ยิ่งกว่านั้น เหวินเหรินเจี๋ยกล่าวได้ถูกต้อง เหวินจู๋เพิ่งจะก้าวข้ามขั้นสำเร็จถึงเทพอาวุโสเท่านั้น หากว่ายังมิทันจะสืบให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสกุลหนานกงกันแน่ ทั้งยังไม่รู้ระดับขั้นวรยุทธ์ที่ชัดเจนของประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น ก็บู่มบ่ามทำอะไรลงไป นั่นไม่ใช่พฤติกรรมของคนฉลาดพึงกระทำเลย
อีกทั้งเมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ตนเองและประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นได้ประมือเพื่อช่วงชิงน้ำอมทธิ์ไท่จี๋กัน แล้วตนเองพ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่าย เหวินจู๋ก็ยิ่งไม่กล้าผลีผลามทำอะไรโดยพละการอีก
ชายหนุ่มผู้นั้น น่าหวาดกลัวยิ่งนัก!
ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาอายุอานามเท่าไหร่กัน!
“เหอะๆ…”
เมื่อเห็นว่าบิดาเข้าใจอะไรได้ง่ายๆ เหวินเหรินเจี๋ยก็ลูบไล้ถุงมือดิ้นทองบนมือของตนเองแผ่วเบา
“คิดจะลงหลักปักฐานที่เมืองอู๋โยว มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!”
“สามารถล้มล้างสกุลหนานกงได้ภายในวันเดียว บุคคลเช่นนี้เมื่อปรากฏขึ้น เป็นใครก็ต้องหวั่นเกรง ไม่แน่ว่าใครบางคนอาจจะกำลังนั่งไม่ติดอยู่แล้วก็ได้ พวกเรานั่งดูเสือสองตัวต่อสู้กันเองสนุกกว่าเยอะ!”
เหวินจู๋เชื่อฟังคำพูดของบุตรชายเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเหวินเหรินเจี๋ยจะอายุยังน้อย แต่ก็ได้รับการยอมรับจากบรรพชนเฒ่าของสกุลเหวินตั้งแต่เล็ก และเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องราวน้อยใหญ่ของสกุลเหวินทุกอย่างมาโดยตลอด
เมื่อพ่อลูกอยู่ด้วยกันเมื่อใด ตรงกันข้ามเหวินจู๋กลับทำตัวราวกับเป็นลูกชายเสียอย่างนั้น
“เหรินเจี๋ย เจ้ารู้อะไรมาใช่ไหม?” เหวินจู่ค่อยเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง ไม่ว่าอย่างไรตำแหน่งประมุขแห่งสกุลเหวินก็ต้องเป็นของเหวินเหรินเจี๋ยอยู่วันยังค่ำ เหวินจู๋จึงให้เหวินเหรินเจี๋ยได้ซึมซับกับหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้นำตระกูลเสียตั้งแต่เนิ่นๆ
“พุทธองค์กล่าวไว้ พูดไม่ได้” เหวินเหรินทำตัวเป็นปริศนา
ในเมื่อเหวินเหรินเจี๋ยไม่อยากบอก เหวินจู๋ก็ไม่ซักไซ้ไร่เรียงอีกต่อไป ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งๆที่เหวินเหรินเจี๋ยคือบุตรชายของเขาเอง แต่เหวินจู๋กลับรู้สึกหวาดกลัวเหวินเหรินเจี๋ยยิ่งนัก
อาจเป็นเพราะเหวินเหรินเจี๋ยมีรูปร่างหน้าตาที่ใส่ซื่อบริสุทธิ์ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครทั้งสิ้น ทว่าน้ำมือของเขากลับเด็ดขาดโหดเ**้ยม นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คนหวาดกลัวอกสั่นขวัญแขวนเมื่ออยู่กับเขากระมัง
เมื่อเห็นว่าเหวินเหรินเจี๋ยมีแผนการเอาไว้ในใจ เหวินจู๋ก็วางใจ
มีลูกชายที่ล่วงรู้เรื่องราวทุกอย่างในใต้หล้านี้ เขาเองก็วางใจไปได้มากทีเดียว!
