ตอนที่ 210 วิกฤติ

ลำนำสตรียอดเซียน

โม่เทียนเกอรู้มานานแล้วว่าซั่งกวนอวิ๋นเฮ่าจะต้องลงเอยเช่นนี้ เริ่นอวี่เฟิงเกลียดชังศิษย์ที่มีต้นทุนสูงจากกลุ่มการฝึกตนที่สุด และเห็นได้ชัดว่าซั่งกวนอวิ๋นเฮ่าก็เป็นคนแบบนั้น เพราะฉะนั้นเขาจะร่วมมือกับซั่งกวนอวิ๋นเฮ่าอย่างจริงใจได้อย่างไร

 

 

ไม่เพียงแต่เขาจะไม่มีการหยั่งรู้ตนเอง แต่เขายังโง่อย่างกับหมูอีกด้วย ซั่งกวนอวิ๋นเฮ่าที่ตกมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็สมควรแล้ว

 

 

แต่ถึงอย่างไร แววความเศร้าเล็กน้อยก็ยังปรากฏขึ้นบนใบหน้าผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวเมื่อพวกนางมองศพของเขา ท้ายที่สุดแล้วนี่ก็เป็นศิษย์ที่พวกนางเลี้ยงดูมามากกว่าร้อยปี พวกนางจะไม่รู้สึกอะไรเลยกับการเห็นเขาตายด้วยน้ำมือของคนอื่นได้อย่างไร

 

 

ขณะที่เริ่นอวี่เฟิงมองพวกผู้ฝึกตนหญิงเบื้องหน้าเขา รอยยิ้มมืดมนค่อยๆ เกิดขึ้นบนใบหน้า “ในเมื่อเขาตายแล้ว ตอนนี้ก็ถึงตาเจ้าล่ะ!”

 

 

ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวผลักเว่ยเฮ่าหลานมาทางโม่เทียนเกอที่ยืนอยู่ข้างหลังพวกนาง จากนั้นเหวี่ยงเชือกสีทองในมือนางและยิ้มเยาะ “ไม่แน่ใจว่าตาใครกันแน่!”

 

 

“ถ้างั้นก็ดูด้วยตัวเองแล้วกัน!” เริ่นอวี่เฟิงพูดขณะที่เขาเคลื่อนพลังมารของเขาอีกครั้ง

 

 

เมื่อเห็นพวกเขาเริ่มสู้กันอีกครั้ง โม่เทียนเกอช่วยพยุงเว่ยเฮ่าหลานขึ้นและพานางไปอยู่ที่มุม “ท่านเจ้าสำนักเว่ย ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

เว่ยเฮ่าหลานไอออกมาเป็นเลือดและพยายามจะพูด “ข้า…”

 

 

“อย่าพูด!” โม่เทียนเกอเอายารักษาออกมาและป้อนให้นาง “ท่านผู้อาวุโสทั้งสองอยู่ที่นี่ ท่านควรจะพักฟื้นเสียก่อน”

 

 

เว่ยเฮ่าหลานพยักหน้าแล้วจึงกลืนยา โดยไม่รอช้า นางนั่งขัดสมาธิเพื่อเข้าฌาน

 

 

โม่เทียนเกอเหลือบตาขึ้นมองและเห็นผู้อาวุโสทั้งสองกับเริ่นอวี่เฟิงกำลังสู้กันอย่างดุเดือด ถึงแม้ตอนนี้เริ่นอวี่เฟิงจะแข็งแกร่ง แต่ผู้อาวุโสทั้งสองก็ไม่เสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นการร่วมมือกันของพวกนางก็ยอดเยี่ยม ดังนั้นโอกาสชนะของพวกนางจึงมากพอๆ กัน

 

 

อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ เริ่นอวี่เฟิงมั่นใจมากเกินไป ไม่น่าจะเป็นเพราะเขาสมรู้ร่วมคิดกับซั่งกวนอวิ๋นเฮ่า เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้จริงจังกับซั่งกวนอวิ๋นเฮ่าสักเท่าไหร่นัก ที่จริงแล้วเป็นไปได้มากว่าเขาแค่หลอกใช้ซั่งกวนอวิ๋นเฮ่าเพื่อให้รู้ถึงสถานการณ์ภายในสภาปี้เซวียนและทลายกำแพงอาคมและม่านพลังของสภาปี้เซวียนเข้ามา

 

 

ถ้าเช่นนั้นความมั่นใจของเขามาจากไหน

 

 

