บรรดาขุนนางออกมาที่ประตูวัง ทว่ามิได้รีบแยกย้ายในทันที หากแต่รวมตัวกันหน้าประตูวังด้วยใบหน้ากลัดกลุ้ม
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องน้อยไม่อยู่ที่จวนจริงหรือ” เสนาบดีฝ่ายขวาเดินมาใกล้อิงชินอ๋อง ก่อนเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ไม่อยู่ที่จวนจริงๆ” อิงชินอ๋องมองเสนาบดีฝ่ายขวาแล้วส่ายหน้าตอบ
“แม้แต่ท่านยังไม่รู้ว่าเขาหายไปไหนหรือ” เสนาบดีฝ่ายขวาถามอีก
“หวาเอ๋อร์ไปจากจวน พระราชโองการหย่าร้างถูกป่าวประกาศทั่วใต้หล้า เขาสะเทือนใจไม่น้อย เวลาแบบนี้ข้ายังไม่กล้ารับรองว่าใจเขายังนึกถึงบ้านเมืองหนานฉินอีกหรือไม่ ไม่รู้ว่าออกไปตามหาหวาเอ๋อร์หรือว่าไปทำสิ่งใด” อิงชินอ๋องส่ายหน้า
“ตอนนี้รัชทายาทติดโรคห่า เมืองหลินอันเผชิญวิกฤตในเวลาอันสั้น ทั่วหนานฉินผู้ที่จะช่วยรัชทายาทและปัดเป่าความทุกข์ยากให้หลินอันได้มีเพียงท่านอ๋องน้อยเจิงแล้ว หากเขาไม่ออกโรงเอง หนานฉินแห่งนี้ต้องมีภัยเป็นแน่” เสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา
“อย่าได้ยัดเยียดหน้าที่สำคัญให้เขาแต่เพียงผู้เดียวเลย จวนต่างๆ เองก็มีคุณชายผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์เช่นกัน ลูกชายของท่านส่งข่าวกลับมาหรือยัง เขาเพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ มิได้ด้อยไปกว่าฉินเจิงเลย” อิงชินอ๋องมีสีหน้าย่ำแย่
“จนถึงตอนนี้เขายังไม่ส่งข่าวกลับมา ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด” เสนาบดีฝ่ายขวาส่ายหน้า
“บรรดาอนุชนในเมืองหลวงหนานฉิน นอกจากรัชทายาท ฉินเจิง ท่านโหวเซี่ยแห่งจวนจงหย่งโหว และลูกชายของท่านแล้ว ยังมีผู้ใดออกมารับมือสถานการณ์เร่งด่วนได้อีก” อิงชินอ๋องกลุ้มใจยิ่ง “บ้านเมืองมีอัจฉริยะบุคคลถือกำเนิดขึ้นทุกรุ่น อนุชนแทนที่คนรุ่นเก่า ตอนที่หนานฉินยังไม่มีภัย คิดว่าพวกเด็กๆ แต่ละคนโดดเด่นเหนือใคร แข่งประชันความดีงามกัน ยามนี้เมื่อเกิดเรื่อง กลับหามิได้แม้แต่คนเดียว”
“อนุชนในเมืองหลวงหนานฉิน ผู้มีพรสวรรค์ย่อมมีเยอะมาก ทว่าผู้ที่พอจะรับมือสถานการณ์เร่งด่วนได้ในตอนนี้กลับน้อยมาก รัชทายาทกับท่านโหวเซี่ยติดอยู่ที่เมืองหลินอัน ท่านอ๋องน้อยเจิงกับลูกชายข้าไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด เยี่ยนถิงแห่งจวนหย่งคังโหวจนถึงตอนนี้ยังไม่ทราบข่าวคราว ตั้งแต่หนีไปเมื่อวันสิ้นปีก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย เงียบหายไร้ข่าวคราว