บนใบหน้าเรียวเล็กนี้ มีปานสีแดงขนาดใหญ่ปราฎอยู่จนหลงเหลือส่วนที่เป็นผิวขาวผุดผ่องอยู่สองถึงสามจุดเล็กๆเท่านั้นที่เป็นสีผิวเดิมที่แท้จริงของแม่นางน้อยผู้นี้
จนกระทั่งสุ่ยเยว่เอ๋อร์เลิกชายแขนเสื้อขึ้น เพื่อให้พวกเขาได้เห็นปานแดงบนร่างของนางด้วยแล้ว เชียนเย่เสวี่ยก็ยิ่งรู้สึกว่าสาวน้อยผู้นี้น่าสงสารยิ่งนัก
ขณะที่เดินทางมาได้ยินผู้คนต่างก็พูดกันว่า สุ่ยเยว่เอ๋อร์คือสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองอู๋โยว
สิ่งที่เห็นตรงหน้านี้ ทำให้เชียนเย่เสวี่ยนึกภาพตามที่ชาวบ้านต่างก็พูดกันไม่ออกเลยทีเดียว
ตี้อู่เฮ่ออี้เองก็ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เขาเชิญสุ่ยเยว่เอ๋อร์ให้นั่งลง แล้วตนเองจึงจับชีพจรตรวจอาการให้กับนาง
“เป็นอย่างไรบ้าง?” สุ่ยเจ๋อซีมีเหงื่อซึมออกมาที่ไรผมเป็นจำนวนมาก ท่าทางตื่นเต้นไม่น้อย
แต่เล็กจนโตเขาก็เลี้ยงดูบุตรสาวคนนี้ด้วยความทะนุถนอม ด้วยหวังว่าเมื่อนางเติบโตขึ้นจะสามารถพึ่งพาได้ นึกไม่ถึงเลยว่าเมื่องานชุมนุมที่หุบเขาจื่อจิงใกล้เข้ามา กลับเกิดเรื่องนี้ขึ้น น่าร้อนใจเสียจริงเชียว!
“คุณหนูถูกพิษ!” ตี้อู่เฮ่ออี้กล่าวด้วยความแน่ใจ
“นี่เป็นพิษชนิดหนึ่งที่ออกฤทธิ์อย่างช้าๆ ทำให้มิอาจตรวจพบได้ง่ายๆ โชคดีที่เราพบตั้งแต่เนิ่นๆ หากว่าช้ากว่านี้อีกนิด ผิวพรรณของคุณหนูก็จะเน่าเปื่อย นั่นต่างหากจึงเรียกว่าเสียโฉมอย่างแท้จริง”
“ถูกพิษ!” สุ่ยเจ๋อซีเพียงแค่ได้ยินก็เกือบจะเต้นเร่าๆทีเดียว
‘ที่ใต้จมูกเขาแท้ๆ ใครกันที่มันกล้าทำร้ายสุ่ยเยว่เอ๋อร์กัน?’
เชิญหมอตั้งหลายคนกลับตรวจไม่พบสักคน แต่ ‘เหออี้’ คนนี้ตรวจเพียงครู่เดียวก็วินิจฉัยได้ทันที นั่นทำให้สุ่ยเจ๋อซีรู้สึกนับถือในวิชาแพทย์ของเขายิ่งนัก
“ท่านหมอเหอ ท่านต้องช่วยลูกสาวของข้านะ!” สุ่ยเจ๋อซีร้อนใจจนแทบบ้า
“ข้าจะจ่ายค่าตอบแทนให้กับท่านเป็นสองเท่าทีเดียว ไม่ๆ ท่านจะคิดค่ารักษาเป็นเงินเท่าไหร่ ข้าก็ยินดีจะจ่ายท่านเท่านั้น ขอร้องท่านละ ท่านจะต้องรักษาลูกสาวข้าให้ได้นะ!”