โม่เทียนเกอไม่เข้าใจเรื่องนี้จริงๆ

 

 

ไม่ว่ากรณีใดนางก็ไม่เคยเป็นคนประเภทที่นั่งอยู่เฉยๆ เงียบๆ เพื่อรอความตายอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อนางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดไป นางจึงเอาคู่มือม่านพลังอย่างง่ายออกมาจากชุดคลุมและวางม่านพลังสัตว์จตุรเทพร้อยบุฝผารอบตัวนาง

 

 

ทันทีหลังจากนั้น นางก็ขยับอาวุธเวทและเครื่องมือเวทหลายอย่างไว้ในที่ที่นางสามารถเก็บกลับมาได้อย่างง่ายดาย เครื่องรางเวทที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอเตรียมไว้ให้อยู่ในมือนางเรียบร้อยแล้ว จากนั้นนางมุ่งความสนใจไปที่สถานะของการต่อสู้ ถ้าเกิดมีช่วงเวลาเสี่ยงชีวิตถึงตาย นางตั้งใจจะหนีเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางโดยตรงทันที

 

 

ถึงแม้นางจะมีสมบัติหลายอย่าง แต่ความแตกต่างระหว่างผู้ฝึกตนในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานนั้นยิ่งใหญ่เกินไป ถ้าทั้งผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวไม่สามารถทนอยู่ต่อไปได้ นางก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องช่วยชีวิตตัวเองก่อน

 

 

ความร่วมมือของผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวนั้นสุดยอด ขวดหยกของผู้อาวุโสชิงอี้ถูกใช้เพื่อป้องกันในขณะที่เชือกทองของผู้อาวุโสชิงเมี่ยวถูกใช้เพื่อโจมตี เมื่อคนหนึ่งโจมตี อีกคนจะป้องกัน และเมื่อคนหนึ่งก้าวไปข้างหน้า อีกคนจะถอยไปข้างหลัง ไม่มีช่องว่างเลยแม้แต่นิดเดียวในการทำงานร่วมกันของพวกนาง เริ่นอวี่เฟิงผู้ไม่สามารถได้เปรียบเหนือพวกนางเริ่มจะดูทนไม่ไหวเข้าแล้ว

 

 

หลังจากสู้กันมาสักพักหนึ่ง ในที่สุดเริ่นอวี่เฟิงก็หมดความอดทน ขณะที่เขาใช้เส้นใยของพลังมารเพื่อสกัดกั้นการโจมตีของผู้อาวุโสชิงเมี่ยว เขาพูดอย่างเย็นชา “ยายแก่ เจ้าทั้งสองค่อนข้างมีฝีมือเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าข้าต้องใช้ทักษะเฉพาะตัวเสียแล้ว!”

 

 

โม่เทียนเกอกำลังดูด้วยความสนใจอย่างยิ่ง นางสันนิษฐานว่าเริ่นอวี่เฟิงคงมีบางอย่างที่ช่วยเขาได้ในยามคับขัน แต่นางไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นวิชาแบบไหนที่เขาคิดขึ้นมา

 

 

ผู้อาวุโสชิงอี้ยังคงสู้เหมือนเดิมอย่างก่อนหน้านี้โดยใช้กิ่งต้นหลิวเพื่อโปรยละอองจิตวิญญาณซึ่งเปลี่ยนเป็นแสงวิญญาณปกป้องร่างกาย

 

 

เริ่นอวี่เฟิงพ่นเสียงหัวเราะเยือกเย็น “แค่แสงเล็กน้อยบังอาจจะทาบรัศมีพระอาทิตย์และพระจันทร์! ฮึ่ม! ข้าจะแสดงให้เห็นว่าข้าทำอะไรได้!”

 

 

จังหวะที่เขาพูดจบ เขาก็ใช้ทั้งสองมือเพื่อประกอบท่ามุทรา กลุ่มก้อนพลังมารแท้หนาทึบปกคลุมทั่วทั้งร่างของเขา และในทันที มันเริ่มจะหมุนวนอยู่รอบตัวเขา

 

 

พลังมารนี้แปลกผิดปกติ ความสนใจของโม่เทียนเกอจับจ้องอยู่ที่เริ่นอวี่เฟิงมาโดยตลอด ดังนั้นนางจึงสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงกะทันหันในแรงเคลื่อนไหวของเขาได้ทันที ดูเหมือนว่า… ดูเหมือนว่าจู่ๆ ระดับการฝึกตนของเขาก็พุ่งสูงขึ้นทันที อย่างไรก็ตาม นางไม่ใช่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง นางจึงไม่สามารถเห็นว่าการฝึกตนของเขาพุ่งไปถึงขั้นไหน

 

 

ผู้อาวุโสชิงอี้มีปฏิกิริยาอย่างรวดเร็ว นางตะโกนทันที “ชิงเมี่ยว โล่เต่าดำ!”