หลังเกิดเรื่องที่อารามลี่อวิ๋นยังหาตัวเซี่ยอวิ๋นหลานแห่งจวนแหล่งธัญพืชก็ไม่เจอ เซี่ยอวิ๋นจี้แห่งจวนโรงเก็บเกลือฟังว่าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่เห็นหน้าเห็นตานานมากแล้ว เซี่ยหลินซีแห่งครอบครัวลูกคนโตกับโหวเหยผู้เฒ่า และนายพลอู่เว่ยก็แอบหลบลี้ไปจากเมืองหลวงเพื่อท่องเที่ยว” เสนาบดีฝ่ายขวาครั้นแล้วก็ไล่เรียงทีละคน “สองคุณชายแห่งจวนผู้ตรวจการแผ่นดินและจวนสำนักวิชาขั้นสูงฮั่นหลินเรียนรู้การปกครองมา ในเวลาแบบนี้มิอาจใช้ประโยชน์ได้ ทำได้เพียงช่วยองค์ชายแปดดูแลความมั่นคงในราชสำนักก็ไม่เลวแล้ว ถึงอย่างไรองค์ชายแปดก็ยังเด็ก จำต้องฝึกฝนขัดเกลาอีกหลายปี องค์ชายคนอื่นก็ไร้ประโยชน์”
“หนานฉินมีประโยคหนึ่งพูดต่อกันตลอดมาว่า หนานฉินยอดเยี่ยมได้ต้องยกความดีความชอบให้ตระกูลเซี่ยครึ่งหนึ่ง ถ้อยคำนี้ไม่ใช่ความเท็จเลย อนุชนตระกูลเซี่ยมีแต่ผู้มากพรสวรรค์เต็มไปหมด” อิงชินอ๋องถอนหายใจแรง
“เพียงแต่น่าเสียดาย หลายปีที่ผ่านมาฝ่าบาททรงระแวงตระกูลเซี่ยและคิดกำจัดทิ้งเสมอมา จวนจงหย่งโหวยอมถอยแล้วถอยอีก ก่อนหน้านี้คดีมากมายที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกเมือง คนฉลาดแค่เห็นก็ทราบแล้วว่าพุ่งเป้ามาที่ตระกูลเซี่ย โหวเหยผู้เฒ่าท้อแท้และปลงตกแล้ว เวลานี้ถึงได้หลบลี้จากไป พอเขาเดินทางไปก็เกิดเรื่องใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ ตระกูลเซี่ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ไม่มีจวนจงหย่งโหวคอยประคับประคองตระกูลเซี่ย ทุกคนจึงได้แต่ต้องปกป้องตัวเอง ยามนี้ผู้ใดยังจะออกหน้าช่วยปัดเป่าความทุกข์ยากให้หนานฉินอีก” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว
“พอท่านพูดแบบนี้ข้าก็นึกขึ้นมาได้ แม้บอกว่าทุกหนแห่งใต้หล้าเป็นของจักรพรรดิ ขุนนางทุกตำแหน่งหน้าที่ล้วนเป็นคนของจักรพรรดิเช่นกัน ทว่าสำหรับตระกูลเซี่ยแล้วเป็นตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ดั่งมังกรหมอบซุ่ม วนเวียนอยู่ในดินแดนผืนนี้หลายยุคหลายสมัย ย่อมมีรากฐานเป็นของตนเอง ถึงแม้ผู้อยู่เบื้องหลังมีความสามารถเหนือกว่า ควบคุมกิจการร้านยาในหนานฉินได้อยู่หมัด แต่คงยากหากจะรีดไถไปจากตระกูลเซี่ยจนเกลี้ยง” อิงชินอ๋องพลันเอ่ยขึ้น
“ท่านอ๋องหมายถึงตระกูลเซี่ยต้องมีสมุนไพรดำม่วง?” เสนาบดีฝ่ายขวากระจ่างแจ้ง
“ข้าหมายความเช่นนี้ ตระกูลเซี่ยหยั่งรากลึกเพียงใด ถึงข้าไม่พูดท่านก็น่าจะทราบดี เบื้องหน้าไม่มี มิได้หมายความว่าเบื้องหลังจะไม่มีด้วย” อิงชินอ๋องผงกศีรษะ
