สมบัติของหนู
หลังจากจัดการปัญหาความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับนาหลันเฟยและเลาชงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซูจิ้งไม่ได้สนใจสิ่งรบกวนภายนอกอีกต่อไป เขาได้เขาไปในโรงกำจัดขยะห้วงเวลาฯและได้เริ่มจัดการขยะห้วงเวลาฯของเขาต่อไป
หลังจากที่เขายืนยันได้ว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจได้แล้ว
เขานั้นก็ยังไม่พบอะไรที่มีค่าเพิ่มเติมเลยแม้แต่น้อย ไม่นานหลังจากนั้นซูจิ้งก็ได้พบกับถุงสีดำที่มีลวดลายถุงหนึ่ง
เขาลองมองเข้าไปก็พบว่ามีบางสิ่งอยู่เขาจึงได้ลองเทมันออกมา ข้างในนั้นเขาพบหนังสือที่มีลวดลายอยู่บนปก มันดูสกปรกจนเหมือนเศษกระดาษไร้ค่า
เขาหยิบมันขึ้นมาดู เพียงพลิกหน้าแรกออกมาเท่านั้นความสงสัยของเขาทั้งหมดหายไปจากใบหน้าและมีหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความประหลาดใจเข้ามาแทนที่
“เยี่ยม นี่คือสมุดบันทึกของจอมเวทย์” ซูจิ้งรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งและได้รีบพลิกไปดูหน้าอื่นอย่างรวดเร็ว
ด้วยการที่เขานั้นมีทักษะในการอ่านอย่างดีเยี่ยมซึ่งเป็นผลพวงมาจากวิถีแห่งใต้หล้าที่เขาได้ฝึกไว้
หลังจากอ่านไปเรื่อยๆเขาพบว่าสมุดเล่มนี้สมควรเป็นบันทึกของผู้วิเศษไม่ก็พวกพ่อมดฝึกหัด
โดยเนื้อหาส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการปรุงยาเวทย์มนต์
และมีบางส่วนเป็นการบรรยายเกี่ยวกับประสบการณ์ในการใช้เวทย์มนต์แต่เท่าที่เขาดูแล้วสมุดเล่มนี้ไม่ได้บันทึกวงแหวนเวทย์หรืออักษรเวทย์ไว้แต่อย่างใด
ซูจิ้งเองก็ไม่ได้คิดว่าสมุดเล่มนี้ไร้ประโยชน์แต่อย่างใด เขารู้สึกว่านี่สมควรเป็นเรื่องปกติ
ถ้าเกิดมีการบันทึกวงแหวนเวทย์หรืออักษรเวทย์นี่ซิถึงจะน่าแปลกใจ เพราะว่าโดยปกติแล้วในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจนั้น
เหล่าจอมเวทย์ ผู้วิเศษ หรือแม้แต่พ่อมดฝึกหัดจะไม่มีทางบันทึกวงแหวนเวทย์หรืออักษรเวทย์ลงในบันทึกธรรมดาแบบนี้
นอกจากจะเป็นตำราเวทย์ที่ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษด้วยวิธีการเฉพาะ ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่มีการจดบันทึกต่อให้เวทมนต์นั้นจะมีระดับที่ต่ำขนาดไหนก็ตาม แม้แต่เวทย์บอลเพลิงเองก็ไม่เป็นข้อยกเว้น
ด้วยวิธีนี้จะทำให้องค์ความรู้เรื่องเวทย์มนต์ไม่มีทางรั่วไหล และยังเป็นการสร้างระดับขั้นการนับถือให้กับเหล่าจอมเวทย์ได้อีกด้วย
โดยจอมเวทย์จะเป็นผู้สอนองค์ความรู้ให้กับเหล่าศิษย์ที่ได้รับการเลือกสรรแล้วว่าไว้เนื้อเชื่อใจได้
มันก็เหมือนกับการที่ใช้อาวุธข่มคู่ผู้คนแต่วิธีนี้ได้ผลกว่าเยอะ
“ถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะไม่มีการบันทึกเวทมนต์เอาไว้ แต่กลับมีประสบการณ์และองค์ความรู้เกี่ยวกับน้ำยาเวทมนต์และการใช้เวทมนต์นี่ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว”
ซูจิ้งได้โยนสมุดบันทึกของจอมเวทย์ลงไปในกระเป๋ามิติและได้ลองเปิดซองที่เหน็บไว้ในสมุดบันทึกออกมาดู ข้างในนั้นไม่ได้มีสิ่งใดน่าในใจ
มีเพียงเมล็ดบางอย่างที่ดูเล็กมากๆและสีออกสีเทา ซึ่งในนั้นมีหลายช่องแต่ละช่องมีเมล็ดที่แตกต่างกันออกไป
“พวกนี้สมควรจะเป็นเมล็ดพืชเวทมนต์รึเปล่านะ” ซูจิ้งจ้องมองด้วยสายตาส่องประกาย ลวดลายของถุงที่บรรจุของเหล่านี้มีลวดลายบ่งบอกว่าเป็นของเหล่าพ่อมด
ต่อให้บันทึกเมื่อกี้ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับเวทย์มนต์แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าของเหล่านี้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเวทย์มนต์ มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกนี้คือเมล็ดของพืชเวทย์มนต์
ซูจิ้งไม่ลังเลเลยที่จะเก็บมันเอาไว้เพื่อจะลองนำไปปลูกเมื่อมีโอกาส
ถ้าเขาปลูกมันได้ล่ะก็และมันเป็นเมล็ดเดียวกับที่สมุดได้บันทึกไว้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะทำโพชั่นได้หลากหลายแบบ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะทำให้เขาหาเงินได้
“ฮอว์” ในตอนนั้นเองเจ้าหนูหูกางได้ออกมาจากกองขยะที่ยังจัดการไม่เสร็จพร้อมทำท่าส่งเสียงมาที่ซูจิ้งแปลได้ว่า “รังของฉันอยู่ที่นี่ ถ้าลูกพี่รื้อที่นี่รังของฉันก็พังหมดสิ”
“ฮ่าฮ่า แกยังคิดว่าที่นี่เป็นรังอยู่อีกหรอ มันเริ่มหายไปบางส่วนแล้วนา” ซูจิ้งรู้สึกสนุกขึ้นมาในทันที
เมื่อจัดการขยะกองนี้ทั้งหมดแล้ว ยังไงซะรังของเจ้าหนูนี่จะหายไปทันที เขาเลยบอกกลับไปว่า “ต่อให้ฉันไม่จัดการขยะกองนี้ยังไงมันก็จะหายไปอยู่ดี
ในเมื่อยังไงมันก็ต้องหายอยู่แล้วทางที่ดีแกควรรีบย้ายรังของนายไปที่ชั้นสามในบ้านชั้นดีกว่า ที่นั้นทั้งแข็งแรงและสวยงามกว่าที่นี่เยอะเลย”
“จี๊ด” เจ้าหนูหูกางได้ผลุบหัวลงดินไปในทันที พอคิดถึงเสียงร้องของนกและกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ลอยออกมาจากชั้นสามที่ว่า
มันก็คิดว่าซูจิ้งเองก็น่าจะพอเชื่อถือได้มันจึงรีบกลับไปที่รังแล้วออกมาพร้อมถุงที่ใส่ลูกสนขนาดใหญ่
ซูจิ้งแอบลองหยิบมากินดูเล็กน้อยมันรสชาติดีใช้ได้เลยแต่มันไม่ได้ให้ผลต่อร่างกายใดๆ น่าจะเป็นผลลูกสนธรรมดา
เจ้าหนูหูกางได้ขนถุงลูกสนออกมากองข้างกองขยะห้วงเวลาฯ ได้สามถึงใหญ่แต่มันยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดขนของจนซูจิ้งต้องพึมพำออกมาว่าเจ้าหนูนี่เก็บอะไรไว้นักเนี่ย
