ตอนที่ 209 ไม่มีอะไรจะพูด

ลำนำสตรียอดเซียน

โม่เทียนเกอเดินไปอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นจึงแอบมองลอดผ่านช่องว่างของประตู

 

 

ท่านผู้อาวุโสชิงอี้มีเลือดออกที่หน้าอกแต่นางก็ยังคงยืนอยู่ ท่านผู้อาวุโสชิงเมี่ยวยืนอย่างระมัดระวังอยู่ข้างๆ นาง ซั่งกวนอวิ๋นเฮ่ายืนห่างออกไปไม่ไกลจากพวกนางนัก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น สำหรับเริ่นอวี่เฟิง เขาทำตัวประหนึ่งเป็นผู้ชม ในขณะที่มองพวกนางโต้เถียงกันอย่างเพลิดเพลิน

 

 

“อย่าคิดว่าข้าจะเชื่อท่าน!” สีหน้าซั่งกวนอวิ๋นเฮ่าบิดเบี้ยว “จิตใจข้าไม่ได้อยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ ท่านก็เป็นส่วนหนึ่งอย่างแน่นอน!”

 

 

“ใช่! พวกข้าคือส่วนหนึ่ง!” ท่านผู้อาวุโสชิงเมี่ยวจ้องไปที่เขาด้วยสายตาที่ทิ่มแทง “พวกข้าตาบอดจริงๆ ที่เข้าข้างเจ้ามา สิ่งที่โหดร้ายนี้ ความเนรคุณในทุกอย่าง! เมืองหลินไห่ของพวกเรามักจะขัดสนในของต่างๆ แต่พวกข้าก็มักจะให้เจ้าเป็นคนที่ได้เลือกก่อนเสมอ! พวกข้าไม่เคยขอให้เจ้าทำภารกิจใด และปล่อยให้เจ้ามุ่งมั่นอยู่กับการฝึกตน! สุดท้ายแล้วพวกเราก็แค่ชุบเลี้ยงสุนัขจิ้งจอกตาขาวเท่านั้น!”

 

 

สุดท้ายแล้วซั่งกวนอวิ๋นเฮ่าก็เติบโตมาภายใต้การดูแลของผู้อาวุโสทั้งสาม ดังนั้นในตอนนี้เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับสายตาที่ดุดันของผู้อาวุโสชิงเมี่ยว พลังงานของเขาก็อ่อนลงและสายตาของเขาก็เริ่มหวาดกลัว

 

 

เริ่นอวี่เฟิงหัวเราะออกมาเบาๆ เขาเบนสายตาซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังมารผ่านผู้ฝึกตนหญิงไม่กี่คนที่อยู่ด้านหน้าเขา “หากเป็นเช่นนั้น ทำไมพวกเขาถึงไม่ปล่อยให้เจ้าไปที่คุนอู๋”

 

 

เมื่อได้ยินที่เริ่นอวี่เฟิงพูด ซั่งกวนอวิ๋นเฮ่ายืดอกขึ้นอีกครั้ง “ใช่! พวกท่านไม่มีทางเลือกนอกจากฝึกข้าเพื่อประโยชน์ในอนาคตของกลุ่ม! พวกท่านกลัวว่าข้าจะไม่ยินดีกลับมาที่หลินไห่หากข้าไปที่คุนอู๋ ดังนั้นพวกท่านจึงอยากให้ข้าติดอยู่ที่หลินไห่นี่ไปตลอดชีวิต!”