 

 

ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวรีบคว้าเอาอาวุธเวทอันเล็กรูปร่างเหมือนโล่ออกมาทันที จากนั้นนางยกมือขึ้นทำให้โล่นั้นลอยขึ้นไปในอากาศและขยายขนาดในชั่วพริบตา

 

 

“ฮึ่ม!” เริ่นอวี่เฟิงมองดูฉากหน้านี้อย่างเย็นชา “ประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว!”

 

 

เมื่อเห็นสายตาเริ่นอวี่เฟิงจึงทำให้โม่เทียนเกอเอาผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกมาตามสัญชาตญาณและเปลี่ยนมันให้เป็นกำแพงอิฐซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้านางเพื่อปกป้องนางไว้

 

 

ในที่สุดเริ่นอวี่เฟิงก็เคลื่อนไหว เขาเขวี้ยงพลังมารก้อนกลมออกไปอีก แต่ครั้งนี้แรงเคลื่อนไหวของก้อนกลมนั้นยิ่งทรงพลังมากกว่าครั้งก่อน

 

 

“ปัง!” พลังมาร ละอองวิญญาณของผู้อาวุโสชิงอี้ และโล่ดำของผู้อาวุโสชิงเมี่ยวปะทะเข้าด้วยกัน

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกหัวหมุนและในเสี้ยววินาทีต่อมาร่างกายของนางก็กระเด็นออกไปและกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง

 

 

ชั่วขณะถัดมา นางดิ้นรนคลานขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบาก ดวงตานางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่ท่วมท้น

 

 

แรงเคลื่อนไหวนี้… นี่ไม่ใช่แรงเคลื่อนไหวของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังขั้นต้นอย่างแน่นอน! เริ่นอวี่เฟิงคงจะฝึกวิชาลับสักประเภทหนึ่งในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ นั่นเป็นคำอธิบายเดียวว่าทำไมเขาถึงมีกลอุบายแบบนี้ได้

 

 

หากนางไม่ได้วางม่านพลังสัตว์จตุรเทพร้อยบุปผาและมีผ้าเช็ดหน้าไหมขาวคอยกันนางไว้ เมื่อครู่นี้นางคงไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บแน่นอน ทว่าชีวิตนางก็อาจจะหลุดลอยไปทั้งอย่างนั้น

 

 

ตั้งแต่นางได้รับผ้าเช็ดหน้าไหมขาวมา นางต่อสู้มาหลายครั้งรวมถึงการต่อสู้กับสัตว์ปีศาจระดับห้าด้วย อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้รับบาดเจ็บรุนแรงเช่นนี้หลังจากนางใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมขาว

 

 

“แค่ก!” นางไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้างหลังนาง เว่ยเฮ่าหลานผู้ที่บาดเจ็บหนักอยู่ก่อนแล้วคอพับขณะที่นางหมดสติไป

 

 

โม่เทียนเกอหันไปทางผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยว ทั้งสองคนยังคงยืนอยู่ตอนนี้ แต่อาวุธเวทของคนหนึ่งแตกยับเยินและกำลังอยู่ในอาการตกใจสุดขีด ขณะที่อีกคนหนึ่งซึ่งเดิมได้รับบาดเจ็บอยู่แล้วกำลังกระอักเลือดเต็มปากและดูซีดเผือดอย่างมาก

 

 

“เจ้า…” ผู้อาวุโสชิงอี้ถลึงตาจ้องเริ่นอวี่เฟิง “นี่มันศาสตร์นอกรีตแบบไหนกัน!”

 

 

เริ่นอวี่เฟิงมองฉากตรงหน้าเขาด้วยความพึงพอใจขณะที่เขาเดินไปข้างหน้าทีละก้าว “ใครบอกเจ้าว่านี่คือเวทแห่งฝ่ายอธรรม ข้าคือบุตรแห่งเทพมังกร นี่คือวิชาลับของเทพมังกรต่างหาก!”