รอบนี้ของที่เจ้าหนูขนออกมาไม่ใช่ถุงลูกสนอีกต่อไป มันดูคล้ายเป็นถุงผ้าขนาดใหญ่และดูเหมือนมันจะค่อนข้างหนักจนเจ้าหนูลากออกมาอย่างยากลำบาก
เมื่อเห็นดังนั้นซูจิ้งเองก็หวังดีเพื่อจะเข้าไปช่วยแต่ทันทีที่เขาเข้าไปเห็นของที่อยู่ข้างใน
สายตาของเขาเป็นประกายในทันทีเพราะของที่อยู่ในถุงผ้านั้นดุส่องประกาย หลากเฉดสี มันดูเหมือนอัญมณีมากๆ
“ฮัวลา” ในที่สุดหนูหูกางก็ได้นำถุงผ้าอันนี้ไปวางไว้ข้างถุงลูกสน และแน่นอนว่ามันเป็นอัญมณีอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเห็นดังนั้นซูจิ้งถึงกับมองด้วยสายตาโง่งมในทันที อัญมณีในถุงมีทั้งเล็กและใหญ่ บ้างก็ติดไว้บนผ้า บ้างก็เป็นอัญมณีอย่างเดียว
บางก้อนใหญ่กว่าเจ้าสามเม็ดที่ซูจิ้งแกะออกจากกล่องที่เคยเจอเมื่อตอนเริ่มจัดการขยะกองนี้ใหม่ๆซะอีก
“เฮ้ บิงบิง แกไปเอาเพชรมากมายพวกนี้มาจากไหนน่ะ” ซูจิ้งค่อนข้างประหลาดใจในสิ่งที่เห็น ชื่อบิงบิงนี่เขาตั้งให้เจ้าหนูหูกางตัวนี้เพราะมันพ่นละอองความเย็นได้เหมือนเครื่องปรับอากาศ
“ส่วนใหญ่ฉันก็ได้มาจากกองขยะนี่แหล่ะ มันมีอยู่ที่เลยนะตอนฉันไปหาอาหารนะ ลูกพี่ไม่คิดว่ามันสวยงั้นหรอทั้งๆที่มันส่องประกายมากมายซะขนาดนี้” บิงบิงพูดในขณะที่มองเหล่าเด็กๆของมัน(อัญมณี)ด้วยสายตาเป็นประกาย
“ของพวกนี้แกให้ฉันได้รึเปล่า ฉันชอบพวกมันน่ะ” ซูจิ้งพูดด้วยสายตากระพริบถี่รัวแสดงถึงความอยากได้อย่างออกนอกหน้า เขาในตอนนี้ดูไม่มีผิดมีภัยใดๆต่อสิ่งมีชีวิตในโลกหล้าไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ก็ตาม
บิงบิงถึงกับชะงักไปในทันที มันหันไปแล้วหยิบอัญมณีสามอันขนาดกลางๆแล้วส่งไปให้ซูจิ้งแบบขอไปทีแต่ก็ยังดูเหมือนไม่อยากให้ซักเท่าไหร่
ซูจิ้งก็ยังยิ้มหวานให้ก่อนจะพูดต่อไปอีกว่า “นายก็เห็นนี่ว่าฉันนั้นมอบรังที่ดีให้แก่นาย
แถมยังหาอาหารและน้ำอย่างดีมาให้เลยนา
นายเองก็มีอัญมณีพวกนี้ตั้งเยอะแยะ ให้มากกว่านี้ไม่ได้หรออออออ
ฉันไม่ได้ต้องการมากมายหรอกนะ หนึ่งในสาม ขอแค่หนึ่งในสามเอง
ไม่ได้มากมายอะไรเลยใช่ไหมล่ะ นายเองก็ยังมีเหลืออีกตั้งเยอะนี่นา”
บิงบิงถึงกับต้องชะงักอีกครั้ง สิ่งที่ซูจิ้งพูดมาเขานั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้
เพราะมันเป็นความจริงทั้งหมด ต่อให้แบ่งไปถึงแม้มันจะฟังดูไม่ได้เลวร้ายมากนัก
แต่จำนวนขนาดนั้นสำหรับบิงบิงก็ทำให้ต้องปวดหัวอยู่ดีเพราะมันเองนั้นไม่ได้เก่งเรื่องคำนวนเลยไม่รู้จะให้เท่าไหร่ถึงเลือกหนึ่งในสาม
ซูจิ้งเห็นดังนั้นถึงกับยิ้มร่า…ออกมาก่อนจะพูดต่อว่า “เอาอย่างนี้สิ ให้ฉันช่วยนายดีกว่า
หนึ่งในสามก็คือการแบ่งเป็นสามส่วน เรามาลองนับดูกันก่อนดีว่าว่ามีกี่ก้อน หนึ่ง สอง สาม สี่ ….
