การค้นพบที่ตื่นตา
หลังจากที่เห็นบิงบิงเริ่มร้องไห้ออกมา
ซูจิ้งในตอนนี้กำลังรู้สึกว่าเขาเองกำลังเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กจนเริ่มอายออกมาเหมือนกัน
เขาเลยยื่นนิ้วไปเกาที่หัวของบิงบิงพร้อมพูดว่า
“โอ๋โอ๋ไม่ร้องนะจ้าเด็กดี ไม่ร้องนะ นิ่งซะนะ นิ่งซะ โอ๋โอ๋ เอางี้เรามาลองแบ่งกันใหม่อีกทีก็ได้นะ” เมื่อพูดจบ ซูจิ้งได้นำอัญมณีทั้งยี่สิบชิ้นคืนใส่ถุงไป
โดยมีสายตาของบิงบิงกำลังจ้องมองพร้อมทำแก้มขยุกขยิกแสดงถึงความโกรธและชิงชัง
แต่ซูจิ้งก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เขาเชื่อว่าบิงบิงจะไม่โกรธจนพ่นไอเย็นมาใส่เขาอีกรอบแน่นอน
ถึงจะไม่เต็มร้อยแต่ก็ได้แต่ลองดูเท่านั้น
ความจริงแล้วถ้าเป็นปกติก่อนที่บิงบิงจะพ่นไอเย็นออกมามันต้องทำให้แก้มป่องมากๆก่อนจนหน้าเกือบจะกลมเป็นบัลลูน เพราะฉะนั้นเขาเลยไม่กังวลเท่าไหร่
หลังจากแบ่งเสร็จอีกรอบซึ่งผลออกมาก็ไม่ได้ต่างจากเดิม
บิงๆก็ทำได้เพียงแค่คอตกแล้วทำการลากถุงของมันไปยังชั้นสามของบ้านด้วยท่าทีซังกะตายก่อนที่จะเลือกมุมๆหนึ่งของชั้นเป็นพื้นที่รังใหม่ของมัน
ซูจิ้งพลางนึกอะไรบางอย่างก่อนที่จะหยิบอัญมณีก้อนหนึ่งออกมาจากในถุงแล้วหันไปถามบิงบิงที่กำลังขนของอยู่ว่า
“นายคิดว่าอัญมณีก้อนนี้สวยรึเปล่าล่ะ” บิงๆพยักหน้าพลางถามออกมาว่า “มีอีกรึเปล่า มีอีกรึเปล่า”
ซูจิ้งจึงได้ทำการเทถุงที่หยิบอัญมณีก้อนนั้นออกมา พวกมันมีสีสันที่หลากหลาย ใสกระจ่าง หลากหลายรูปทรง เปล่งประกาย และไร้รอยขีดข่วน ดูสวยงามเสียยิ่งก่อนอัญมณีที่บิงๆเก็บเอาไว้ซะอีก
บิงๆเองเมื่อกี้นี้แค่ได้มองแค่ก้อนเดียวมันก็จ้องมองจนตาเขม็งแล้ว
แต่พอเห็นอัญมณีกองทั้งหมดนี่ สีหน้าของมันบ่งบอกได้ถึงความอิจฉาอย่างออกนอกหน้า
“นายต้องการอัญมณีพวกนี้ไหม” ซูจิ้งถามลองเชิงออกมา
“จี๊ด…” บิงบิงพยักหน้ารับทันทีเหมือนดั่งต้องมนสะกด
“ถ้างั้น และมาแลกเปลี่ยนกับของนาย นายว่าดีรึเปล่า” ซูจิ้งถามออกมา
บิงๆทำการคิดอยู่เล็กน้อยก่อนที่จะพยักหน้าแล้วทำการลากถุงอัญมณีที่ซูจิ้งให้กลับไปยังรัง โดยมันได้ทิ้งถุงอัญมณีของมันเอาไว้
ซูจิ้งได้เก็บอัญมณีที่บิงๆเก็บเอาไว้ในทันที บิงๆก็ทำเพียงแค่หันมามองแล้วก้ไม่ได้สนใจพวกมันอีก
พวกอัญมณีให้ไปนั้นถึงแม้มันจะดูใหญ่กว่า สวยกว่า กระจ่างกว่า และใสกว่า
แต่อัญมณีพวกนั้นคืออัญมณีสังเคราะห์ บางก้อนเป็นอัญมณีปลอมด้วยซ้ำ
ถ้าเทียบราคาแล้วยังไม่เท่ากับอัญมณีก้อนนึงที่บิงๆเก็บสะสมเอาไว้เลยซักก้อน
หลังจากที่ซูจิ้งเก็บอัญมณีของบิงๆเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เขาได้นำมันไปที่ชั้นหนึ่งของบ้านและได้ทำการตรวจสอบมันทีละก้อนทีละก้อน
ยิ่งเขาตรวจสอบก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ
หลายชื้นนอกจากจะมีขนาดใหญ่กว่าที่เขาแงะออกมาจากกล่องแล้ว