เมืองเฮ่อ
ไม่นานหลิวเซิ้ง ชิงหงและเสวี่ยเยี่ยน ทั้งสี่ก็เดินทางมาถึง
ได้พบอวี้เฟยเยียนอีกครั้ง หลิวเซิ้งก็ประหลาดใจไม่น้อยเขายังจำได้ดี ครั้งแรกที่ซย่าโหวฉิงเทียนพาอวี้เฟยเยียนกลับไปนั้น นางยังเป็นคนพิการที่มีชื่อเสียงเสียแห่งต้าโจวเท่านั้นเอง เวลาผ่านไปไม่นาน คนพิการกลายเป็นจอมปราชญ์อาวุโสเสียแล้ว
การเติบโตที่ก้าวล้ำรวดเร็วของนางช่างหายากยิ่งนัก
นี่เขา เขามองนางผิดไปมากทีเดียว…
“ฮูหยิน——”ด้วยรู้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนแต่งงานกันแล้วเมื่อครั้งที่อยู่ที่หลัวอวี่ หลิวเซิ้งจึงก้าวไปด้านหน้าทำความเคารพนางทันที
หลังจากที่ซย่าโหวฉิงเทียนรู้ว่าเขาหาเรื่องอวี้เฟยเยียนเข้า ก็ส่งเขาไปที่เมืองอู๋โยวทันที แม้แต่งานแต่งงานของคนทั้งสองก็ไม่ให้เขาไปร่วมงานด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ หลิวเซิ้งจดจำความคุ่นเคืองใจนี้เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นทีเดียว!
ขอเพียงแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องถึงอวี้เฟยเยียนเท่านั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็จะเปลี่ยนไปราวกับคนละคน
จริงอย่างที่โบราณว่าเอาไว้ จอมยุทธ์ยากจะผ่านด่านสาวงาม!
“หลิวเซิ้ง ไม่เจอกันตั้งนาน!”
อวี้เฟยเยียนลืมเรื่องที่เกิดขึ้นที่หุบเขาลั่วซย่าไปตั้งนานแล้ว ในความคิดของนาง หลิวเซิ้งมีจิตใจที่จงรักภักดีต่อเจ้านาย จึงพอที่จะให้อภัยในความผิดที่ผ่านมาได้ อีกอย่างเรื่องมันก็ผ่านไปตั้งนานมาแล้ว หากนางยังยึดติดไม่ยอมปล่อยวาง ก็ออกจะจะจิตใจแคบเกินไปเสียหน่อย
“ขอรับ! ไม่เจอกันตั้งนาน!” เมื่อหลิวเซิ้งยิ้ม พาลให้อวี้เฟยเยียนนึกถึงใบหน้าของเสือที่กำลังยิ้ม
ในระหว่างที่เดินทางมายังเมืองเฮ่อนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ได้ส่งสาส์นมาแจ้งให้พวกเขาทั้งสามเดินทางตามมาสมทบ ทันที บัดนี้เมื่อได้เห็นทั้งสามเดินทางมาถึง ซย่าโหวฉิงเทียนก็วางใจ
คืนนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนได้แนะนำหลิวเซิ้ง ชิงหงและเสวี่ยเยี่ยนให้กับเสิ่นถูเลี่ยได้รู้จัก เมื่อรู้ว่าพวกเขาคือมือซ้ายมือขวาคนสำคัญของซย่าโหวฉิงเทียน เสิ่นถูเลี่ยก็เกรงอกเกรงใจเป็นอย่างมาก
และเพราะทั้งสามไม่มีที่พัก ดังนั้นจึงพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมเซียนเฮ่อเป็นการชั่วคราว
เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเซียนเฮ่อทั้งตกใจทั้งเป็นเกียรติ เพราะเขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าแขกที่เคยเข้ามาพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ในตอนนั้น จะเก่งกาจถึงเพียงนี้ ทั้งสุดท้ายยังกลายเป็นเจ้าถิ่นของเมืองนี้ไปเสียด้วย ดังนั้นเขาจึงปรนนิบัติรับใช้พวกเขาอย่างแข็งขัน
อวี้เฟยเยียนเองก็ทำตามที่ตนเองสัญญาเอาไว้ นางย่างแกะถึงสี่ตัว
สามตัวแรกเป็นรางวัลให้กับหานจื่อ ส่วนอีกตัวหนึ่งให้คนที่เหลือได้แบ่งกินกัน
เมื่อได้ลองลิ้มชิมรสแกะย่างที่หอมหวนหนังกรอบบางเนื้อนุ่ม หลิวเซิ่งก็ประทับใจในตัวอวี้เฟยเยียนมากขึ้นไปอีก อย่างน้อยที่สุด มีอวี้เฟยเยียนอยู่ข้างกาย ซย่าโหวฉิงเทียนก็จะไม่มีวันหิวโซอย่างแน่นอน นางจะเป็นแม่คนที่งามพร้อมทุกด้าน!