 

 

โม่เทียนเกอรู้ถึงเหตุผลในข้อนี้

 

 

ตอนที่นางไปที่เจดีย์บรรลุเต๋าเพื่อพบกับเหล่าอาวุโสทั้งสามเมื่อหลายวันก่อน นางสามารถสัมผัสได้ถึงเจตนาที่แท้จริงจากคำพูดของผู้อาวุโสทั้งสาม สภาปี้เซวียนนั้นขาดคนที่มีความสามารถ ดังนั้นพวกเขาไม่กล้าปล่อยให้ศิษย์ที่มีต้นทุนดีออกไปจากกลุ่มเพื่อสะสมประสบการณ์ เหตุผลนั้นไม่ได้เหมือนกับสิ่งที่ซั่งกวนอวิ๋นเฮ่าพูดแม้แต่น้อย

 

 

จิตใจซั่งกวนอวิ๋นเฮ่านั้นไม่ได้อยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง นี่เขาคิดจริงๆ หรือว่าคนอื่นๆ นั้นจะต้องทำตามใจเขาแค่เพียงเพราะเขามีต้นทุนดี ในคุนอู๋คนที่มีรากวิญญาณกลายพันธุ์นั้นจะถูกแย่งชิงจากทุกกลุ่มการฝึกตน แต่ถ้าหากคนพวกนั้นคิดว่ากลุ่มจะให้ทุกอย่างกับพวกเขาเพียงเพราะมีรากวิญญาณกลายพันธุ์ ก็จะมีแต่ทำให้คนอื่นดูถูกพวกเขาเท่านั้น

 

 

ถึงแม้ว่าสภาปี้เซวียนนั้นจะขาดแคลนของต่างๆ พวกเขาก็ให้เพื่อการฝึกตนของซั่งกวนอวิ๋นเฮ่าเท่าที่ให้ได้ ดังนั้นเขาจะนับว่าแย่แค่ไหนกัน แม้กระทั่งในคุนอู๋ สิ่งที่กลุ่มการฝึกตนเล็กๆ สามารถทำได้นั้นยังน้อยกว่านี้นัก อย่างไรก็ตามกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ … ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยอมรับศิษย์ที่มีรากวิญญาณกลายพันธุ์ แต่พวกเขาก็จะไม่มีวันผ่อนผันให้อย่างที่สภาปี้เซวียนทำให้เขา ถ้าระดับการฝึกตนของพวกเขานั้นไม่ถึงระดับมาตรฐานของกลุ่ม จำนวนของศิลาวิญญาณและยาวิเศษที่จะได้รับสำหรับพวกเขาก็จะลดลง ไม่มีใครสามารถช่วยท่านได้ถ้าท่านไม่สามารถทำได้สมตามความคาดหวัง

 

 

ดังนั้นต้นทุนที่ยอดเยี่ยมนั้นเป็นดั่งของขวัญที่พระเจ้าประทาน แต่ในท้ายที่สุดผู้ฝึกตนก็ยังคงต้องพึ่งความอุตสาหะของตัวเอง คนประเภทที่รู้สึกว่าคนอื่นๆ จะต้องทำทุกอย่างให้เขาเพียงเพราะพวกเขามีความสามารถที่เยี่ยมยอดนั้นไม่มีทางที่จะประสบควาสำเร็จในเส้นทางแห่งเซียนแน่นอน

 

 

“ชิงเมี่ยว ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดกับเขาอีกต่อไปแล้ว!” ผู้อาวุโสชิงอี้ตะโกน “สิ่งมีชีวิตที่โหดร้ายและเนรคุณนี้อย่างไรก็จะคอยโทษคนอื่นในความผิดพลาดของตัวเองอยู่ดี เขาไม่มีทางที่จะรับรู้ได้เลยว่าทุกอย่างที่เขามีอยู่ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาอยู่ในกลุ่มจนถึงตอนนี้นั้นได้มาจากพวกเรา!”

 

 

“ท่านพูดถูกแล้ว” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวพูดด้วยท่าทางที่ไม่แยแสใดๆ กับสายตาที่จ้องมองไปยังซั่งกวนอวิ๋นเฮ่า นางไม่มีความหวังแม้แต่น้อยให้เขาอีกแล้ว “พวกข้าศิษย์พี่น้องทั้งสามผิดหวังนัก ยาวนานกว่าหนึ่งร้อยปีที่พร่ำสอน และนี่คือสิ่งที่ได้มา”

 

 

