ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ขณะที่พวกเซียวอวี๋กำลังหารือแผนการกันอยู่นั้น พลส่งสารนายหนึ่งก็ขอเข้าพบอย่างรีบร้อน “เรียนท่านราชครู ท่านลอร์ดเซียว ท่านแม่ทัพแห่งทัพพยัคฆ์หู่ได้นำกองทัพเดินทางมาเป็นกองหนุนขอรับ” “เข้าใจแล้ว” ได้ยินคำรายงาน เซียวอวี๋ก็รีบตอบ เขาคิดไม่ถึงว่าผู้มาจะเป็นโถวปาหู่ ในจักรวรรดิเมฆา แม่ทัพพยัคฆ์โถวปาหู่นับเป็นเทพสงครามองค์หนึ่ง ชื่อเสียงของเขาดุจดังฟ้าร้องกรอกหู โดยเฉพาะกองทัพพยัคฆ์ที่เขาควบคุมยังนับเป็นทัพม้าที่เก่งกาจที่สุดของจักรวรรดิเมฆา ชื่อเสียงของกองพลพยัคฆ์นั้นเป็นตำนาน ร้องคำรามดุจพยัคฆ์ ฝีดาบรวดเร็วดุดัน เทียบกันแล้วยังแข็งแกร่งกว่ายูนิตธรรมดาทั่วไปของระบบด้วยซ้ำ ทหารทุกนายล้วนสวมใส่เกราะหนัก ทุกคนล้วนแต่เป็นนักรบในขั้นที่สามเป็นอย่างน้อย ทอดตาทั่วทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แห่งนี้ กองทัพพยัคฆ์นี้นับว่าไร้ผู้ต้าน เมื่อครั้งตอนที่ถูกเคราแดงโจมตีครั้งนั้น เซียวอวี๋ได้แอบอ้างชื่อของโถวปาหู่ผู้นี้จนทำลายขวัญกำลังใจของพวกโจรชิงม้าลง นี่แสดงให้เห็นว่าชื่อเสียงของโถวปาหู่กึกก้องเพียงใด นับตั้งแต่ที่จักรพรรดิโถวปาเย่สิ้นพระชนม์ โถวปาหงและโถวปากุ้ยก็ต่างคนต่างเร่งสร้างฐานอำนาจ ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามชักชวนโถวปาหู่ให้เข้าร่วม หากแต่โถวปาหู่นั้นตั้งทัพคอยดูแลความสงบอยู่ที่แคว้นฮิลาลอันห่างไกล และไม่ได้ข้องเกี่ยวกับการชิงอำนาจของทั้งสอง โถวปาหู่เองก็เป็นเชื้อพระวงศ์ ทั้งยังมีอำนาจบารมีอย่างมาก หากเขาเข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฝ่ายนั้นจะได้เปรียบเพียงใด อย่างไรก็ตาม โถวปาหู่ไม่ได้นำกำลังของเขาเข้ามายุ่งเกี่ยว ตัวเขาเป็นอ๋องที่คอยดูแลแคว้นฮิลาล เขามีกำลังคน มีดินแดน อีกทั้งกิจการที่บิดาและปู่ของเขาตกทอดไว้ให้ก็มีมากมายมหาศาล กล่าวได้ว่าโถวปาหู่มีพร้อมทุกอย่าง หากว่าโถวปาหู่เข้าร่วมการแย่งชิงบัลลังก์ เช่นนั้นโถวปาหงและโถวปากุ้ยก็แทบจะหมดโอกาสใดๆ กระนั้นโถวปาหู่กลับเลือกที่จะนิ่งเฉยไม่เคลื่อนไหวใดๆ ทั้งโถวปาหงและโถวปากุ้ยเคยส่งจดหมายไปเชิญเขาอยู่หลายครั้ง หากแต่โถวปาหู่กลับเผาจดหมายเหล่านั้นทิ้งทั้งหมด อย่างไรก็ตาม