มีทั้งหมด สี่สิบเก้าก้อน ในเมื่อหารสามไม่ลงตัวก็ทำให้นำมาแบ่งได้ยาก
เพื่อให้ง่ายเราก็จะจำไว้เป็นมีทั้งหมดห้าสิบเอ็ดก้อน
ที่นี้เราก็จะแบ่งเป็นสามกองได้เท่าๆกันแล้วคือกองละสิบเจ็ดก้อน
แต่การที่จะจำว่ากองละสิบเจ็ดก้อนมันก็จะยากไปหน่อย
สมควรจำเป็นที่เราจะแบ่งกันที่กองละยี่สิบก้อน ทีนี้ฉันก็จะเลือกออกมายี่สิบก้อนนะ
งั้นฉันเอาอันนี้ กะอันนี้ แล้วก็อันนี้….”
ซูจิ้งทำการเลือกอัญมณีออกมายี่สิบก้อนอย่างพิถีพิถัน หลังจากที่ซูจิ้งเลือกออกมาแล้วบิงบิงในตอนนี้รู้สึกอึ้งจนดวงตาเบิกกว้าง ตอนนี้มันเริ่มตระหนักแล้วว่าน่าจะถูกโกงเรียบร้อยแล้ว
ในตอนที่ซูจิ้งกำลังเลือกอัญมณีออกมาทั้งหมดยิ่สิบก้อนนั้น
เขาได้ใช้กระแสจิตในการวิเคราะห์อัญมณีแต่ละก้อนไปด้วย
โดยส่วนใหญ่ก้อนที่ซูจิ้งเลือกนั้นล้วนมีขนาดใหญ่และคุณภาพดี
หลังจากที่เลือกออกมายี่สิบก้อนแล้ว หากเทียบกันที่น้ำหนักแล้ว
ยี่สิบเก้าชิ้นที่เหลือเบากว่าครึ่งนึงของที่ซูจิ้งเลือกไปก็ว่าได้
“ฮอวฮอวฮอวฮอวฮอวฮอวฮอวฮอว” บิงบิงในตอนนี้ถึงกับโกรธจนตัวสั่นพลางส่งเสียงร้องออกมารัวๆ
มันรู้ว่ามันโดนต้มจบกรอบและพยายามใช้ความคิดมากที่สุดในชีวิตของมันเลยก็ว่าได้เพื่อพยายามหาเหตุผลที่จะแย้งการขอส่วนแบ่งของซูจิ้ง
แต่ด้วยการที่มันไม่เก่งคำนวนทำให้นึกยังไงก็นึกไม่ออก ยิ่งนึกก็ยิ่งกลายเป็นเห็นด้วยกับวิธีการของซูจิ้งเข้าไปอีก ตอนนี้ดวงตาของมันเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอจนกระทั่งมันร้องไห้ออกมา