บทสนทนาของผู้อาวุโสทั้งสองทำให้ซั่งกวนอวิ๋นเฮ่านั้นเต็มไปด้วยความโกรธ “ไม่เพียงแต่พวกท่านจะไม่รู้สึกผิด แต่ยังกล้าหาว่าข้า…”

 

 

โม่เทียนเกอถอนใจ คนบางคนบนโลกใบนี้จำได้เพียงแค่ความแค้นที่พวกเขามีแต่ไม่เคยจดจำความใจดีต่างๆ ที่ได้รับ คนเหล่านั้นไม่มีทางรับรู้ได้เลยว่าคนอื่นให้พวกเขาไปมากเท่าไหร่ พวกเขาคิดเพียงแค่จะได้รับมากเท่าไหร่แค่นั้น ถ้าไม่ให้ทุกอย่างที่มี พวกเขาก็จะรู้สึกไม่ยุติธรรม

 

 

ดังนั้นถึงแม้ว่าท่านต้องการที่จะแสดงมารยาทที่ดีต่อคนอื่น ท่านจะต้องแน่ใจเกี่ยวกับนิสัยของคนผู้นั้นก่อน คนบางคนไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกขอบคุณในสิ่งที่ท่านปฏิบัติอย่างดีต่อพวกเขา แต่พวกเขายังหาว่าท่านเป็นคนโง่ เพ้อฝันว่าต้องการที่จะได้รับอะไรเพิ่มเติมมากยิ่งขึ้นจากท่าน และคิดว่าเป็นความผิดของท่านหากพวกเขาล้มเหลว “การช่วยเหลือมนุษย์ครั้งหนึ่งนำไปสู่ความสง่างาม การไม่ช่วยเหลือมนุษย์ผู้นั้นเป็นครั้งที่สองนำไปสู่ความเกลียดชัง” คำพูดนี้ที่จริงแล้วก็มีเหตุผลยิ่งนัก

 

 

“ซั่งกวนอวิ๋นเฮ่า!” เว่ยเฮ่าหลานพูดอย่างเยือกเย็น “นี่เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับมารผู้ฝึกตนผู้นี้หรือ”

 

 

สายตาซั่งกวนอวิ๋นเฮ่านั้นเศร้าหมองและเยือกเย็น เขาไม่สามารถได้ตำแหน่งเจ้าสำนัก ดังนั้นเขาจึงไม่พอใจเว่ยเฮ่าหลานอย่างมาก “ใช่แล้ว เขาให้สัญญากับข้าว่าเขาจะพาข้าออกไปจากหลินไห่ ข้าจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว!”

 

 

“ศิษย์ของกลุ่มข้าหายตัวไปในช่วงวันที่ผ่านมา นั่นเขาเป็นคนทำหรือว่าเป็นเจ้า”

 

 

“ก็แล้วถ้าข้าเป็นคนทำล่ะ” ซั่งกวนอวิ๋นเฮ่าพูดออกมาโดยไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย “คนโง่พวกนั้น… ไม่น่าเสียดายอะไรเลยด้วยซ้ำที่ตายไปซะ! พวกเขาอาจจะถูกมอบให้ศิษย์พี่ในการสนับสนุนเรื่องการฝึกตนของเขา คิดเสียว่าช่วยลดจำนวนขยะออกไปให้แล้วกัน”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดกันอีก” เว่ยเฮ่าหลานโบกมือเพื่อเรียกกระจกทองแดงออกมา “เจ้าสามารถทำร้ายผู้อาวุโสชิงอี้ได้เพราะท่านไม่ทันได้ระมัดระวังตัว ตอนนี้ ให้ข้าจัดการกับเจ้าเอง ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าแข็งแกร่งแค่ไหน คนที่ถูกเรียกว่าศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานหมายเลขหนึ่งของสภาปี้เซวียน!”

