การค้นพบที่น่าแปลกใจ
สองวันต่อมา ซูจิ้งได้คัดแยกขยะได้ออกมาเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่าขยะเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีลวดลายเวทย์มนต์ทั้งสิ้น
หลังจากเขาคัดแยกต่อไปเรื่อยๆ เขาได้ขยะที่มีลวดลายเวทมนต์มากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั้งขยะที่เหลืออยู่อีกครึ่งเหล่านั้นได้เสียสมดลและพังลงมา
ทันทีที่เขาหันไปเห็นนั้นถึ้งกับต้องตกตะลึง ใบหน้าของซูจิ้งแสดงออกถึงความประหลาดใจอย่างมาก
ตรงหน้าของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยเสื้อผ้าสมัยใหม่ ถุงพลาสติก เศษกระทะ สิ่งพวกมันล้วนแล้วดูเหมือนของจากโลกที่เขาอยู่
“เดี๋ยวนะนี่ไม่ใช่ขยะจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจนี่ ทำไมขยะของโลกยุคนี้ไปโผล่ได้ล่ะ
หรือว่าตูเว่ยเป็นคนสร้างขึ้นมา” ซูจิ้งมองพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม
สิ่งแรกที่เขานึกได้ก็คือของเหล่านี้น่าจะเป็นของที่ตูเว่ย ตัวละครหลักในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจทำขึ้น
ตูเว่ยนั้นเป็นตัวละครหลักที่เคยอยู่ในโลกยุคปัจจุบันทำให้เขามีความรู้ติดไปด้วย เขาเคยสร้างบัลลูนไอร้อนและของอย่างอื่นที่ได้แนวคิดจากโลกยุคปัจจุบันหลายอย่างในเรื่อง
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขารูปจัดการขยะในบริเวณนี้ในทันที ถูกต้องตามที่เขาคิดขยะพวกนี้เป็นขยะที่เกิดจากแนวคิดโลกยุคปัจจุบันแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เจออะไรที่ดูมีประโยชน์เท่าไหร่นีก
“แล้ว นี่มันอะไรล่ะเนี่ย” ซูจิ้งได้ดึงชิ้นส่วนบางอย่างที่ท่าทางหนักๆออกมา มองแวบแรกมันดูคล้ายเหล็ก แต่เมื่อเห็นทั้งหมดแล้วจึงบอกได้ว่ามันเป็นแขนเหล็กแต่หักแล้ว
“เจ้านี่คือซากหุ่นยนต์ที่ตูเว่ยสร้างหรือว่าเป็นของพวกนักเล่นแร่แปรธาตุกันนะ” ซูจิ้งถึงกับมึนงงทันทีที่เห็นพร้อมตั้งคำถามขึ้นมา ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้แต่เพียงวางมันเอาไว้ข้างๆก่อนจะคุ้ยขยะต่อไป
หลังจากนั้นซักพักเขาก็พบธนูอันหนึ่ง นี่ทำให้ซูจิ้งประหลาดใจเล็กน้อยเพราะธนูนี่มันค่อนข้างกว้างและดูเป็นโค้งรูปทรงแปลกๆเหมือนกับรูปหัวใจผ่าครึ่งก็ว่าได้
เขาสงสัยขึ้นมาทันทีว่าธนูแบบนี้จะไปยิงศัตรูเข้าได้ยังไง อย่างไรก็ตามธนูนี้มีร่องรอยการแตกอยู่ทำให้มีบางส่วนหายไป
ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ทำมาจากเหล็ก ตัวธนูเหมือนมีลวดลายอะไรบางอย่างแต่ว่าไม่ใช่ลวดลายเวทมนต์แบบก่อนหน้านี้