อวี้เฟยเยียนไม่ได้ล่วงรู้ความคิดในหัวของชายหนุ่มนามว่าหลิวเซิ่งเลย สิ่งที่นางให้ความสนใจที่สุดก็คือความเป็นไปของคนอีกสองคู่ที่เดินทางมายังเมืองอู๋โยวแห่งนี้พร้อมกันกับนาง
เหลียนจิ่นและโม่ซางพวกเขาทั้งสองได้ส่งสาส์นผ่านทางพิราบสื่อสารมาแล้วว่าพวกเขาปลอดภัยดี ตรงกันข้ามกลับเป็นตี้อู่เฮ่อี้และเชียนเย่เสวี่ยที่เงียบกริบ ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย
ในตอนก่อนจะจากกันนั้น อวี้เฟยเยียนก็ลืมที่จะถามถึงที่ตั้งของตันซ้ายที่ชัดเจนจากตี้อู่เฮ่ออี้เสียด้วย
บัดนี้เมื่อติดต่อพวกเขาไม่ได้ นางก็ไม่รู้ว่าจะเดินทางไปที่ตันซ้ายได้อย่างไรจริงๆ
ตี้อู่เฮ่ออี้และเชียนเย่เสวี่ยที่อวี้เฟยเยียนกำลังคิดถึงนั้น มาโผล่ยังถิ่นของสกุลสุ่ย
เดิมทีตี้อู่เฮ่ออี้ตั้งใจจะเดินทางกลับไปยังตันซ้ายทันที เพื่อแจ้งข่าวของน้องสาวให้ทุกคนได้รับรู้ ใครจะคาดคิดว่าเขาดันโง่หลงลืมเส้นทางกลับบ้านเสียนี่!
ให้คนที่แยกแยะไม่ออกแม้กระทั่งเหนือใต้ออกตกนำทาง ผลที่ตามมานั่นก็คือ ตี้อู่เฮ่ออี้พาเชียนเย่เสวี่ยเดินทางไปยังทิศทางตรงกันข้าม คนทั้งสองเดินทางมาถึงเมืองลู ถิ่นของสกุลสุ่ยเข้า
เนื่องด้วยเจตนาอันดีชั่วครู่ของตี้อู่เฮ่ออี้ เขาเข้าช่วยเหลือหญิงผู้หนึ่งที่มีภาวะคลอดลูกยาก ทำให้สกุลสุ่ยค้นพบว่าเขาคือหมอที่มีวิชาแพทย์ไม่เลว จึงเชิญเขามารักษาอาการป่วยให้กับคุณหนูรองแห่งสกุลสุ่ย สุ่ยเยว่เอ๋อร์
เพื่อที่จะปกปิดฐานะที่แท้จริง ตี้อู่เฮ่ออี้จึงเปลี่ยนชื่อแซ่เป็นเหออี้ เชียนเย่เสวี่ยก็เปลี่ยนชื่อแซ่เป็นเชียนเสวี่ย บัดนี้คนทั้งสองอาศัยอยู่ในเรือนของสกุลสุ่ย
คุณหนูรองแห่งสกุลสุ่ย สุ่ยเยว่เอ๋อร์เมื่อครึ่งเดือนก่อนจู่ๆก็เกิดล้มป่วย บนใบหน้าของนางเกิดปานแดงขนาดใหญ่ขึ้น เชิญหมอมากี่คนก็ไม่มีใครรักษาหาย นั่นทำให้สุ่ยเจ๋อซีร้อนใจจนแทบบ้า
บุตรสาวของเขาคนนี้ รูปโฉมงดงามราวกับดอกไม้แรกแย้ม ถูกยกย่องให้เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองอู๋โยว แต่บัดนี้กลับกลายเป็นเช่นนี้ มิเท่ากับเสียโฉมหรอกหรือ!