 

 

ท่าทางของซั่งกวนอวิ๋นเฮ่าเปลี่ยนไปในทันที “เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไปนัก! เว่ยเฮ่าหลาน ในเมื่อเจ้าขโมยตำแหน่งเจ้าสำนักไปจากข้า วันนี้ข้าจะแสดงให้เห็นความแข็งแกร่งของข้าให้ดู!” ทันทีหลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เรียกเครื่องมือเวทของเขาออกมา

 

 

โม่เทียนเกอไม่เคยเห็นการต่อสู้ของเว่ยเฮ่าหลานมาก่อน ดังนั้นเมื่อนางเห็นในตอนนี้ ก็ค่อนข้างประหลาดใจทีเดียว เว่ยเฮ่าหลานไม่ได้อ่อนแอเลยสักนิด

 

 

ผู้อาวุโสชิงอี้แสยะยิ้มขณะที่มองทั้งสองคนต่อสู้กัน “ไอ้คนทรยศนี้คิดว่าตัวเองเก่งกาจนัก ดีแล้วที่เฮ่าหลานจะสั่งสอนเขาเสียบ้าง ก่อนหน้านี้พวกเราปกป้องเขามาตลอด ไม่ต้องการที่จะให้เขาบาดเจ็บ แต่ดูเหมือนว่าพวกเราจะตามใจเขาจนเกินไป!”

 

 

ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวหลุบสายตามองต่ำพร้อมถอนใจ อย่างไรก็ตาม นางถามออกมาด้วยความกังวล “ศิษย์พี่ บาดแผลของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

“ไม่สาหัสนัก ข้ายังไม่ตายในเร็วๆ นี้แน่” ผู้อาวุโสชิงอี้ลดมือที่จับบริเวณหน้าอกของนางลง “ค่อยคุยกันอีกครั้งหลังจากที่จัดการศัตรูเสร็จแล้ว”

 

 

“ตกลง!”

 

 

สายตาของทั้งสองคนหันมองไปทางเริ่นอวี่เฟิง หลังจากนั้นจึงหยิบอาวุธเวทของตัวเองออกมา

 

 

โม่เทียนเกอสามารถมองเห็นได้ถึงแม้ว่าระดับการฝึกตนของเว่ยเฮ่าหลานนั้นจะต่ำกว่าซั่งกวนอวิ๋นเฮ่า แต่นางก็มีทักษะในการต่อสู้ด้วยพลังเวท เหมือนกับว่านางไม่มีวันที่จะแพ้เขา ส่วนผู้อาวุโสชิงอี้ สุดท้ายแล้วนางเป็นผู้ฝึกตนขั้นกลางของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ถึงแม้ว่านางจะถูกลอบทำร้าย ทว่านางจะบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีของผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้ายได้อย่างไร ดังนั้นอาการบาดเจ็บที่นางได้รับนั้นไม่ได้หนักหนามากนัก ด้วยการโจมตีพร้อมกันของผู้อาวุโสทั้งสองคน โม่เทียนเกอประเมินว่าพวกเขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าเริ่นอวี่เฟิงอยู่เล็กน้อย

 

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มองดูเริ่นอวี่เฟิงอย่างระมัดระวังครู่หนึ่ง นางก็รู้ว่าพลังสีดำรอบๆ ตัวเขานั้นเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ถ้าพลังนั้นเชื่อมโยงกับสิ่งที่ซั่งกวนอวิ๋นเฮ่าพูดมาก่อนหน้านี้ ศิษย์ที่หายไปของสภาปี้เซวียน…เป็นที่แน่นอน เริ่นอวี่เฟิงผู้นี้ได้เข้าสู่เส้นทางมารผู้ฝึกตนแล้ว! เขาใช้ศพของคนในการฝึกตนของเขา!