เขาจ้องมองอย่างตั้งใจตั้งแต่หัวจรดปลายแต่ก็ไม่พบความพิเศษอันใดจากเจ้าธนูนี่นอกจากรูปทรงที่ดูประหลาดกว่าปกติ
แน่นอนว่าต่อให้มันเป็นธนูที่ดีแค่ไหนแต่ยังไงซะมันก็มีรอยแตกแล้วไม่สามารถนำมาใช้ต่อได้แน่นอน
เขาได้นำมันไปรวมไว้กับอุปกรณ์ที่มีลวดลายเวทมนต์อื่นๆเพื่อที่ว่าจะได้หาโอกาสได้ลองศึกษาดูในอนาคต
หลังจากเขาเสียเวลาจัดการขยะสมัยใหม่เหล่านี้อีกสักพักจนหมด หลังจากนั้นเขาก็ไปจัดการขยะห้วงเวลาฯส่วนอื่นต่อ
แต่ก็ไม่เจออะไรที่มีประโยชน์มากมายนัก เขาทำการตรวจซ้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
หลังจากเขาใช้เวลาตรวจซ้ำอีกสองวันจนซูจิ้งมั่นใจแล้ว
เขาได้เก็บขยะที่ไม่มีประโยชน์ขนขึ้นรถบบรทุกแล้วทำการกวาดของเหล่านี้ลงในหลุมทิ้งขยะจนเกลี้ยง
ในที่สุดสถานีแห่งนี้ก็โล่งหมดจดอีกครั้งรอขยะลอตใหม่ส่งมา
ในช่วงเช้าหลังจากที่ซูจิ้งจัดการขยะไปหมดแล้ว เฉินฮงเฉินเจียเหยา และจูเจียนฮัวได้มาหาเขาด้วยกัน
เฉินฮงมาที่นี่เพื่อมารับอัญมณีทั้งสามไปที่โรงประมูลห้วงเวลาฯตามที่เขาบอกไว้
แต่เขาไม่รู้ว่าเฉินเจียเหยาและจูเจียนฮัวมาทำอะไรที่นี่เหมือนกัน
“อาจิ้ง อัญมณีอยู่ที่ไหนหรอ” ทันทีที่เฉินฮงมาถึงเขาได้รีบถามถึงอัญมณีในทันที
“อยู่ที่ชั้นสี่น่ะ” ซูจิ้งพูดพร้อมพาทุกคนขึ้นไปบนชั้นสี่ในทันทีไปยังที่เก็บอัญมณี
อัญมณีทั้งสามประกอบไปด้วยไพลินประกายดาวสองเม็ดและพลอยแดงเลือดนกพิราบหนึ่งเม็ด ส่วนก้อนอื่นๆนั้นยังไม่ถึงเวลาที่จะนำออกประมูล
ตาของเฉินฮงดูเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นอัญมณีพวกนั้น
สายตาของเขาดูระมัดระวังและดูฉงนในสิ่งที่เห็น
เมื่อวานนี้เขาเองก็เพิ่งได้ยินข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นในพิพิธภัณฑ์ของผู้อาวุโสซี่
เขาตกตะลึงทันทีที่ได้หินงานแกะสลักหินที่สวยงาม ทารกรากไม้ และหนูหยกฮีเทียน
ถึงแม้เขาจะเคยได้เห็นสมบัติมากมายมาชั่วชีวิตก็ยังต้องตื่นตาตื่นใจทันทีที่ได้เห็นของที่ซูจิ้งครอบครองเอาไว้
เฉินเจียเหยาเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ถึงแม้เธอจะมีความรู้เรื่องอัญมณีไม่สู้เฉินฮงแต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงสวยงามของอัญมณีเหล่านี้
อย่างไรก็ตามพวกเขานั้นจะเริ่มรู้สึกชินในไม่ช้านักเพราะด้วยการที่พวกเขานั้นรู้จักซูจิ้ง เขาจะได้เห็นของพวกนี้บ่อยมาก แต่อย่างน้อยพวกเขาก็คงต้องมีเรื่องประหลาดใจซักนิดซักหน่อยก่อนจะยอมรับได้
“ว่าแต่ เจียนฮัวกับคุณเฉินมาที่นี่เพราะต้องการมาดูอัญมณีนี่อย่างนั้นหรอ” ซูจิ้งถามออกมา
“ก็คุณไม่ได้ส่งสัตว์ไปยังสวนสัตว์เลี้ยงเลยนี่นา จะทำให้สวนสัตว์เลี้ยงสมบูรณ์ได้ยังไง” เฉินเจียเหยาบ่นออกมา