สุ่ยเจ๋อซีคาดหวังเอาไว้ให้สุ่ยเยว่เอ๋อร์ได้แสดงความงามให้เป็นที่ประจักษ์ในงานชุมนุมที่จื่อจิงในครั้งนี้ และใช้ประโยชน์จากบุตรสาวแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับสกุลใหญ่สกุลอื่นๆนะสิ!
เดิมทีสุ่ยเจ๋อซีได้ส่งคนไปเชิญหมอแห่งตันขวามารักษา แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดตันขวากลับปิดประตูไม่รับแขก สุ่ยเจ๋อซีไม่มีทางเลือก จึงได้แต่ตามหาหมอผู้มีวิชาสูงส่งคนอื่นเท่านั้นเอง
“ท่านหมอเหอ ลูกสาวของข้าคงต้องรบกวนท่านแล้ว!” ประมุขแห่งสกุลสุ่ย สุ่ยเจ๋อซีกล่าวกับตี้อู่เฮ่ออี้ด้วยความจริงใจ
“ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว! ข้าจะพยายามรักษาอย่างเต็มที่!” ตี้อู่เฮ่ออี้ใช้ชีวิตอยู่ที่ตันซ้ายมาโดยตลอด จึงอาจไม่รู้เรื่องรู้ราวข่าวสารเหตุการณ์ภายนอก แต่หากเป็นเรื่องรักษาอาการป่วยละก็ เขารู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก
“ท่านนี้คือ?” ในระหว่างที่สุ่ยเจ๋อซีนำทางตี้อู่เฮ่ออี้ไปยังห้องนอนส่วนตัวของสุ่ยเยว่เอ๋อร์นั้น สายตาก็เหลือบมองหญิงสาวหน้าตาสะสวยท่าทางเหลือร้ายที่ตามติดตี้อู่เฮ่ออี้อยู่ด้านหลังไม่ห่าง นั่นทำให้สุ่ยเจ๋อซีประหลาดใจไม่น้อย
นางติดสอยห้อยตามคอยดูแลตี้อู่เฮ่ออี้ไม่ห่างกายเช่นนี้ หรือว่าเป็นเป่าเปียวของเขา?
“นางคือภรรยาของข้า” ตี้อู่เฮ่ออี้อธิบาย เมื่อได้ยินในสิ่งที่ตี้อู่เฮ่ออี้กล่าว ทำเอาใบหน้าของเชียนเย่เสวี่ยแดงระเรื่อ
“โอว้ๆ!” สุ่ยเจ๋อซีรีบยิ้ม
“รบกวนพวกท่านแล้ว!”
เมื่อเดินถึงห้องนอนส่วนตัวของสุ่ยเยว่เอ๋อร์ สุ่ยเจ๋อซีก็รีบให้คนไปเชิญสุ่ยเยว่เอ๋อร์ออกมา
“ขอให้คุณหนูปลดผ้าคลุมหน้าลงด้วย!” ตี้อู่เฮ่ออี้กล่าว
จวบจนกระทั่งสุ่ยเยว่เอ๋อร์ปลดผ้าคลุมหน้าลง จนเผยให้เห็นว่าบนใบหน้าของนางมีจุดแดงขนาดใหญ่ ทำเอาเชียนเย่เสวี่ยก็เกือบจะร้องออกมาทีเดียว
น่าตกใจยิ่งนัก!