ท่าทีสุ่ยเจ๋อซีซื่อตรง มองดูก็รู้ทันทีว่าเป็นพ่อที่เป็นห่วงเป็นใยบุตรสาว
“ข้าจะจ่ายยาให้สองสามชุดก่อน”
ตี้อู่เฮ่ออี้หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนใบสั่งยา เมื่อแล้วเสร็จจึงส่งให้กับสุ่ยเจ๋อซี
“อีกเรื่องหนึ่ง ดูเหมือนว่าคุณหนูจะมีเรื่องเศร้าเสียใจ นั่นจะส่งผลเสียต่อการรักษา ขอให้คุณหนูทำใจให้สบาย——”
ตี้อู่เฮ่ออี้ไม่สนใจเรื่องราวภายในครอบครัวของผู้อื่นอยู่แล้ว หน้าที่ของเขาคือรักษาคนให้หาย รับเงินแล้วไปเท่านั้นก็เพียงพอ
“ได้ๆ!” สุ่ยเจ๋อซีพยักหน้ารัวเร็ว
ในตอนนั้นเอง สุ่นเยว่เอ๋อร์ที่เงียบนิ่งมาตลอดก็เอ่ยปากออกมา
“ท่านพ่อ ท่านจะปล่อยซิงฉงออกมาเมื่อไหร่กัน?”
บุตรสาวเอ่ยวาจาเช่นนี้ต่อหน้าคนนอก ทำให้ผู้เป็นบิดาสีหน้าไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ ท่าทีของเขาเปลี่ยนจากอ่อนโยนเฉกเช่นเมื่อสักครู่ กลายเป็นน้ำเสียงชั่วร้ายกรรโชกทันที
“เจ้าอย่าได้คิดถึงไอ้คนชั้นต่ำนั่นอีกเลย! รักษาอาการป่วยของตัวเองให้หายดีก็พอแล้ว!”
“ท่านพ่อ ท่านรับปากข้าแล้วว่าจะไม่ทำร้ายซิงฉง!”
สุ่ยเยว่เอ๋อร์เริ่มร้อนใจขึ้นมาในทันที นางก้าวไปด้านหน้าจับชายแขนเสื้อของสุ่ยเจ๋อซีเอาไว้
“ท่านพ่อ ข้ากับซิงฉงรักกันด้วยใจจริง ขอท่านพ่อสนับสนุนพวกเราด้วยเถอะ!”
“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!” สุ่ยเจ๋อซีสะบัดแขนเสื้ออย่างแรงเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุม ทำให้สุ่ยเยว่เอ๋อร์เซล้มลงไปบนพื้น
“เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะสั่งให้คนฆ่าอวี้ซิงฉงเสียเดี๋ยวนี้เลยก็ยังได้? ไอ้คนชั้นต่ำคนหนึ่ง กล้าบังอาจเผยอตัวขึ้นมารักลูกสาวของข้า คางคกริอาจจะกินเนื้อห่านฟ้า!”
สุ่ยเจ๋อซีสบถออกมาคำหนึ่ง
“เจ้าคือคุณหนูรองแห่งสกุลสุ่ย คนที่จะมาเป็นสามีของเจ้าคือลูกหลานตระกูลทั้งแปดเท่านั้น นี่คือโชคชะตาของเจ้า เจ้าอย่าได้คิดจะฝ่าฝืนมันอีกเลย!”
กล่าวจบสุ่ยเจ๋อซีก็เดินฮึดฮัดด้วยความโมโหกลับออกไป โดยไม่สนใจตี้อู่เฮ่ออี้และเชียนเย่เสวี่ยแม้แต่น้อย
ขณะที่ได้ยินชื่อ ‘อวี้ซิงฉง’ นั้น ตี้อู่เฮ่ออี้และเชียนเย่เสวี่ยก็สบสายตากันทันที
คนทั้งสองรู้ดีว่า อวี้ซิงฉงคือพี่ชายของอวี้เฟยเยียนที่หายสาบสูญไป
เพียงแต่ ‘อวี้ซิงฉง’ ที่สุ่ยเยว่เอ๋อร์พูดถึงจะใช่อวี้ซิงฉงที่พวกเขากำลังตามหาอยู่หรือไม่นะ?
“คุณหนู ท่านอย่าเสียใจไปเลยนะเจ้าคะ!” สาวใช้ของสุ่ยเยว่เอ๋อร์ ชิงถิงปลุกปลอบอยู่ด้านข้าง
“ข้าจะไม่เสียใจได้อย่างไร! ซิงฉงต้องถูกท่านพ่อจองจำเอาไว้ก็เพราะข้า ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ข้าทำร้ายเขา”
ดวงตาทั้งสองข้างของสุ่ยเยว่เอ๋อร์แดงก่ำ เมื่อนึกถึงชายอันเป็นที่รัก หัวใจของนางก็เจ็บปวดแสนสาหัส
“คุณหนู บ่าวไปสืบมาแล้วนะเจ้าคะ นายท่านขังคุณชายอวี้ไว้ที่คุกใต้ดิน ตอนนี้ยังไม่ทำอะไรคุณชายอวี้ชั่วคราว หากว่าคุณหนูยังหุนหันพันแล่นทำให้นายท่านโกรธเคืองอีกละก็ ไม่แน่ว่านายท่านอาจจะฆ่าคุณชายอวี้จริงๆก็ได้นะเจ้าคะ!”