วันนี้ไม่ทราบเพราะเหตุใดโถวปาหู่จึงมาปรากฏกายที่นี่ได้ “อะไรนะ! ท่านลุงมาที่นี่?” โถวปาหงที่เพิ่งตื่นและมายังกระโจมของเซียวอวี๋ร้องโพล่งอย่างยินดี หากนับตามศักดิ์แล้ว โถวปาหู่นับเป็นลุงของโถวปาหง “พะย่ะค่ะ ท่านอ๋องหู่ได้ตั้งค่ายอยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ และพร้อมจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้วพะย่ะค่ะ” พลสื่อสารกล่าวอย่างตื่นเต้นยินดี การปรากฏตัวของโถวปาหู่ครั้งนี้อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าเขาก็ไม่ได้มาเพื่อต่อต้านโถวปาหง โถวปาหู่ไม่เหมือนกับโถวปากุ้ย หากอยากกำจัดโถวปาหงจริงก็ไม่ต้องทำถึงขั้นนี้ อีกทั้งในครั้งที่โถวปาหงยังเยาว์วัย โถวปาหู่ยังเป็นมิตรต่อโถวปาหงไม่น้อย หากเป็นเช่นนี้ ขุมกำลังของพวกเขาก็นับว่าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โอกาสที่จะพิชิตพวกเซิกได้ก็จะยิ่งมากขึ้น “เร็ว รีบนำข้าไปหาเขา” โถวปาหงตื่นเต้นยินดีและรีบสั่งให้พลสื่อสารนำเขาไปพบกับโถวปาหู่ อ้าวปากลับไม่ได้ตื่นเต้นยินดีใดๆ เขาลุกขึ้นก่อนจะติดตามอยุ่ทางด้านหลังของโถวปาหงอย่างเฉื่อยชา เมื่อเซียวอวี๋เห็นดังนั้นก็คิดขึ้นในใจ “ดูเหมือนว่าอ้าวปาผู้นี้จะไม่กินเส้นกับโถวปาหู่ ไม่รู้ว่าสองคนนี้มีบุญคุณความแค้นใดกันแน่” เซียวอวี๋กล่าวขอตัวกับจ้าวมนตราทั้งสามที่นิ่งเฉยก่อนจะตามโถวปาหงออกไป ระยะทางสิบลี้นั้นใช้เวลาไม่นาน เมื่อโถวปาหงก็พบกับแถวกระโจมเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ทั่วทั้งค่ายเงียบสงบ ไม่มีเสียงโหวกเหวกดังเช่นค่ายทหารทั่วไป นี่คล้ายเป็นรังพยัคฆ์ที่ซุ่มเฝ้ามองเหยื่ออย่างเงียบเชียบ นี่ไม่คล้ายเป็นค่ายทหาร หากแต่เป็นรังของสัตว์ร้าย เมื่อเซียวอวี๋มาถึง ทางค่ายทหารก็มีเงาร่างสองร่างบังคับม้าที่ตัวใหญ่กว่าม้าทั่วไปออกมา ทั้งสองยกปืนขึ้นเล็งพลางตะโกนถาม “พวกเจ้าเป็นใคร?” เห็นท่าทีไพร่พลทั้งสองจากทัพพยัคฆ์ โถวปาหงก็ไม่ได้ไม่พอใจแต่อย่างใด ตัวเขาเติบโตขึ้นในจักรวรรดิและได้ยินชื่อเสียงของทัพพยัคฆ์จนคุ้นชิน เขาเห็นว่าท่าทีสะกดข่มผู้อื่นเช่นนี้นับเป็นเรื่องปกติ แต่นั่นไม่ใช่กับเซียวอวี๋ เขาไม่ชอบท่าทีเช่นนี้ ดังนั้นเซียวอวี๋จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาพุ่งเข้าไปจับทหารทั้งสองนายนั้นโยนขึ้นฟ้าจนตกลงมากระแทกพื้นเสียงดัง