 

 

“วิชาลับของเทพมังกร” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวกลับมาได้สตินึกคิดอีกครั้งและจ้องถมึงทึงใส่เขา “เจ้าถูกปกคลุมไปด้วยพลังมารทั่วทั้งหมด แต่เจ้ายังกล้าพูดว่าเจ้าเป็นบุตรแห่งเทพมังกรอีกรึ หน้าด้าน!”

 

 

“เจ้า–” เริ่นอวี่เฟิงยกมือขึ้นอีกครั้ง ความเดือดดาลฝังลึกอยู่บนใบหน้าเขา

 

 

ผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวยกการป้องกันขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน อาวุธเวทป้องกันของพวกนางเสียหายไปแล้วตอนนี้ และพวกนางก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่ร่ำรวยไปด้วยทรัพย์สินมากมาย พวกนางแทบจะไม่เหลือเครื่องรางป้องกันใดๆ แล้วในตอนนี้

 

 

เริ่นอวี่เฟิงไม่ได้ใช้พลังมารโจมตีอีกระลอกอย่างที่เขาทำก่อนหน้านี้ เขากลับยิ้มอย่างวิปริตให้พวกนางแทน “มันคงจะน่าเสียดายจริงๆ ถ้าข้าไม่ปล่อยให้เจ้าได้ลิ้มลองกับสิ่งนี้ด้วยตัวเอง!”

 

 

ลิ้มลองอะไรด้วยตัวเอง

 

 

ก่อนที่โม่เทียนเกอจะสามารถเดาได้ว่าเริ่นอวี่เฟิงหมายความว่าอะไร นางเห็นเขายื่นมือออกไปและตะโกนอย่างดัง “จงลอยขึ้น!”

 

 

ในชั่วพริบตา ทั้งผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวตัวซีดเผือดไปด้วยความหวาดกลัว!

 

 

พลังมารที่เหลืออยู่จากการโจมตีครั้งก่อนจู่ๆ ก็พุ่งไปข้างหน้าราวกับมีชีวิต!

 

 

พลังมารนั้นเคลื่อนอย่างช้าๆ ไปทางพวกนางในท่าทางเคลื่อนไหวแบบหมุนวน

 

 

ผู้อาวุโสทั้งสองต่างอกสั่นขวัญหาย พวกนางถอยหลังไปหนึ่งก้าวแต่พลังมารนั้นก็เคลื่อนเข้ามาข้างหน้าอีกหนึ่งก้าวทันที พวกนางอยากจะใช้พลังวิญญาณเพื่อแยกพลังมารออกจากกันแต่ก็ไม่เป็นผล พลังมารนั้นทะลุผ่านการป้องกันของพวกนางเข้ามาได้อย่างง่ายดาย

 

 

“ศิษย์พี่!” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวร้องเรียกอย่างค่อนข้างเป็นกังวล

 

 

ถึงแม้ผู้อาวุโสชิงอี้จะสงบนิ่งกว่าเล็กน้อย แต่อาการบาดเจ็บของนางหนักกว่ามาก ตอนนี้นางไม่สามารถทำอะไรได้แม้นางจะต้องการก็ตาม

 

 

พลังมารเข้ามาใกล้พวกนางมากขึ้นเรื่อยๆ พวกนางรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดของพลังมาร หดหู่ เยือกเย็น และไร้ชีวิตชีวา มันทำให้เลือดของพวกนางเย็นเฉียบ

 

 

“ศิษย์พี่ นี่มันอะไรกัน!”

 

 

ผู้อาวุโสชิงอี้ซีดเซียวอย่างมาก แต่ใบหน้านางเต็มไปด้วยความตกใจอย่างสุดซึ้ง “นี่คือพลังมรณะ พลังมรณะ! ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว…”

 

 

พลังมรณะ โม่เทียนเกอมึนงง บัดนี้เศษเสี้ยวพลังดำมืดที่อยู่รอบตัวนางก็เริ่มจะเคลื่อนเข้ามาหานางเช่นกัน

 

 

“ถูกต้อง คนผู้นี้ฝึกตนด้วยพลังมรณะ! เขาซึมซับพลังมรณะของคนตาย!” ไม่น่าแปลกใจที่มีศิษย์หายตัวไปในช่วงหลังมานี้ พวกเขาคงจะถูกเริ่นอวี่เฟิงใช้เพื่อฝึกวิชาชั่วร้ายนี้!