“สวนสัตว์เลี้ยงอันสมบูรณ์แบบของเราก็คงต้องกลายเป็นร้านขายสัตว์เลี้ยงธรรมดาแล้วหล่ะนะ” จูเจียนฮัวเองก็พูดในเชิงแดกดันนิดหน่อย
ซูจิ้งอึ้งไปซักพักก่อนที่จะหัวเราะออกมาดังลั่น เขาก็เกือบลืมไปเลยว่าเขาเป็นหุ้นส่วนอยู่สามสิบเปอร์เซนต์ในสวนสัตว์เลี้ยงนั่น เขาเองจะต้องไปที่สวนสัตว์เลี้ยงเพื่อที่จะฝึกสัตว์อยู่บ้างแต่เขาลืมไปแล้ว
มีอยู่หนหนึ่งที่ซูจิ้งส่งปลาเขี้ยวหยกไปให้พวกเขาช่วยเลื้ยงเพื่อทำให้สวนสัตว์เลี้ยงแห่งนั้นสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ถ้ามีสัตว์เลี้ยงไม่ครบประเภทจะเรียกได้ยังไงว่าเป็นสวนสัตว์เลี้ยงแสนสมบูรณ์
อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้ซูจิ้งได้ขอให้ทางสวนสัตว์เลี้ยงแสนสมบูรณ์ส่งเหล่าหมาแมวของที่นั่นไปยังสถาบันวิจัยเพื่อที่จะเอาไว้คอยระวังภัยให้ที่นั่น
หลังจากที่พวกเขาส่งพวกมันไปยังสถาบันวิจัยของซูจิ้งแล้ว ทำให้สัตว์เลี้ยงจำพวกหมาแมวที่เป็นหัวใจหลักของสวนสัตว์เลี้ยงนั้นขาดแคลน รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงประเภทชั้นยอดด้วยเหมือนกัน
“แหม่ แค่โทรหาผมก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องมาด้วยตัวเองเลย เอาเป็นว่าผมขอเวลาอีกสักสองวันละกันจะได้ส่งสัตว์เลี้ยงที่ฝึกแล้วไปให้”
ที่ซูจิ้งกล้าพูดอย่างนั้นไปก็เพราะว่าสำหรับเขาการฝึกสัตว์นั้นถือเป็นเรื่องง่ายมากๆ ด้วยการใช้การทำพันธะสัญญากัน และการฝึกอีกซักชั่วโมงเขาก็สามารถฝึกสัตว์สำเร็จได้ราวกับฝึกพวกมันมาเป็นปีแล้ว
“เอาจริงๆคือฉันได้ยินว่าปู่ของฉันมาฉันเลยอยากจะมาด้วยน่ะ พอดีฉันอยากจะได้สัตว์เลี้ยงที่มันดูพิเศษซักตัวหนึ่ง
สวนสัตว์เลี้ยงของเราตอนนี้ขาดแคลนดาวเด่นอยู่ตอนนี้ ถ้าเป็นไปได้นายก็ช่วยฉันหาให้หน่อยละกัน” เฉินเจียเหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
เธออดไม่ได้ที่จะหันไปชำเลืองมองเหล่าหมาแมวที่อยู่นอกบ้านด้วยสายตาที่เป็นประกาย
แต่เธอก็ไม่ได้ถามเกี่ยวกับพวกมันมากนะเพราะเธอรู้ว่าสำหรับซูจิ้งแล้วสัตว์เลี้ยงที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นครอบครัว
ไม่มีทางขายอย่างแน่นอน
“เรื่องนั้น คิดก่อนนะ” ซูจิ้งทำท่านึกไปซักพักก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ความจริงก็มีสามตัวนะ ฉันขี้เกียจดูแลมันน่ะ เธอจะเอาไปแล้วขายก็ได้นะ”
“สัตว์เลี้ยงอะไรหรอ” เฉินเจียเหยาถามด้วยสายตาที่เป็นประกาย ทันทีที่คิดว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในบ้านของซูจิ้งแล้วพวกมันต้องมีความพิเศษอย่างแน่นอน