คุณภาพของมันยังถือได้ว่าเป็นระดับสูงเลยทีเดียว ชิ้นอื่นเองก็สมควรมีคุณภาพไม่ต่างกันนัก
“นี่คือ” ซูจิ้งได้หยิบอัญมณีสีน้ำเงินขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ขนาดประมาณนิ้วมือ
มันค่อนข้างจะพิเศษกว่าก้อนอื่นตรงที่เขานั้นสามารถตรวจจับได้ว่ามีพลังบางอย่างแผ่ออกมา
เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยเพราะว่าความรู้สึกที่เข้าสัมผัสได้มันให้ความรู้สึกไม่เหมือนกับคลื่อนพลังเวทย์ใดๆ
“เจ้านี่คืออัญมณีเวทมนต์งั้นรึ” ดวงตาของซูจิ้งเปล่งประกายขึ้นมาในทันที
เขานั้นรู้สึกตื่นตาอย่างมาก ถึงแม้ว่าในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจนั้นถึงแม้อัญมณีเวทย์มนต์จะเป็นวัตถุดิบทั่วไปก็ตาม
ที่พวกมันถูกเรียกว่าคริสตัลเวทย์มนต์ก็เพราะว่าอัญมณีเหล่านั้นสามารถเก็บกักพลังเวทย์เอาไว้และสามารถนำออกมาใช้ได้เมื่อต้องการ
ถ้าเอาไปเทียบกับอัญมณีธรรมดาก่อนหน้านี้แล้วมีค่ามากกว่ามากนัก
อัญมณีชนิดนี้มักถูกใช้โดยจอมเวทย์
ถึงแม้ว่าอัญมณีเวทมนต์ก้อนนี้จะค่อนข้างเล็กไปหน่อยซึ่งมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรนักสำหรับที่นั่น
แต่กับซูจิ้งตราบใดที่มันเป็นอัญมณีเวทย์มนต์ก็มากพอทำให้เขาตื่นตาตื่นใจแล้ว
ซูจิ้งได้ลองไปพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าไปกระตุ้นเวทมนต์ในอัญมณีดู
เขาหวังว่าอัญมณีนี้จะเป็นเหมือนดังตู้เก็บพลังเวทย์ที่สามารถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ได้
ซึ่งมันก็จริงดังคาดเพราะสามารถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้จริง
แต่พลังงานก็เต็มอย่างรวดเร็วแสดงว่าอัญมณีนี้สมควรเป็นระดับต่ำ
ซูจิ้งได้ลองดูอีกครั้งว่ามันจะใช้ยังไงได้บ้างแต่เขาไม่ได้ลองแบบเต็มกำลังเพราะว่าเขานั้นยังไม่คุ้นเคยกับการใช้อัญมณีเวทย์อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
“แล้วอัญมณีนี่เป็นของธาตุไหนกันล่ะ” ซูจิ้งได้เปิดถุงกักอสูรและปลดปล่อยเหล่าภูติแห่งธาตุเวทมนต์ทั้งหลายออกมาเพื่อจะใช้ในการทดสอบ
เนื่องจากซูจิ้งนำภูติธาตุไฟติดตัวไปไหนมาไหนแค่ธาตุเดียวเท่านั้นทำให้ยังไม่คุ้นเคยกับการใช้ภูติธาตุอื่นซักเท่าไหร่
ซูจิ้งต้องปลดปล่อยกระแสจิตเพื่อบังคับภูติเหล่านั้นตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นเหล่าภูติจะแอบหนีหายไป ซูจิ้งจึงเรียกที่จะกักเอาไว้ก่อน
หลังจากภูติทั้งหลายออกมาแล้ว พวกมันได้บินวนไปรอบๆซึ่งแน่นอนว่าซูจิ้งนั้นคอยควบคุมพวกมันเอาไว้ หลังจากผ่านไปได้ซักพักมีภูติบางตนถูกดึงลอยเข้ามาอยู่ที่อัญมณีเวทย์มนต์ที่อยู่ในมือของเขา
ประหนึ่งดังพวกมันคุ้นเคยกับอัญมณีนี้อย่างดี
“อืมมมม อัญมณีธาตุลมสินะ” ซูจิ้งทำได้แต่ยอมรับเท่านั้นเพราะว่าจากภูตธาตุทั้ง18ชนิดมีเพียงธาตุลมเท่านั้นที่บินหาทำให้ไม่อยากเลยที่จะบอกได้อย่างขัดเจน มิน่าล่ะเขาถึงไม่สามารถใช้งานมันได้ก่อนหน้านี้ เพราะว่าสำหรับเวทย์ลมนั้นความรู้แทบจะติดลบเลยก็ว่าได้ เขาจะไปสู้คนที่เกิดมาพร้อมความเหมาะสมในแต่ละธาตุในตัวได้ยังไงกันล่ะ