“แต่ตอนนี้จวนจงหย่งโหวเหลือเพียงจวนเปล่า ตระกูลเซี่ยครอบครัวอื่นก็แยกตระกูลและบรรพบุรุษแล้ว เกรงว่า…” เสนาบดีฝ่ายขวาคาดการณ์
“มิสู้ท่านกับข้าลองไปจวนแหล่งธัญพืชกับจวนโรงเก็บเกลือก่อน แม้จวนจงหย่งโหวกลายเป็นจวนเปล่า แต่คนพวกนี้ยังอยู่ เรือนหกก็ยังอยู่ด้วย แม้แยกตระกูลและบรรพบุรุษแล้ว มิใช่คนตระกูลเซี่ยอีก แต่ก็ยังเป็นลูกหลานของหนานฉิน” อิงชินอ๋องกล่าว
“ท่านอ๋องพูดมีเหตุผล” เสนาบดีฝ่ายขวาผงกศีรษะ
ทั้งสองหารือกันได้แล้วก็เตรียมตัวเดินทาง
“ท่านอ๋อง เสนาบดีฝ่ายขวา พวกท่านสองคนจะกลับจวนหรือไปที่ใด” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเดินเข้ามา
“ข้ากับท่านอ๋องตั้งใจว่าจะไปจวนแหล่งธัญพืชกับจวนโรงเก็บเกลือดู บางทีอาจมีสมุนไพรดำม่วงก็เป็นได้” เสนาบดีฝ่ายขวามองอิงชินอ๋องแล้วเอ่ยตอบ
“จริงด้วย ตระกูลเซี่ย ข้าไปกับพวกท่านด้วยดีหรือไม่” เสนาบดีฝ่ายขวาตบขาฉาดใหญ่
“ทราบดีว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นห่วงรัชทายาทที่สุด ไปด้วยกันย่อมดีมาก” เสนาบดีฝ่ายขวายิ้มกล่าว
“ข้าก็จะไปกับพวกท่านด้วย” หย่งคังโหวก้าวขึ้นมาร่วมด้วยเช่นกัน “บางทีข้าอาจช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย”
อิงชินอ๋องพยักหน้า
ทั้งสี่มุ่งหน้าไปยังตระกูลเซี่ย
หลังทั้งสี่ออกไป ขุนนางที่เหลือก็มองหน้ากัน ต่างรวมตัวกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหน้าประตูวังพักหนึ่ง ก่อนแยกย้ายกันออกไปเป็นกลุ่มเล็กๆ
ครึ่งชั่วยามถัดมา ทั้งสี่ก็มาถึงจวนแหล่งธัญพืช
คนเฝ้าประตูเห็นผู้สูงศักดิ์สี่ท่านในราชสำนักมาที่จวนแหล่งธัญพืชด้วยกันก็ชะงักตกใจไปพักหนึ่ง ก่อนรีบคำนับด้วยความเคารพ
“พวกเราสี่คนมาขอพบผู้นำตระกูลเจ้า” อิงชินอ๋องกล่าว “เจ้าช่วยไปรายงานด้วย”
“เรียนท่านอ๋อง ท่านผู้นำไม่อยู่ที่จวนขอรับ” คนเฝ้าประตูรีบกล่าว
“ผู้นำตระกูลเจ้าไปไหน” อิงชินอ๋องชะงักไป
“ไปตามหาคุณชายขอรับ” คนเฝ้าประตูทำหน้าสลด “ตั้งแต่คุณชายตามคุณหนูฟางหวาไปอารามลี่อวิ๋น หลังเกิดเรื่องก็มิได้กลับมา หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ท่านผู้นำเป็นห่วงจึงนำคนออกไปตามหา จนถึงวันนี้ก็หลายวันแล้ว แต่ยังไร้ข่าวคราว”
อิงชินอ๋องหันมองไปซ้ายขวา
“ตอนนี้มีคนอยู่ในจวนหรือไม่” เสนาบดีฝ่ายซ้ายก้าวขึ้นมา