“แป็บนึงละกัน” ซูจิ้งได้ทำการเรียกหลี่น้อย หลี่น้อยได้รีบวิ่งลงมาที่ชั้นหนึ่งในทันที หลังจากนั้นซักพักก็มีหนูสามตัวตามมันมาเหมือนเป็นลูกน้องอย่างไงอย่างงั้น เจ้าหนูสามตัวหย่อนก้นนั่งลงข้างหลังหลี่น้อยที่นั่งอยู่
เมื่อเฉินฮงเฉินเจียเหยา และจูเจียนฮัวเห็นรู้สึกสนใจมันขึ้นมา เจ้าหนูพวกนี้ติดตามแมวช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากเหมือนกัน เหมือนเจ้าหนูสามตัวนี่เองก็จะถูกฝึกโดยซูจิ้งเหมือนกัน
หลังจากทั้งสามคนมองไปซักพักพวกเขาก็เริ่มตกตะลึง นั่นก็เพราะเจ้าหนูสามตัวนี้ถึงจะดูขนนุ่มสลวยสวยเก๋และแววตาที่ดูชาญฉลาดแต่จากรูปลักษณ์แล้วพวกมันคือหนูบ้านธรรมดา
แต่ทำไมพวกเขาถึงรู้สึกว่ามันดูน่ารักน่าฟัดพิกลก็ไม่รู้
“อาจิ้ง สัตว์เลี้ยงสามตัวที่ว่าคือเจ้าหนูสามตัวนี่อย่างนั้นหรอ” จูเจียนฮัวถามด้วยท่าทางอึ้งๆ
“ใช่แล้ว” ซูจิ้งพยักหน้า
“ไม่เอาด้วยหรอก เจ้าหนูสามตัวนี้น่าจะเป็นหนูบ้านต่อให้น่ารักยังไงก็ไม่มีใครสนใจจะเลี้ยงมันหรอก
หรือว่าเจ้าสามตัวนี้มีอะไรพิเศษ” จูเจียนฮัวถึงกับพูดไม่ออก
“คุณซู คุณต้องล้อเล่นแน่ๆ” เฉินเจียเหยาเองก็เกือบจะพูดไม่ออกเช่นเดียวกัน
เฉินฮงเองก็ได้มองอย่างสนใจเหมือนกัน แต่เขาก็ยังไม่เจออะไรที่ดูพิเศษจากหนูสามตัวนี้เลย ต่อให้ซูจิ้งฉลาดยังไงแต่ดูเหมือนเขาเองจะไม่ค่อยมีหัวการค้าซักเท่าไหร่
“ฮ่าฮ่า พวกนายเนี่ยน้า” ซูจิ้งยิ้มพร้อมทั้งพาทั้งหมดไปยังตู้ปลาที่มีน้ำอยู่เต็ม เขาสั่งให้หนูทั้งสามตัวกระโดดลงไปในน้ำ
ตอนแรกทั้งเฉินเจียเหยา เฉินฮงและจูเจียนฮัวยังไม่เห็นอะไรที่ดูพิเศษเลยซักนิด
ซักพักพวกเขาก็เริ่มประหลาดใจ ถึงแม้ว่าหนูทั่วๆไปจะสามารถว่ายน้ำได้ดีอยู่แล้วแต่หนูพวกนั้นจะไม่ดำผุดดำว่ายราวกับพวกมันเป็นสัตว์น้ำแบบนี้แน่นอน
ตามธรรมชาติของมันแล้วสมควรตะเกียกตะกายหาทางขึ้นจากน้ำมากกว่า แต่เจ้าหนูพวกนี้นอกจากจะไม่ทำท่าอยากจะขึ้นจากน้ำแล้ว
พวกมันยังดำลงไปน้ำเป็นว่าเล่น แถมยังว่ายน้ำกลับหลังเหมือนนักกีฬาทีมชาติซะอีก พวกมันเหมือนไม่ใช่แค่ว่ายน้ำได้แต่เหมือนมีชีวิตอยู่ในน้ำเลยก็ว่าได้
“พระเจ้า ดูเหมือนพวกมันจะชอบอยู่ในน้ำนะ” เฉินเจียหยาพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
“บ้าไปแล้ว นี่พวกมันคิดว่าพวกมันเป็นปลาอย่างนั้นรึ” จูเจียนฮัวมองด้วยสายตาโง่งม
“ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นไง เจ้าสามตัวนี้น่าสนใจจริงๆ” เฉินฮงเองก็ได้หัวเราะ และก็ยังบอกอื่นว่าอยู่มานานขนาดนี้แล้วเขาเพิ่งจะเคยเจอหนูที่ชอบน้ำมากขนาดนี้
แม้แต่จูเจียนฮัวก็ยังเปรยๆซ้ำออกมาอีกครั้งว่าพวกมันต้องคิดว่าตัวเองเป็นปลาไปแล้วแน่ๆ