้? 

 

 

จิ่งเหิงปัวยกห่อผ้าไว้มั่น รออยู่ข้างรถม้า เตรียมว่าพอรถม้าถูกเปิดออก นางจะพุ่งออกไป 

 

 

ทว่ารถม้าไม่มีใครเปิดประตูเสียที รอบด้านมีฝีเท้าสับสนวุ่นวายคล้ายมีคนมากมาย มีผู้กำลังเอ่ยวาจาแผ่วเบา เสียงสะท้อนหวึ่งๆ ลำแสงมืดลงมาแล้ว รถม้าคล้ายแล่นเข้าสู่ห้องกว้างโล่งขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง 

 

 

จากนั้นจิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงล้อรถดังกุกกักอีก คล้ายมีรถม้าแล่นเข้ามาอีก จากนั้นมีคนลงรถ เสียงน้อมคำนับสับสนวุ่นวายผืนหนึ่ง นางฟังงอยู่ ในใจพลันมีความรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี 

 

 

คนที่ลงมาจากรถม้าคันหลังคล้ายระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง ยามแรกเริ่มไม่เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว เดินไปสองก้าวถึงเอ่ยว่า “มากันครบแล้วหรือยัง?” 

 

 

จิ่งเหิงปัวเกือบจะอุทานอย่างตกตะลึง 

 

 

ซังต้ง!