“หลังท่านผู้นำออกไป ฮูหยินก็ไปปฏิบัติธรรมที่วัดเพื่ออธิษฐานให้ท่านผู้นำและคุณชาย ผู้ช่วยในจวนต่างถูกท่านผู้นำพาไปตามหาคุณชายหมดแล้ว นอกจากบ่าวรับใช้ไม่กี่คนและข้าน้อยที่เฝ้าประตู ตอนนี้ก็ไม่มีใครอยู่ที่จวนเลยขอรับ” คนเฝ้าประตูตอบ
เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดไม่ออก หันไปมองเสนาบดีฝ่ายขวา
“คุณชายอวิ๋นหลานยังคงเป็นเสาหลักให้จวนแหล่งธัญพืช เกิดเรื่องกับเขา ทำให้ทุกคนในจวนแหล่งธัญพืชออกไปตามหา พอจะให้อภัยได้เช่นกัน ในเมื่อไม่มีใครอยู่ในจวนก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไป เราไปจวนโรงเก็บเกลือกันดีกว่า” เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจออกมา
เสนาบดีฝ่ายซ้ายพยักหน้า
ทั้งหมดออกจากจวนแหล่งธัญพืช มุ่งหน้าไปยังจวนโรงเก็บเกลือ
ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูจวนโรงเก็บเกลือ ทว่าพบว่าหน้าประตูถูกลงกลอนเอาไว้
อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และหย่งคังโหวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“มีใครอยู่หรือไม่” เสนาบดีฝ่ายซ้ายก้าวขึ้นมา เคาะประตูด้วยความร้อนใจ
กลอนประตูส่งเสียงดังอยู่พักหนึ่ง ที่เคาะประตูขยับสั่นไหวปึงปังอยู่หลายครั้ง ทว่ายังไร้เสียงตอบรับจากหลังบานประตู แม้แต่คนเฝ้าประตูสักคนยังไม่พบหน้า
“พอแล้ว ไม่ต้องเขย่าแล้ว เจ้าดูวัชพืชขึ้นโดยรอบสิ ดูท่าประตูคงปิดมาเดือนเศษแล้ว” อิงชินอ๋องกล่าว
“ท่านอ๋อง ข้าจะไม่ร้อนใจได้หรือ รัชทายาทตกอยู่ในอันตราย นี่…คนในจวนโรงเก็บเกลือไปไหนกันหมด” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกระวนกระวายใจ
“ลองถามเพื่อนบ้านดูแล้วกัน” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว
อิงชินอ๋องพยักหน้า
หย่งคังโหวเดินไปเคาะประตูบ้านข้างเคียง
มีคนชะโงกศีรษะออกมา เมื่อเห็นเหล่าคนสวมเครื่องแบบขุนนางก็ทราบดีว่าเป็นขุนนางใหญ่ จึงรีบคำนับให้ด้วยความเคารพ
“ข้าถามเจ้าหน่อย จวนโรงเก็บเกลือไฉนถึงปิดประตูเงียบ คนข้างในเล่า ไปไหนกันหมด” หย่งคังโหวถาม
“ตั้งแต่คุณชายอวิ๋นจี้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ก็พาลให้ทุกคนในจวนโรงเก็บเกลือออกไปตามหา เหลือไว้เพียงคนเฝ้าประตูเท่านั้น แต่เมื่อเดือนก่อนเกิดเรื่องกับคนในครอบครัวคนเฝ้าประตูจึงถือโอกาสปิดจวนกลับบ้านเกิด จนถึงวันนี้ก็ยังไม่กลับมาขอรับ” คนผู้นั้นรีบตอบ
หย่งคังโหวฟังแล้วก็หันกลับไปมองพวกอิงชินอ๋อง
“ไปจวนเรือนหกกันเถอะ” อิงชินอ๋องโบกมือปัด
ทุกคนพยักหน้าแล้วย้ายไปจวนเรือนหกแทน