 

 

ผูัอาวุโสชิงเมี่ยวรู้ว่าพลังมรณะคืออะไร หน้านางจึงซีดเผือดขึ้นทันที

 

 

พลังมรณะ… ที่จริงแล้วคือพลังวิญญาณพิเศษชนิดหนึ่ง มนุษย์ทั่วไปเรียกพลังชีวิตว่า “พลังหยาง” และพลังมรณะว่า “พลังหยิน” เมื่อในความเป็นจริงโลกแห่งการฝึกตนไม่ได้มองพลังเป็นเช่นนั้น มีทั้งหยินและหยางอยู่ในพลังชีวิต และพลังชีวิตของคนส่วนใหญ่รวมวัฏจักรของทั้งหยินและหยางด้วย ทว่าพลังมรณะนั้นแตกต่างกัน มันไม่ได้อยู่ท่ามกลางธาตุทั้งห้าและยังอยู่นอกเหนือขอบเขตของหยินและหยางอีกด้วย

 

 

เพราะเหตุนั้น มนุษย์จึงไม่สามารถสัมผัสกับพลังมรณะได้ ถ้าพวกเขาโดนเข้า พวกเขาจะถูกมันกัดกร่อนอย่างช้าๆ จนกระทั่งสูญเสียชีวิตและเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นคนตาย

 

 

เหมือนอย่างที่ชื่อนั้นสื่อความหมาย พลังมรณะคือพลังที่มีอยู่ได้แค่ในร่างกายของคนตายเท่านั้น

 

 

ทุกวันนี้เส้นทางฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมได้ถูกแยกออกจากกันมาเป็นเวลานานเหลือเกิน จึงไม่มีใครรู้ว่าผู้ฝึกตนจากฝ่ายอธรรมสามารถฝึกตนด้วยพลังมรณะได้หรือไม่ แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็รู้อยู่สิ่งหนึ่ง นั่นคือผู้ฝึกตนจากฝ่ายธรรมะจะไม่ฝึกตนด้วยพลังมรณะแน่นอน!

 

 

“ศิษย์พี่!” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวตื่นตระหนกเล็กน้อย “เราควรทำอย่างไรดี”

 

 

ผู้อาวุโสชิงอี้ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีกว่ากัน แต่สุดท้ายนางยังสามารถสงบลงได้ หลังจากครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ นางกัดฟันและพูดว่า “ไฟตานเถียน! พลังมรณะกลัวไฟ!”

 

 

แต่เริ่นอวี่เฟิงยังคงอยู่ที่นี่ พวกนางจะมีเวลากลั่นพลังมรณะที่รุกล้ำเข้ามาในร่างของพวกนางได้อย่างไร

 

 

“ศิษย์พี่!” ผู้อาวุโสชิงซีร้องเรียกขณะที่นางเดินออกมาจากห้อง ใบหน้านางซีดขาวและร่างกายของนางก็ดูเหมือนจะว่างเปล่า เห็นได้ชัดว่านางยังไม่ทันฟื้นพลังวิญญาณกลับมา “ข้าจะสกัดกั้นเขาไว้!”

 

 

“ศิษย์น้องชิงซี!”

 

 

ผู้อาวุโสชิงซียังคงนิ่งเงียบ แต่ตอนนี้มีตะกร้าดอกไม้ปรากฏขึ้นในมือนาง ดอกไม้ในตะกร้าดูเหมือนกับเพิ่งถูกเด็ดมาเมื่อครู่นี้เอง กลิ่นหอมของมันแผ่กระจายไปทั่วทุกที่

 

 

“ฮึ่ม!” เริ่นอวี่เฟิงไม่ได้คิดว่าผู้อาวุโสชิงซีเป็นภัยคุกคามเลยแม้แต่น้อย เขาส่งเสียงหัวเราะเย็นชาขณะที่พลังมรณะวนเวียนและหมุนอยู่รอบนิ้วของเขา

 

 

สีหน้าผู้อาวุโสชิงซีดูเคร่งเครียด นางล้วงมือเข้าไปในตะกร้าดอกไม้แล้วจึงโยนกลีบดอกไม้บางส่วนไปข้างหน้า

 

 

กลีบดอกไม้เหล่านี้เห็นได้ชัดว่าเบาพอๆ กับขนนก แต่มันมีพลังวิญญาณบ้าคลั่งอยู่ภายในซึ่งกระจายเข้าใส่เริ่นอวี่เฟิงโดยตรง

 

 

ใบหน้าเริ่นอวี่เฟิงดูสงบนิ่ง เขาเพียงแค่ยกมือขึ้นรวบรวมพลังมรณะอยู่ระหว่างนิ้วของเขา

 

 

วินาทีที่กลีบดอกไม้ปะทะเข้ากับพลังมรณะ พวกเขาได้ยินเสียงฉู่ฉี่เบาๆ ดอกไม้กลายเป็นสีดำภายในเสี้ยววินาทีอย่างไม่น่าเชื่อขณะที่มันถูกกัดกร่อนด้วยพลังมรณะ!