อวี้ซิงฉง…คุกใต้ดิน…
เมื่อจดจำจุดสำคัญสองจุดเอาไว้ได้แล้ว เชียนเย่เสวี่ยและตี้อู่เฮ่ออี้ก็ออกมาจากห้องของสุ่ยเยว่เอ๋อร์ทันที
“เฮ่ออี้ คืนนี้ข้าจะไปตรวจดูลาดเลาที่คุกใต้ดินสักหน่อย ดูว่าใช่พี่ชายของเยียนเอ๋อร์หรือไม่!”
เมื่อคนทั้งสองกลับมาถึงห้องรับรอง เชียนเย่เสวี่ยก็ตัดสินใจในทันที
“เจ้าต้องระวังตัวด้วยนะ!”
ตี้อู่เฮ่ออี้รู้ดีว่าเรื่องนี้สำคัญยิ่งนักจึงไม่ได้ห้ามปรามเชียนเย่เสวี่ยแต่อย่างใด กลับมอบยาจำนวนมากให้กับนางแทน
คืนนั้น เชียนเย่เสวี่ยจึงรีบเปลี่ยนเครื่องแต่งงกายเป็นชุดดำปิดหน้าปิดตาแล้วออกจากห้องไป
เชียนเย่เสวี่ยเติบโตขึ้นมาในวังหลวง อาคารสถานที่รูปแบบเดียวกันกับราชวังเช่นนี้นางคุ้นเคยเป็นอย่างดี จึงรู้ว่าตำแหน่งไหนเหมาะสมที่จะสร้างเป็นคุกใต้ดิน ดังนั้นไม่นานก็ตามหาตำแหน่งของคุกใต้ดินจนเจอ รอจนกระทั่งเชียนเย่เสวี่ยปล่อยระเบิดควันสลบ เข้าไปทำให้ทหารยามขั้นอ๋องสองคนสลบไสลไม่ได้สติแล้ว นางถึงได้แอบย่องเข้าไปด้านใน
ที่คุกใต้ดินห้องแรก มีชายหนุ่มผู้กำลังนั่งขัดสมาธิฝึกวิชา
“ท่านคืออวี้ซิงฉง?” เชียนเย่เสวี่ยมองสำรวจอีกฝ่าย คิ้วเรียงตัวสวยงามหน้าตาหล่อเหลา ดวงตามีพลัง คางแหลมเรียว ท่าทางเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง มีส่วนที่คล้ายคลึงกับคนสกุลอวี้อยู่บ้าง
“เจ้าเป็นใคร?” จู่ๆก็มีคนมาขัดในระหว่างที่เขากำลังฝึกวิชา ทำให้อวี้ซิงฉงไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
อวี้ซิงฉงรู้ดีว่า วรยุทธ์ของตนเองยังอ่อนด้อยเกินไป จึงไม่สามารถปกป้องคนรักได้ ดังนั้นจึงต้องรีบเร่งฝึกวิชาให้สำเร็จโดยเร็ว
“ท่านรู้จักอวี้เฟยเยียนไหม?”
เชียนเย่เสวี่ยไม่ถือสาแม้แต่น้อยกับน้ำเสียงที่เจือเอาไว้ด้วยความเย็นชาของอีกฝ่าย นางรีบออกปากถามโดยยกชื่อของอวี้เฟยเยียนมาอ้างอิงทันที
“เยียนเอ๋อร์? เจ้ารู้จักเยียนเอ๋อร์?” ฉับพลันอวี้ซิงฉงก็ลุกพรวดยืนขึ้น ก้าวยาวมาทางด้านหน้า
“เจ้าเป็นใคร รู้จักเยียนเอ๋อร์ได้อย่างไร?”