 

 

เริ่นอวี่เฟิงผู้ซึ่งขณะนี้กำลังต่อสู้กับผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยว หันมองมาทางห้องปรุงยาทันที หลังจากนั้นเขาจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เศร้าหมอง “เยี่ยเสี่ยวเทียน ศิษย์น้องเยี่ย พวกเราไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายเดือน เจ้าจะซ่อนตัวอยู่ทำไม”

 

 

ด้วยการสมรู้ร่วมคิดของเริ่นอวี่เฟิงและซั่งกวนอวิ๋นเฮ่า โม่เทียนเกอรู้ว่าตำแหน่งที่อยู่ของนางไม่สามารถหลบซ่อนจากเขาได้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่านางจะยึดความปลอดภัยของตัวเองไว้ก่อน แต่นางก็ไม่เคยทำได้เลยเมื่อมันเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนอื่น

 

 

ดังนั้น นางจึงเปิดประตูห้องปรุงยาออกและเดินออกมาอย่างสงบนิ่ง

 

 

“ข้าอยู่นี่เริ่นอวี่เฟิง เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้ารึ”

 

 

เมื่อเริ่นอวี่เฟิงเรียกนางว่าศิษย์น้องหญิง ความสงสัยปรากฏออกมาบนใบหน้าของผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยว แต่สีหน้าพวกนางก็เปลี่ยนไปหลังจากที่เห็นท่าทางที่ระแวดระวังของโม่เทียนเกอที่มีต่อเริ่นอวี่เฟิง

 

 

“ข้าไม่กล้าหรอก” เริ่นอวี่เฟิงจ้องมองมาที่นางด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ทั่วทั้งร่างของเขานั้นปกคลุมไปด้วยพลังมาร ดังนั้นเขาจึงยิ่งดูน่ากลัวเมื่อเขายิ้ม “ข้าไม่เคยคาดคิดถึงสิ่งนี้เลย ย้อนกลับไปตอนที่ข้าหาเจ้าไม่เจอ ข้าคิดว่าเจ้าหนีไปกับเจียงสุ่ยหันและคนอื่นๆ เสียอีก แต่เจ้ากลับมาอยู่ที่หลินไห่เช่นเดียวกันกับข้า! นั่นหมายความว่าในปีนั้นเจ้าซ่อนตัวอยู่ในตำหนักใต้บาดาลมาตลอดอย่างนั้นหรือ”

 

 

“ถูกต้องแล้ว” มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ “เริ่นอวี่เฟิง ข้าซ่อนอยู่ในตำหนักใต้บาดาลเป็นเวลาหนึ่งปี แต่เจ้าไม่เคยรับรู้เลย”

 

 

“ศิษย์น้องเยี่ยได้พิสูจน์ว่าตัวเองเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ประมุขเต๋าเสวียนอินแห่งโรงเรียนเสวียนชิงจริงๆ!” สีหน้าของเริ่นอวี่เฟิงดูบูดเบี้ยว เขาคิดว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นแล้ว แต่สุดท้าย เขาก็โดนหลอกโดยผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ใครๆ ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความโกรธเกรี้ยวที่เขารู้สึกอยู่ในตอนนี้ “แต่วันนี้ อย่าคิดแม้แต่จะหนีรอดไปได้!”

 

 

โม่เทียนเกอยิ้มเยาะ “ข้าก็สามารถพูดกับเจ้าได้อย่างเดียวกัน! เจ้าคนทรยศและเจ้าเล่ห์ จิตใจเจ้าไม่ได้อยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง ในฐานะศิษย์ระดับหัวกะทิของสำนักเจิ้งฝ่า เจ้าเอาเปรียบสหายศิษย์ของเจ้าและทำร้ายพวกเขาเมื่อเจ้าได้ในสิ่งที่เจ้าต้องการ เจ้ายังคงออกอุบายต่อต้านข้าในทุกๆ ทาง พยายามที่จะปิดปากด้วยการฆ่าข้า! ข้า เยี่ยเสี่ยวเทียน ไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอที่จะถูกรังแกโดยที่ไม่ตอบโต้ ในเมื่อเจ้ากล้าต่อต้านข้า มันก็ต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน!”