เกิดเสียงตุบดังขึ้นสองครั้ง โถวปาหงอ้าปากค้าง เขากำลังคิดว่าจะปฏิบัติต่อทัพพยัคฆ์อย่างไร แต่เซียวอวี๋กลับทุบตีอีกฝ่ายเสียอย่างนั้น เมื่อม้าทั้งสองเห็นเซียวอวี่จับเจ้านายของพวกมันโยนทำร้าย พวกมันก็หายใจฟูดฟาดอย่างโกรธแค้น พวกมันส่งเสียงร้องก่อนจะพุ่งเข้าหาเซียวอวี่หวังใช้กีบเหล็กกระทืบเซียวอวี๋ให้จมดิน ม้าทั้งสองล้วนสวมเกราะหุ้มทั้งตัว มองจากระยะไกลทำให้ดูคล้ายอสูรเหล็ก ฝีเท้าของพวกมันรวดเร็วประดุจสายฟ้า พวกมันวิ่งฝ่าสายลมจนบังเกิดเสียงหวีดหวิว ที่ส่วนศีรษะของม้าทั้งสองมีเขาเหล็กแหลมประดับอยู่ราวกับยูนิคอร์น หากถูกพวกมันจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวล่ะก็ แม้แต่นักรบขั้นที่สามก็ยังสาหัส แต่เซียวอวี๋เป็นใคร? ความแข็งแกร่งในวันนี้ของเซียวอวี่แทบไม่ด้อยกว่าคาร์นแล้ว เห็นม้าเหล็กสองตัวพุ่งเข้าใส่ เซียวอวี๋เพียงยกเท้าเตะออกไปสองครั้งอละส่งม้าทั้งสองลอยไปกระแทกกำแพงค่ายจนฝุ่นผงคละคลุ้ง อย่างไรก็ตาม ม้าทั้งสองนั้นมีร่างกายที่แข็งแกร่ง พวกมันรีบลุกขึ้นก่อนจะพุ่งเข้าใส่เซียวอวี่อีกครั้ง ทว่าตอนนั้นเอง ทหารทั้งสองพลันรีบวิ่งเข้ามาปลอบม้าคู่ใจให้สงบลง ทั้งสองต่างทราบแล้วว่า หากเซียวอวี่ลงมืออย่างจริงจัง พวกเขาทั้งสองรวมถึงม้าคู่ใจคงตกตายตั้งแต่แรก “เจ้าเป็นใคร แข็งแกร่งไม่เลวนี่” ในตอนนั้นเอง เงาร่างสูงที่อยู่บนหลังม้ามีปีกพลันบังคับม้าลอยตัวลงมาจากบนฟ้า คนผู้นี้สวมใส่เกราะคลอบคลุมทั้งร่างจนมองไม่เห็นแม้แต่ใบหน้า หากแต่จากกลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาก็ทำให้ทราบได้ว่าคนผู้นี้เป็นนักรบขั้นที่หก แต่เซียวอวี๋นั้นทราบว่าคนเบื้องหน้านี้ไม่ใช่โถวปาหู่ เพราะฟังจากน้ำเสียงล้วอีกฝ่ายยังเยาว์วัย อย่างมากคงอายุมากกว่าเซียวอวี๋ไม่กี่ปี กระนั้นความแข็งแกร่งของเขานั้นแทบไม่ด้อยกว่าคาสโซ่เลย แม้เซียวอวี๋จะยังไม่ได้อยู่ในขั้นที่หก แต่เขาก็มั่นใจว่าสามารถเอาชนะคนผู้นี้ได้ ดังนั้นคนผู้นี้ย่อมไม่ใช่โถวปาหู่ ใต้ร่มธงของโถวปาหู่ถึงกับมีนักรบขั้นที่หกอยู่ นี่ยิ่งพิสูจน์ความไม่ธรรมดาของโถวปาหู่ “ธุระอะไรของเจ้าล่ะ?” ขณะที่โถวปาหงกำลังจะเดินออกไปกล่าววาจา เซียวอวี๋พลันแค่นเสียงใส่เงาร่างนั้น….