“ยังไงก็เก็บเอาไว้ศึกษาก่อนก็แล้วกัน น่าจะพอมีทางใช้มันได้อยู่” ซูจิ้งได้เก็บอัญมณีเวทย์มนต์และเหล่าภูตเวทมนต์ทั้งหลายก่อนที่จะจัดการขยะห้วงเวลาฯของเขาต่อไป
หลังจากที่เขาจัดการขยะไปซักประมาณสองชั่วโมง เขานั้นก็ยังไม่พบของที่ดูมีค่าอะไร
เขาเจอดาบเหล็กกล้าหักๆอันหนึ่ง เขาได้โยนมันไปไว้อยู่บนกองเศษเหล็กอื่นๆที่เจอ
แต่หลังจากหันไปจ้องดีๆอีกครั้งเขาก็ต้องรู้สึกพิศวงกับลวดลายที่สลักอยู่บนดาบนั่น
ประหนึ่งดังมีมนต์สะกดคอยดึงดูดเอาไว้
“ลวดลายนี่สมควรไม่ใช่แค่เอาไว้ประดับเฉยๆแหะ ในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจนั้น
ผู้คนมากมายต่างของร้องให้เหล่าจอมเวทย์แกะสลักลวดลายบางอย่างลงบนอาวุธไม่ก็ชุดเกราะเพื่อเพิ่มความสามารถทางกายภาพบางอย่าง
อย่างการเพิ่มความเร็ว เสริมพลัง หรือแม้แต่ความสามารถในการตัด ลวดลายเหล่านี้สมควรมีไว้เพิ่มความสามารถแบบนั้น”
ซูจิ้งพลางนึกออกไป แน่นอนว่าเขารู้เกี่ยวกับลวดลาย การแกะสลัก และรู้ดีว่ามันเป็นลวดลายที่ทำให้เกิดผลจากเวทย์มนต์
แต่ยังไงซะในตอนนี้ก็ยังถือว่าไร้ประโยชน์อยู่ดี ซูจิ้งได้ไล่ดูไปยังเหล่า ดาบหัก กระบี่ และกระอ่อนที่เขาจัดการแยกเอาไว้อีกครั้งและได้พบว่าพวกมันบางชิ้นมีลวดลายเวทย์มนต์อยู่
“ลวดลายนี้ เกราะอ่อนของคนที่กลายเป็นหิน และอาวุธเหล่านั้นเองก็สมควรเป็นลวดลายเวทมนต์เหมือนกัน” ซูจิ้งได้นึกถึงเหล่าคนที่ถูกสาปให้กลายเป็นหิน ที่ชุดที่พวกเขาใส่ก็มีลวดลายแบบนี้เช่นเดียวกัน
“ลวดลายเวทย์มนต์เหล่านี้น่าจะคุ้มค่าที่จะลองเสียเวลาศึกษาดูเหมือนกัน
ถ้าสามารถนำไปรวมกับความรู้ที่บันทึกไว้ในสมุดบันทึกของพ่อมดก่อนหน้านี้
เมื่อนำไปรวมกับพลังงานลมในอัญมณีเวทมนต์น่าจะพอสร้างอาวุธเวทมนต์ได้ ถ้าทำได้ล่ะก็เยี่ยมไปเลย”
สายตาของซูจิ้งเป็นประกายออกมา หลังจากที่เขาตัดสินใจได้แล้วว่าจะเวทมนต์ลมแบบไหนดีจึงได้เก็บของทั้งหมดเข้าไป
ซูจิ้งยังคงดำเนินการจัดการขยะห้วงเวลาฯต่อไป ผลที่ออกมาคือขยะที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนเป็นอุปกรณ์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังเวทมนต์ทั้งสิ้น เขาจึงได้ทำการเก็บพวกมันไว้ทั้งหมด
หลังจากเก็บพวกมันมาได้มากพอสมควรแล้ว ทำให้ได้เห็นลวดลายพวกนั้นมาพอที่เขาจะเริ่มเข้าใจหลักการเบิ้องต้นของลวดลายเวทย์มนต์อยู่บ้าง
ลวดลายเวทย์มนต์สมควรจะมีหลักการที่คล้ายๆกันอยู่
ในส่วนอาวุธที่แตกหักเหล่านั้นล้วนมีการแกะลวดลายเอาไว้เหมือนกัน
และเหล่าเกราะอ่อนและเกราะแข็งเองก็มีลวดลายอีกแบบหนึ่งที่เหมือนกัน
ทำให้เขาพอจะอนุมานได้ว่าลวดลายที่แกะบนอาวุธเป็นลวดลายที่ใช้เสริมพลังโจมตี
และลวดลายบนเกราะเป็นลวดลายที่เอาไว้ใช้เสริมพลังป้องกัน