 

 

“ฮ่าๆๆๆ!” เริ่นอวี่เฟิงระเบิดหัวเราะ เมื่อเขาหัวเราะจนพอ เขาพูดด้วยท่าทางที่มืดมน “ข้าเกลียดคนอย่างเจ้า คนที่เรียกว่า “เป็นคนโปรดของพระเจ้า” มากที่สุด! พวกเจ้าคิดว่าต้นทุนของพวกเจ้านั้นเยี่ยมยอดดังนั้นจึงดูถูกคนอื่น เจ้าอยากฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ น่าขัน! เจ้ามันไม่ได้มีอะไรเลย เป็นแค่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานเท่านั้น แต่อาจหาญจะฆ่าข้า!”

 

 

โม่เทียนเกอไม่ได้สนใจในคำเยาะเย้ยของเขา นางกลับหันไปทางผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวแทน “ท่านผู้อาวุโส สิ่งที่ท่านเจ้าสำนักเว่ยสัญญากับข้าไว้นั้นยังคงอยู่หรือไม่”

 

 

ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เว่ยเฮ่าหลานขอให้โม่เทียนเกอช่วยสอนศาสตร์แห่งการปรุงยาแก่ซย่าชิง หนึ่งในสิ่งที่โม่เทียนเกอต้องการคือให้พวกเขายืนยันในความปลอดภัยของนาง

 

 

ผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวรู้มานานแล้วว่ามารผู้ฝึกตนผู้นี้เป็นศิษย์ที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้หลังจากที่ได้พูดคุยกันมา ถึงแม้ว่าพวกนางไม่ต้องการที่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่คนผู้นี้ไม่มีวันที่จะปล่อยสภาปี้เซวียนไปและในทางกลับกันก็เช่นกัน สุดท้ายแล้ว ชะตาของเหล่าศิษย์ที่หายตัวไปนั้นเกิดจากการกระทำของมารผู้ฝึกตนผู้นี้ ความเกลียดชังได้ก่อเกิดขึ้นมาแล้วระหว่างพวกเขา และเพราะเหตุนั้น พวกนางจึงตอบกลับโม่เทียนเกอ “เจ้าจงวางใจ สหายน้อยเยี่ย พวกข้าได้ให้คำสัญญากับเจ้าแล้ว ดังนั้นมันจึงยังคงอยู่อย่างแน่นอน”

 

 

ทั้งผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวต่างก้าวออกไปด้านหน้า

 

 

“ฮึ่ม!” เริ่นอวี่เฟิงยิ้มเยาะในขณะที่จ้องมองมายังโม่เทียนเกอ “ข้าจะจัดการหญิงแก่สองคนนี้ก่อนหลังจากนั้นข้าจะจัดการเจ้าเอง!”

 

 

“อวดดี!” ผู้อาวุโสชิงอี้ตะโกนหลังจากได้ยินคำพูดของเขา

 

 

ถึงแม้ว่ามารผู้ฝึกตนจะแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนจากเส้นทางฝ่ายธรรมะในระหว่างการต่อสู้ด้วยพลังเวท เริ่นอวี่เฟิงเพิ่งเป็นแค่ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังขั้นต้นเท่านั้น ในขณะที่ผู้อาวุโสชิงอี้นั้นอยู่ในขั้นกลางของดินแกนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและผู้อาวุโสชิงเมี่ยวก็อยู่ในขั้นต้นของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ร่วมไปกับความจริงที่ว่าพวกเขากำลังต่อสู้แบบสองต่อหนึ่ง มันไม่มีเหตุผลใดๆ เลยที่พวกนางจะแพ้!

 

 

“ไม่ว่าข้าจะอวดดีหรือไม่ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นด้วยตาตัวเอง!” เริ่นอวี่เฟิงมีท่าทางที่มุ่งร้ายในขณะที่เขาใช้มือทั้งสองข้างร่ายศาสตร์คาถา ทันใดนั้น พลังมารสีดำปรากฏออกมาบนอกของเขาและบรรจบกันเป็นวงกลม

 

 

ผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวไม่กล้าประมาท ทั้งสองคนปล่อยแสงวิญญาณป้องกันร่างกายและเตรียมตัวใช้อาวุธเวทของพวกนาง ของผู้อาวุโสชิงอี้เป็นขวดหยกมีกิ่งต้นหลิวยื่นออกมา นางหยิบกิ่งต้นหลิวและแกว่งมันออกมา หยาดน้ำค้างหวานหยดออกมาหลายหยด ต่อหน้าพวกเขา พลังวิญญาณสั่นไหวหลังจากนั้นจึงถักทอเป็นตาข่ายพลังวิญญาณซึ่งตั้งตรงอยู่ด้านหน้าเริ่นอวี่เฟิงและสกัดกั้นเขาไว้

 

 

ในตอนนี้ พลังมารของเริ่นอวี่เฟิงกำลังหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง เขาส่งเสียง “ฮึ่ม” อย่างเยือกเย็นในขณะที่เขาสาดสายตาจ้องมองไปยังทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น ด้วยท่าทางการผลักมือของเขา พลังมารที่หมุนวนก็ถูกผลักออกมาจากเขา

 

 

“ตู้ม!” ตาข่ายพลังวิญญาณที่ถูกสร้างจากอาวุธเวทของผู้อาวุโสชิงอี้สามารถสกัดกั้นพลังมารหมุนวนไว้ แต่การปะทะนั้นทำให้เกิดการผันผวนของพลังวิญญาณที่รุนแรง

 

 

“อ้าาา” เสียงกรีดร้องสองเสียงดังออกมา เสียงนั้นไม่ได้มาจากผู้อาวุโสชิงอี้หรือผู้อาวุโสชิงเมี่ยว มันมาจากเว่ยเฮ่าหลานและซั่งกวนอวิ๋นเฮ่าผู้ซึ่งกำลังต่อสู้ดัวยพลังเวทใกล้พวกเขา

 

 

โม่เทียนเกอซ่อนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสทั้งสองอย่างชาญฉลาด ดังนั้นนางจึงไม่ได้รับผลกระทบ

 

 

“เฮ่าหลาน!” เมื่อเห็นเว่ยเฮ่าหลานถูกพัดกระเด็นไปจากแรงกระแทก ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวโบกสะบัดเชือกสีทองในมือของนาง พันมันให้รอบเว่ยเฮ่าหลานเพื่อหยุดนางและดึงนางกลับมา

 

 

ซั่งกวนอวิ๋นเฮ่าในทางกลับกัน ไม่ได้มีโชคเช่นนั้น เขาถูกโยนอย่างแรงไปบนพื้น ส่งผลให้เขากระอักออกมาเป็นเลือด หลังจากนั้นเขาจึงชี้ไปทางเริ่นอวี่เฟิง “ศิษย์พี่… เริ่น ท่าน…”

 

 

เริ่นอวี่เฟิงมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามเหมือนกับเขากำลังมองที่มดตัวหนึ่ง “ในเมื่อเจ้าไร้ประโยชน์ งั้นก็ไปตายซะ!”

 

 

เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดซั่งกวนอวิ๋นเฮ่าดูเจ็บแค้น “ท่าน… ไม่รักษา… สัญญา!”

 

 

“ฮึ่ม!” เริ่นอวี่เฟิงจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชาพร้อมพูดออกมาแค่คำเดียว “ไร้เดียงสา!”

 

 

ดวงตาของซั่งกวนอวิ๋นเฮ่าเบิกกว้างในขณะที่จ้องมองเขา ความกังวลใจฉายออกมาเต็มใบหน้า อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว ลมหายใจของเขาก็หยุดลง

 

 

โม่เทียนเกอมองดูที่ศพเขาโดยที่ไม่ได้รู้สึกสงสารแม้แต่น้อย สำหรับบางคนผู้ซึ่งมองไม่เห็นจุดยืนที่ชัดเจนของตัวเอง และทำได้เพียงแค่เรียกร้องสิ่งต่างๆ จากคนอื่นต่อไปเรื่อยๆ นางไม่ได้รู้สึกเห็นใจแม้แต่น้อย​​​​​​​