 

 

สีหน้าผู้อาวุโสชิงซีเปลี่ยนไป “เจ้า–”

 

 

“ฮ่าๆๆๆ!” เริ่นอวี่เฟิงหัวเราะออกมาดังๆ “เจ้าประเมินความสามารถตัวเองสูงเกินไป!” จากนั้นเขาสะบัดแขนเสื้อและทำท่าแกว่งไกว ปล่อยเส้นใยพลังดำมืดไปข้างหน้าจากภายในแขนเสื้อของเขา จากนั้นพลังดำมืดนั้นพันล้อมรอบตัวผู้อาวุโสชิงซี

 

 

“อ๊า!” ผู้อาวุโสชิงซีกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ตะกร้าดอกไม้ในมือนางตกลงสู่พื้น

 

 

พอได้เห็นสถานการณ์เบื้องหน้านาง โม่เทียนเกอทำใจแข็งแล้วจึงชี้ไปที่หว่างคิ้ว หากแม้แต่ผู้อาวุโสทั้งสามคนยังไม่สามารถหยุดเขาได้ นางก็มีแต่จะต้องเสียชีวิตไปอย่างไร้ประโยชน์แน่ถ้านางยังอยู่ที่นั่น ดังนั้นนางควรจะหนีเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนพักหนึ่งดีกว่า

 

 

ไข่มุกที่ฝังอยู่ระหว่างคิ้วของนางส่องแสง นางพึมพำร่ายคาถาบางอย่างจากนั้นจึงเคลื่อนเส้นใยพลังวิญญาณเข้าสู่ไข่มุก ในชั่วพริบตา แสงนั้นสว่างขึ้นและท่วมตัวนางจนมิด

 

 

แสงสว่างแสบตาเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานหลังจากนั้น โม่เทียนเกอที่คิดว่านางเข้ามาอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแล้วต้องตกใจสุดขีด

 

 

นางยังไม่ได้เคลื่อนไปไหน!

 

 

นางยังไม่ได้เข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน เกิดอะไรขึ้น

 

 

โม่เทียนเกอหน้าถอดสี อย่างไรก็ตาม นางชี้ไปที่พื้นที่ว่างตรงหว่างคิ้วอีกครั้งเพื่อเรียกไข่มุก ไข่มุกเปล่งแสงอีกครั้งแต่มันยังคงไม่มีผลอะไรถึงแม้นางจะเสกคาถาที่ต้องใช้ในการเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแล้วก็ตาม

 

 

นางเข้าสู่สภาวะหวั่นวิตกทันที ทำไมนางถึงไม่สามารถเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนได้ นี่เป็นวิธีหนีทางเดียวของนาง! ตอนนี้นางควรทำอย่างไรดีเมื่อนางไม่สามารถเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนได้

 

 

ทันใดนั้นนางรู้สึกถึงความเจ็บปวดมาจากตรงแขน เมื่อนางก้มลงมอง นางเห็นว่ามันดูเหมือนจะมีเส้นใยของพลังมรณะที่แทบมองไม่เห็นพันอยู่รอบแขนนาง ในชั่วขณะนั้นมันรู้สึกราวกับนางได้ตรัสรู้

 

 

พลังมรณะ! พลังมรณะทำลายร่างกายแห่งต้นกำเนิดของนาง ทำให้ร่างกายนางไม่สามารถสร้างความโกลาหลแรกเริ่มได้ และส่งผลให้มันกีดกันนางจากการเปิดโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน!

 

 

แต่เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสทั้งสามคนไม่สามารถถ่วงเริ่นอวี่เฟิงไว้ได้อีกนานนัก และด้วยนิสัยปัจจุบันที่วิกลจริตของเริ่นอวี่เฟิง เขาไม่ไว้ชีวิตนางแน่

 

 

นางควรทำอย่างไร นางควรทำอย่างไร สถานการณ์ปัจจุบันทำให้โม่เทียนเกอจมอยู่ในเหงื่อเย็นเฉียบจากความกลัวของนาง