“ข้าไม่เพียงแค่รู้จักอวี้เฟยเยียนเท่านั้นนะ ข้ายังรู้จักท่านแม่ทัพอวี้และอวี้เชียนเสวี่ย…”
“ข้าเป็นชาวต้าโจว?”
ณ เมืองอู๋โยว ที่คุกใต้ดินบ้านสกุลสุ่ยแห่งนี้ได้มาพบกับคนบ้านเดียวกัน อัตราความเป็นไปได้แทบจะเป็นศูนย์
อวี้ซิงฉงนำทัพออกรบตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นหากเทียบกับประมุขแห่งสกุลอวี้ที่มีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมาแล้ว อวี้ซิงฉงกลับมีนิสัยที่ระแวดระวังกว่ามากนัก ดังนั้นแม้ว่าเชียนเย่เสวี่ยจะเปิดเผยรายละเอียดไปตั้งมากมาย แต่อวี้ซิงฉงก็ยังคงสงวนท่าทีระมัดรังตัวอยู่มากทีเดียว
เมื่อเห็นท่าทางของอวี้ซิงฉงเช่นนี้ เชียนเย่เสวี่ยก็ยิ้มออกมา
เพราะตรงกันข้าม หากอวี้ซิงฉงเชื่อถือนางอย่างง่ายดายละก็ คงจะเป็นนางที่สงสัยเขาไปแล้ว
“ข้าจะเล่าเรื่องอะไรให้ท่านฟัง!”
เชียนเย่เสวี่ยเลือกจะเล่าเรื่องราวในอดีตที่เกี่ยวข้องกับอวี้เฟยเยียนมาสักเรื่องหนึ่งให้กับเขาได้ฟัง
ตอนเป็นเด็กอวี้เฟยเยียนชอบกินพุทราเชื่อมมาก แต่ของหวานกินมากไปไม่ดีต่อฟัน นั่นทำให้ผู้ใหญ่ไม่ยอมซื้อให้กิน อวี้ซิงฉงจึงงแอบซื้อพุทราเชื่อมแล้วอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสังเกตจับมันใส่ปากอวี้เฟยเยียน
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น คราวนี้ความเคลือบแคลงสงสัยในใจของอวี้ซิงฉงก็มลายหายไปทันที
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาและอวี้เฟยเยียนจริงๆ
น้องสาวของเขาถึงกับยอมเล่าเรื่องในวัยเด็กให้ฟัง นางจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีของน้องสาวเป็นแน่
“ข้ายังรู้อีกว่าเมื่อตอนเป็นเด็กท่านเคยไปหยิบเอารังนกลงมา จนเสื้อผ้าถูกกิ่งไม้เกี่ยวจนขาดวิ่น กลับไปโดนท่านแม่ทัพอวี้ตีมืออีกด้วย”
“ทั้งที่เรื่องจริงก็คือ อวี้เฟยเยียนเก็บลูกนกที่เพิ่งเกิดได้บนต้นไม้แล้วมาขอร้องให้ท่านช่วยเอามันไปคืนที่รังของมันต่างหาก เป็นอย่างไร เช่นนี้ยังสงสัยข้าอยู่ไหม?”
น้ำเสียงของเชียนเย่เสวี่ยเจือเอาไว้ด้วยความขี้เล่นหยอกเย้า
“ไม่แล้ว! ไม่แล้ว! เยียนเอ๋อร์สบายดีไหม? ท่านปู่สบายดีหรือเปล่า? เมื่อครู่เจ้าพูดถึงท่านลุงสามของข้า เขากลับมาแล้ว?”
อวี้ซิงฉงแสดงอาการตื่นเต้นดีใจอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้ติดต่อกับครอบครัวมาเป็นเวลานาน จึงรู้สึกเป็นห่วงพวกเขาเป็นอย่างมาก
โดนอวี้ซิงฉงรัวคำถามใส่มาเป็นชุดเช่นนี้ ทำเอาเชียนเย่เสวี่ยถึงกับไปไม่ถูกเลยทีเดียว
“พวกเขาสบายดีทุกคน! อวี้เชียนเสวี่ยแต่งงานแล้ว และกำลังจะได้เป็นพ่อคนในไม่ช้านี้! จริงสิ เยียนเอ๋อร์ก็เดินทางมาที่เมืองอู๋โยว นางแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้ว! อีกทั้งสามีของนาง ท่านเองก็รู้จักเสียด้วย!”